วันนี้ BMW ได้เปิดตัว All-New Series 5 ใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการพร้อมเผยโฉมผ่านภาพความละเอียดสูงมากกว่า 80 ภาพพร้อมรายละเอียดทางด้านเทคนิค ซึ่งสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของรูปลักษณ์เพราะรุ่นนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมทั้งคันแบบ All-New ซึ่งผลตอบรับในเบื้องต้นถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างดีคือ ไม่ทำให้ผิดหวังแต่ก็ไม่ได้ทำให้ประทับใจมากนัก เพราะโฉมที่เห็นก็ถอดแบบมาจากรุ่นอื่นๆทั้ง Series 3, 7 โดยเฉพาะ Series 5 GT ที่ได้เคยเผยโฉมไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว
[singlepic id=13942 w=490 h=360 float=center]
นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ถือได้ว่าผ่านแล้ว Series 5 ใหม่ยังมีไฮไลท์เป็นการกลับมาของแผงคอนโซลกลางที่รองรับการใช้งานของผู้ขับมากขึ้น รวมถึงมาตรวัดสไตล์คลาสิค 4 จุดบนแผงหน้าปัด ในเรื่องของขนาดก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของซีดานสุดเท่รุ่นนี้ เพราะ BMW อ้างว่า Series 5 รุ่นนี้มีฐานล้อยาวที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกันที่ 2,968 มิลลิเมตร ยาวขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 80 มิลลิเมตร โดยมิติความยาวของตัวรถอยู่ที่ 4,899 มิลลิเมตร(เดิมอยู่ที่ 4,841 มิลลิเมตร) ส่วนเครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาใหม่เป็นเครื่องยนต์ V8 และ 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบชาร์จ
จากการที่ฐานล้อยาวขึ้นนี้ ทำให้พื้นที่วางขาเพิ่มขึ้นมาอีก 13 มิลลิเมตร สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ในขณะที่ท้ายรถมีความจุสัมภาระได้ที่ 520 ลิตร โดยสามารถปรับเบาะหลังได้ในสัดส่วน 40:20:40
[singlepic id=13943 w=490 h=360 float=center]
BMW Series 5 ที่ใช้รหัสตัวถังว่า F10 ได้ใช้ platform เดียวกับ Series 5 GT และ Series 7 รุ่นล่าสุด เลย์เอ้าท์แบบ double wishbone ด้านหน้า เชื่อมต่อกับเพลาหลังแบบ multilink โดยถือว่าเป็นครั้งแรกที่ Series 5 ใช้ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าที่มีระบบช่วยเหลือ Servotronic
ระบบปรับโครงสร้างตัวถังที่เรียกว่า Drive Dynamic Control (DDC) จะช่วยในการปรับโครงสร้างตัวถังให้มีโหมดในการเลือกขับคือ Normal, Comfort, Sport และ Sport+ โดยในแต่ละโหมดจะทำการเปลี่ยนระดับการช่วยบังคับรถ การตอบสนองลิ้นปิดเปิดน้ำมัน การเข้าเกียร์ ระดับปฏิกิริยาควบคุมความเสถียร ระดับ damper แบบปรับได้ เป็นต้น
[singlepic id=13954 w=490 h=360 float=center]
ทุกรุ่นของ Series 5 จะมีการติดตั้งระบบสร้างพลังงานจากการเบรคที่จะทำการชาร์จไฟให้กับแบตเตอรี่ในขณะที่เครื่องยนต์มีการทำงานเกินระดับความจำเป็น เช่น ในขณะที่มีการหยุดรถ ในขณะที่รุ่น 520d จะเป็นรถในตระกูล Series 5 รุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบ Auto Start-Stop ซึ่งเป็นระบบเปิด-ปิดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติซึ่งช่วยประหยัดน้ำมันและกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ในช่วงแรกของการจำหน่าย BMW Series 5 ปี 2011 เวอร์ชั่นยุโรป จะมีเครื่องยนต์ทางเลือก คือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 ชนิดและเครื่องยนต์ดีเซล 3 ชนิด
[singlepic id=13947 w=490 h=360 float=center]
เครื่องยนต์ทางเลือกแบบดีเซล สำหรับรุ่นต่างๆมีดังนี้
- รุ่น 520d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 8.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 5 ลิตร/100 กิโลเมตร
- รุ่น 525d ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตร ให้กำลัง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 450 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 7.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 236 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 6.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
[singlepic id=13940 w=490 h=360 float=center]
- รุ่น 530d มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 3.0 ลิตร 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 6.3 ลิตร/100 กิโลเมตร
ส่วนเครื่องยนต์ทางเลือกแบบเบนซิน สำหรับรุ่นแต่างๆมีดังนี้
- รุ่น 523i ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง NA 3.0 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 7.6 ลิตร/100 กิโลเมตร
[singlepic id=13948 w=490 h=360 float=center]
- รุ่น 528i ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตร 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 7.8 ลิตร/100 กิโลเมตร
- สำหรับรุ่น 535i จะได้เครื่องยนต์รุ่นใหม่เป็นแบบ 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ single และ twin scroll ให้กำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 6.0 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 8.5 ลิตร/100 กิโลเมตร
[singlepic id=13978 w=490 h=360 float=center]
- รุ่น 550i ที่ถือว่าเป็นรุ่นท็อปสุด มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ V8 Twin-Turbo 4.4 ลิตร ให้กำลัง 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 5.0 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 10.4 ลิตร/100 กิโลเมตร
ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น 550i แต่จะเป็น option สำหรับรุ่นอื่นๆที่มาพร้อมกับกล่องเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
นอกจากนั้นแล้วยังมี option เป็นระบบส่งกำลัง 8 จังหวะแบบ Sport Automatic ที่ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดาได้โดยการควบคุมผ่านทาง shift paddle ที่ติดตั้งบนพวงมาลัย
สำหรับสหรัฐอเมริกา BMW Series 5 ใหม่จะมี 3 ชนิดเครื่องยนต์เบนซินให้เลือก โดยมีรุ่น 523i เป็นรุ่น Entry Level หรือรุ่นเล็กที่สุด ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง NA ให้กำลัง 240 แรงม้า ทางเลือกที่ 2 คือ รุ่น 535i เครื่องยนต์เทอร์โบ 6 สูบ แถวเรียง 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 ปอนด์ฟุต และอีกรุ่นหนึ่งก็คือ 550i เครื่องยนต์ V8 Twin-Turbo 4.4 ลิตร 400 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 450 ปอนด์ฟุต
[singlepic id=13979 w=490 h=360 float=center]
BMW ยังเผยอีกว่าสำหรับตลาดอเมริกา รุ่น 528i และ xDrive ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel-Drive ของทั้ง 3 รุ่นทางเลือกจะเริ่มทำตลาดหลังจากการเปิดตัวรุ่น 535i และ 550i ที่ขับเคลื่อนล้อหลังไม่นานนัก ซึ่งรุ่น 535i และ 550i สเปคอเมริกานี้จะมีทางเลือกเป็นระบบเกียร์แบบธรรมดา 6 จังหวะ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบใหม่ และระบบเกียร์ 8 จังหวะ Sport Automatic แบบใหม่เช่นกัน
ในเรื่องของเทคโนโลยีอื่นๆของ BMW Series 5 ใหม่นี้ มีทั้งอุปกรณ์มาตรฐานและ option ให้เลือกมากมายเช่น จอแสดงผลแบบ Head-Up ระบบ Night Vision พร้อมระบบตรวจจับคนเดินเท้า ระบบแจ้งเตือนเมื่อขับออกนอกหรือเปลี่ยนช่องทางจราจร การแสดงข้อมูลระดับความเร็วรถ ชุดระบบสร้างความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ระบบกล้องมองรอบคันพร้อมตัวควบคุมระยะการจอด โดยมี option เป็นกล้องมองขณะถอยรถซึ่งให้มุมมองแบบ 360 องศาผ่านจอควบคุม iDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าจอด
[singlepic id=13958 w=490 h=360 float=center]
ที่น่าสนใจอีกอย่างสำหรับ Series 5 ใหม่นี้ก็คือ จอควบคุม iDrive เจนเนอเรชั่นที่ 4 ที่มี 2 เวอร์ชั่นคือ จอขนาด 7 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ 800x480 พิกเซล ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยมี option เป็นระบบนำทางหน้าจอขนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอที่ 1,280x480 พิกเซล ซึ่งมีฟังค์ชั่นต่างๆมากมายที่มีการใช้กับ Series 7 รุ่นล่าสุดด้วย
BMW Series 5 รุ่นปี 2011 มีกำหนดลงสู่ตลาดยุโรปในเดือนมีนาคมปีหน้า และหลังจากนั้นก็จะเริ่มมีจำหน่ายในตลาดอื่นๆที่เหลือครับ
[nggallery id=923]
ที่มา: BMW
ความคิดเห็น