ต่อจากวันก่อนในการขับทดสอบหรือทำ Test Drive ไปกับกองคาราวาน Nissan Navara & X-Trail ที่วันนี้เราขอพูดถึงกระบะปิกอัพรุ่นไมเนอร์เชนจ์ปี 2011 เจ้า Nissan Navara Double Cab 4x4 ที่ผู้ขับทดสอบก็คือทีมงานเดิมกับที่ขับ X-Trail วันก่อนคือ คุณเทพและคุณโถ ส่วนผลจะออกมาอย่างไรลองอ่านกันดูครับ
อารามณ์ค้าง
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับผมและน้องทีมงาน หลังจากที่พาตัวเองกลับมายืนอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนกว่า 10 ล้านคน หลังจากที่ได้ไปสูดกลิ่นอากาศเย็นๆ จากภาระกิจ หัวหิน-กรุงเทพ ตอนนี้ก็ได้กลับมายืนนะจุดเดิม พร้อมกับอารมณ์ ที่ยังเต็มไปด้วยความมันจากการทำหน้าที่ เหยียบเจ้า Nissan Navara Double Cab 4x4 ใหม่ มาตลอดเส้นทางแห่งการเดินทางถนนหลวง ว้า เสียจัง อยากจะได้แบบนี้ซักคัน ให้มาจอดอยู่ที่บ้าน.... ว่าแล้ว ก็เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าภารกิจที่ผมได้รับมอบหมายในครั้งนี้ คือการขับรถร่วมเป็นหนึ่งในคาราวาน Nissan Navara & Nissan X-Trail ที่เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสขับเจ้า Nissan X-Trail มาที่หัวหินและวันนี้ก็ถึงเวลาร่วมหอแต่ไม่ลงโลงกับ Nissan Navara ซึ่งรถที่ผมได้ทำการทดสอบในวันนี้คือ Navara รุ่น Double Cab 4x4 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ซึ่งผมและทีมงานจะต้องทำการขับออกจากกี่พัก YAIYA RESORT ที่พักสุดหรูที่ทีมงาน Nissan ได้จัดเตรียมเพื่อต้อนรับพวกเราและเหล่าคาราวานทั้งหลาย ว่าแล้วทีม PR ของ Nissan ก็โบกมือเรียกผมและน้องทีมงานว่า มา มะ ได้เวลา ล้อหมุนแล้วครับ รถของทีมงานคุณเบอร์ 8 นะครับ นั้นคืออีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับ Brief ก่อนจะเริ่มต้น ผมและทีมงานจึงได้แต่ตื่นเต้น เพราะได้ลองขับของใหม่แม่ว่าจะเป็นแค่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ตาม ว่าแล้วก็จัดการกระโดดขึ้นที่นั่งคนขับ พร้อมเหยียบคลัชใส่เกียร์ 1 ว่าแล้วผมก็ต้องขับ Navara Double cab 4x4 คันนี้เป็นคันที่ 8 ของขบวน พอออกจากที่พักได้เท่านั้นก็มีเสียงวอจากจ่าฝูงขบวนว่ากลับรถอีก 300 เมตรข้างหน้าเพื่อมุ่งหน้าสู่มหานครกรุงเทพ ผมจึงค่อยคลานตามมาเนื่องจากต้องทำความคุ้นเคยกับรถซะก่อน พอมาถึงที่กลับรถเท่านั้นละครับ คาราวานพี่ๆ Nissan Navara ก็ได้ลองของท้าทายความสามารถของรถกันแต่ไก่โห่ เลยที่เดียวจัดการออก เอี้ยด ....อ๊าด ตรงทางกลับรถกันสนั่น ไล่กันไปทีละคัน 2 คัน จนมาถึงทีของผมบ้างแล้วผมเลยจัดหนัก กดคันเร่งมิด (คาดหวังเสียงกรีดร้องของยาง) แต่......เจ้ากรรมเอ้ย ยังไม่ทันได้ออกตัว ก็ดับซะงั้นเพราะอาการลุกลี้ลุกลน จากแรงกดดันมาจากคันหลังที่ต่อคิวกลับรถอยู่ด้วยนั้น คราวนี้ผมเลยทำการออกตัวเงียบๆเรียบร้อยไปก่อน
มาเร็ว เคลมเร็ว
ประโยคที่อยากตระโกนที่สุดหลังจากกลับรถมาแล้วและทำการมุ่งหัวรถสู่กรุงเทพก็จัดการกดมิดคันเร่ง ตามภาษาวัยรุ่นที่เหลือน้อยเข้าไปทุกวัน แค่ครั้งแรกที่เหยียบเต็มๆแบบไม่พิธีรีตองอะไร แต่สิ่งที่รู้ได้ในทันที คือแรงดึง ที่จัดการกระชากร่างกายของผมให้ไปติดอยู่ที่เบาะนุ่มสบาย ของ Nissan Navara ได้อย่างอยู่หมัด จัดมาอย่างต่อเนื่องทุกเกียร์ ไล่ตั้งแต่ เกียร์ 1 เกียร์ 2 และเกียร์ 3 ไปจนถึงเกียร์ 6 เผลอแป๊บเดียวเข็มไมล์ก็วิ่งไปเตะที่ 140 แล้วครับ มาเร็วเคลมเร็วจริงๆ แรงบิดของ เครื่อง 2,500 cc พร้อมกับระบบช่วยหายใจอย่าง VN Turbo มาเร็วมาก รอบเครื่อง แค่พันนิดๆคุณก็สามารถเหยียบคันเร่งลงไปได้ตลอดเวลาเรียกว่าไม่ต้องเสียเวลารออะไรกันทั้งนั้น ผมจึงค่อยเรียงลำดับความคิดว่าไอ้สิ่งที่ห่อหุ้มผมอยู่นี้ มันมีรายละเอียดอะไรบ้าง โดยเฉพาะข้อมูลเครื่องยนต์ ว่าแล้วเรามาเริ่มดูรายละเอียดและทีเด็ดของเจ้ารถคันนี้กันดีกว่าครับ
เครื่องยนต์ YD-174 Commonrail ขนาด 2,500 cc พร้อม VN Tubo เทอร์โบแปรผัน ให้แรงม้าสูงสุด 174 แรงม้า ที่ 4,000 ต่อนาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 ต่อนาที ที่ถูกจ่ายอาหารการกินด้วย ปั้มหัวจ่ายแรงสูง 180 เมกะปาสคาล และสมองกลที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังด้วยความรวดเร็วในระดับ 32 บิท และที่ขาดไม่ได้ ระบบปรับเปลี่ยนการขับเคลื่อน All Mode Switch เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2 ล้อ เป็น 4 ล้อ ด้วยปลายนิ้ว ถึงว่าให้มาขนาดนี้ ไม่มันเท้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไง ว่าแล้วพอคาราวานของ Nissan Navara & Nissan X-Trail ก็ได้ทำการวิ่งเข้าพื้นที่เขตชุมชนที่ต้องใช้ความเร็วได้อย่างจำกัด ก็ได้เวลาของพระเอกหน้าใหม่ที่ถูกบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำอยู่ใน Navara Double cab 4x4 เกียร์ธรรมดาคันนี้ นั้นคือ Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งทำให้ผมประหลาดใจค่อนข้างมากที่ Nissan นำอุปกรณ์เหล่านี้มาติดให้กับรถกระบะ ที่สำคัญเกียร์ธรรมดา หลังจากที่มีโอกาสได้ทดลองใช้เจ้าอุปกรณ์ควบคุมความเร็ว ก็ค่อนข้างทึ่งอยู่เหมือนกัน เพราะนอกเหนือจากระบบเปิดและระบบปิดการทำงานแล้วนั้น ยังแถมปุ่มสำหรับเพิ่มหรือลดความเร็วในขนาดที่คุณกำลังอยู่ในระบบควบคุมความเร็ว ซึ่งจากข้อมูลที่ผมมีนั้น ทุกครั้งที่คุณดัน Switch เพิ่มความเร็วขึ้นด้านบน ความเร็วตัวรถก็จะทำการเพิ่มความเร็วขึ้น 1.6 ไมล์/ชม.หรือ 2.5 กิโลเมตร/ชม. ต่อการดัน Switch ขึ้น 1 ครั้ง อะไรมันจะสะดวกสบายขนาดนั้น เดี่ยวเผลอหลับระหว่างทางจะทำยังไงดี
นอกเหนือจากระบบของเครื่องยนต์แล้วลองก้มลงและมุดต่ำอีกนิดก็จะค้นพบกับระบบช่วงล่างและเบรคที่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดของ Navara Double cab 4x4 ซึ่งคือหัวใจสำคัญในการ Test Drive ของทีมงาน จะค้นพบระบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงในล้อคู่หน้า และล้อส่วนของหลังคือ แหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ ซึ่งเป็นระบบช่วงล่างมาตรฐานคู่ใจของสิงห์รถกระบะทุกยี่ห้อ แต่ที่ไม่อาจมองข้ามได้จริงๆ ก็คือความรู้สึกในการควบคุมรถที่แตกต่างกันนี่เอง ซึ่ง Navara Double cab 4x4 ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ให้ความรู้สึกที่เหนียวแน่น ไม่ก้าวร้าวและแข็งกระด้าง แตกต่างจากรถกระบะทั่วไปที่จะสร้างความเสียวให้คุณได้เมื่อใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร/ชม. ซึ่งการทดสอบในครั้งนี้ทีมงานก็ยังคงไม่ได้มีโอกาสอะไรมากมายที่จะพาร่างสูงใหญ่ของ คันนี้ไปแถเข้าโค้ง ได้เนื่องเส้นทางที่เราใช้ทำการทดสอบคือเส้นทางหลวงที่มีผู้คนร่วมใช้ทางกันมากมายจึงทำให้ทำได้เพียงขับมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วและลองเหวี่ยงเปลี่ยนเลนถนนไปมาเท่านั้น แต่ก็ทำให้ค้นพบได้ว่ากระบะก็มุดได้มันเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าพูดกันตามภาษาชาวบ้าน อาการท้ายเบาหรือท้ายออกซึ่งส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับรถกระบะซึ่งมีน้ำหนักด้านท้ายตัวรถเบากลับไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเจ้ารถคันนี้เลย และความรู้สึกที่ได้จากการเลือกขับระบบขับเคลื่อนเพียง 2 ล้อหลังจากนั้น ดีกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้คือ ไม่เบา ไม่เหวี่ยง ไม่หนี แต่เราจะทำการทดสอบเพียงเท่านี้ได้ยังไงละครับ ทีมงานเราเลยจัดการเลื่อน Switch ปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนให้เป็น 4x4 เท่านั้นแหละ ความหนึบระดับ “ฝ่าเท้าตุ๊กแก” ก็มาเยือนพวกเราแล้วครับ ตามภาษาของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ แม้จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นของพวงมาลัยรถยนต์ก็ตาม แต่โดยรวมแล้วระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ คงเหมาะกับการใช้ในพื้นที่หรือสถานการณ์ของถนนที่มีอาการลื่นปื๊ดเท่านั้น เพราะถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ ก็ใช้เพียงระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและพึ่งพาความสามารถของช่วงล่างรถก็พอแล้วครับ ในส่วนของระบบเบรคของ Navara Double cab 4x4 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน จัดการถ่วงตัวถังรถที่หนักกว่า 1.8 ตัน ได้อย่างดี ไม่มีอาการ Fade ของระบบเบรคให้เห็นเท่าไหร่แม้จะขับไปด้วยความเร็วและเยียบเบรคหนักหลายครั้งก็ตาม ต้องถือว่าช่วงล่างและระบบเบรคทำข้อสอบปลายภาคเรียนครั้งนี้ผ่านฉลุยจริงๆ
ถ้าจะให้มองกันในเรื่องของการ Design ของตัวรถ Navara Double cab 4x4 ด้วยรูปลักษณ์ในแบบทรงสี่เหลี่ยมของวิศวกรผู้ออกแบบก็จะให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง เพราะอิทธิพลของรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและกว้างใหญ่ แถมยังพ่วงราวหลังคาสไตล์สปอร์ตเข้าไปเป็น Option ติดรถจากโรงงาน ก็สามารถทำให้ Navara Double cab 4x4 ดูสวยและดูอเนกประสงค์ขึ้นมาทันตา ซึ่งหากจะมอง ณ จุดนี้แล้ว การออกแบบตัวรถไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรจากตัวเก่าเลย
การออกแบบภายใน Nissan Navara ได้ทำการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้รถโดยการเพิ่มสีทางเลือก เป็นสีเบจ และสีเทากราไฟต์ที่ทีมงาน AutoSpinn ได้มาทำการ Test Drive นั้น ภายในถูกห่อหุ้มด้วยหนัง สีเบจ ซึ่งความรู้สึกที่ได้นั้นให้ความรู้สึกนุ่มนวลกว้างขวาง แต่สิ่งที่ผมและน้องทีมงานต้องติดใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของคอนโซลหน้ารถและที่สะดุดเรียกสายตาที่สุดก็คงจะเป็นระบบปรับอากาศไฟฟ้าที่ขอพูดตรงๆว่า ถูกออกแบบมาได้โบราณมากๆ ผมเห็นครั้งแรกนึกว่าที่เปิดเตาแก๊ส แต่ที่เห็นจะแตกต่างจาก Navara ตัวเก่านั้นเห็นจะเป็น เครื่องเล่น DVD ระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว ที่เข้ามาลบจุดด้อยของระบบปรับอากาศของรถไปได้ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามหากคุณต้องการที่จะซื้อรถใหม่นั้นคือเรื่องของวัสดุที่ถูกเลือกนำมาใช้ประกอบรถยนต์ที่ Nissan เลือกวัสดุมาใช้ประกอบชิ้นส่วนต่างๆได้ค่อนข้างดี และไม่ค่อยมีตำหนิจากการประกอบซักเท่าไหร่ ทำให้มองเห็นถึงความใส่ใจที่มากขึ้นของ Nissan เพื่อให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกที่ดีในการใช้รถ แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าทาง Nissan ควรปรับปรุงคือคอนโซลหน้าและหน้าปัดบอกความเร็วที่มีการออกแบบไม่แตกต่างจากรถกระบะของ Nissan เมื่อ 10 ปีที่แล้วเลย
จากภาพรวมในการทำ Test Drive ครั้งนี้ ทำให้ผมสรุปทุกเรื่องราวที่ได้จากการขับขี่ Navara Double cab 4x4 ใหม่คันนี้ว่า ถ้าคุณมองหารถกระบะสักคันด้วยเหตุผลของคุณสมบัติการใช้งานของรถ คุณไม่อาจมองข้าม Nissan Navara รุ่นนี้ไปได้เลย แต่ถ้าคุณมองรถคันหนึ่งด้วยรูปร่างหน้าตาแล้วละก็ คุณอาจจะรู้สึกว่ารถรุ่นนี้มีหน้าตาไม่สวยถูกใจหรือไม่ดูแปลกใหม่ไปจากรุ่นเดิม(ก็เพราะมันคือรุ่นไมเนอร์เชนจ์นั่นเอง) หรือภายในอาจจะดูไม่ค่อยน่าใช้ แต่ถ้าผมเป็นรถคันนี้ผมคงอยากจะบอกคนที่มองหาหรือกำลังตัดสินใจซื้อรถกระบะอยู่ว่า ”ถึงหน้าตาเราจะหล่อสู้ไม่ได้.... แต่หัวใจเราหล่อมาก”
ความคิดเห็น