จริงๆแล้ว Honda ได้ทำการเปิดตัว Insight รุ่นไมเนอร์เชนจ์ของปี 2012 ไปแล้วที่งาน 2011 Frankfurt Motor Show ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะถูกกลบรัศมีจากรถรุ่นใหม่ๆตัวเด็ดๆหลายรุ่นในงาน แต่ล่าสุด Honda ประกาศเริ่มจำหน่าย Insight ในสหรัฐอเมริกาแล้วด้วยราคาเริ่มต้น 19,120 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาที่รวมค่าขนส่งและค่าธรรมเนียมต่างๆอีก 770 เหรียญฯไว้เรียบร้อยแล้ว และเป็นราคาที่สูงกว่ารุ่น Base ปี 2011 อยู่ 150 เหรียญฯ ซึ่งโดยรวมมีการปรับเปลี่ยนในด้านรูปโฉมเล็กน้อย เพิ่มฟังค์ชั่นใหม่ๆเข้ามาในบางรุ่น และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้นประมาณ 1 ไมล์/แกลลอนหรือ 0.43 กิโลเมตร/ลิตร ในทุกรุ่นย่อย
ภายนอกของ Insight ทาง Honda ได้ใช้แผงกระจังแบบใหม่ที่มีแถบกลางขนาดเล็กสีฟ้าบ่งบอกความเป็นรถไฮบริด กันชนทั้งหน้าและหลังถูกออกแบบใหม่ รายละเอียดของไฟหน้าและไฟเบรคก็มีการปรับเปลี่ยนให้ต่างออกไปจากเดิม ส่วนใต้ท้องรถถูกปรับปรุงให้ได้ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ดีขึ้นกว่าเดิมประมาณ 2% ส่วนล้ออัลลอยเป็นลายใหม่
ส่วนภายในห้องโดยสาร มีการปรับตำแหน่งเบาะที่นั่งด้านหลังเพื่อให้มีพื้นที่ช่วงขาและศีรษะมากขึ้น แบ็คกราวด์ของมาตรวัดเป็นแบบใหม่ ที่วางแก้วบริเวณคอนโซลกลางได้รับการปรับปรุงให้สามารถวางแก้วหรือขวดน้ำที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้ ส่วนที่วางแขนด้านหน้ามีพื้นที่มากขึ้นกว่าเดิมสำหรับรุ่น LX และ EX ส่วนเบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุผ้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น
Honda ยังเปิดเผยอีกว่า ได้ทำการปรับปรุงทัศนวิสัยในการมองหลังให้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยการใช้เคสครอบมอเตอร์ที่ปัดน้ำฝันด้านหลังที่มีขนาดเล็กลง รวมถึงการใช้สปอยเลอร์หลังที่บางกว่าเดิม นอกจากนั้นยังมีการใช้ฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้นกว่าเดิม
สำหรับการอัพเกรดในเรื่องอุปกรณ์ ได้แก่ การเพิ่มไฟส่องแผนที่ และปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัยเข้าไปในรุ่น LX ส่วนรุ่น EX มีการติดตั้งระบบ Bluetooth HandsFreeLink ไฟหน้าอัตโนมัติ พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง
สำหรับรุ่นปี 2012 Honda Insight ยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยระบบ IMA จาก Honda ซึ่งประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC 1.3 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 123 ปอนด์ฟุตที่ 1,000-1,700 รอบ/นาที โดยวิศวกรของ Honda สามารถลดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในเครื่องยนต์และเกียร์ CVT ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งการปรับปรุงในด้านต่างๆรวมถึงด้านอากาศพลศาสตร์ช่วยให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน EPA ดีขึ้นกว่าเดิม 1 ไมล์/แกลลอน(0.43 กิโลเมตร/ลิตร) ไปเป็น 17.43 และ 18.71 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับการขับในเมืองและนอกเมืองตามลำดับ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองฯเฉลี่ยที่ 17.86 กิโลเมตร/ลิตร
ความคิดเห็น