BMW ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมใหม่พร้อมสุดยอดเทคโนโลยี ที่งานมอเตอร์โชว์ 2012 Share this
รถเปิดตัวใหม่
โหมดการอ่าน

BMW ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมใหม่พร้อมสุดยอดเทคโนโลยี ที่งานมอเตอร์โชว์ 2012

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 30 March 2555

บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 33 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ที่มาพร้อมสุดยอดเทคโนโลยีและการออกแบบที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์

ไฮไลท์ผลิตภัณฑ์ของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ

• บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 3 ใหม่

• บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 5 พร้อมเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo ใหม่

• บีเอ็มดับเบิลยู ActiveHybrid5

• บีเอ็มดับเบิลยู X6 M

• มินิ โรดสเตอร์

• มินิ รุ่นพิเศษ 10th Anniversary Thailand Special Editions

• บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด :

K 1600 GT และ S 1000 RR

แม็กซี่-สกู๊ตเตอร์ รุ่น C650 GT และ C600 Sport

IMG_7290_resize

กรุงเทพฯ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประกาศความเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยมอีกครั้งในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 33 ซึ่งในงานนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 5 ได้รับการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ด้วยการเพิ่ม BMW TwinPower Turbo ใหม่ พร้อมทั้งเปิดตัวซีรีย์ 5 ใหม่ในรุ่น 520i, 528i, และ 528i Sport นอกจากนี้ ยังเปิดตัว BMW ActiveHybrid 5 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นการเสริมทัพบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 5 ด้วยเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบ นอกจากนี้แล้วบีเอ็มดับเบิลยู X6 M ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่นำมาเพื่อแสดงออกให้เห็นถึงการออกแบบและเทคโนโลยีสำหรับการขับขี่แบบไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์อย่างแท้จริง และไฮไลต์สำคัญของงานนี้ที่ขาดไม่ได้ คือ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 3 ใหม่ ที่มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งภายในและภายนอกที่มีให้เลือกถึง 3 ไลน์ เพื่อกำหนด 3 คาแรกเตอร์อันโดดเด่น ประกอบไปด้วย สปอร์ตไลน์, โมเดิร์นไลน์ และลักชัวรี่ไลน์ นอกจากนี้ เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 1,995 ซีซี 184 แรงม้าที่ 4,000 รอบนี้ มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำให้ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมที่อัตรา 22.7 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำเพียง 117 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

ในส่วนของมินินั้น มินิ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวสมาชิกใหม่ล่าสุดอันดับที่ 6 ด้วย มินิ โรดสเตอร์ ที่นับเป็นรุ่นแรกของมินิในรูปลักษณ์สปอร์ต 2 ที่นั่งเปิดประทุน โดดเด่นด้วยระบบสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ ที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อความเร็วไต่ระดับถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะพับเก็บเข้าที่เมื่อความเร็วลดระดับลงที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มินิโรดสเตอร์ เป็นรถที่มีคาแร็คเตอร์เฉพาะตัวในสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ มินิประเทศไทยยังเปิดโฉมรุ่นพิเศษ MINI 10th Anniversary Thailand Special Editions ที่ตกแต่งเป็นพิเศษด้วยชุดแต่ง จอห์น คูเปอร์ เวิรค์ส แอโรคิทส์ และสติ๊กเกอร์ลายพิเศษ

ในส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดนั้น มาพร้อมกับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในรูปแบบแม็กซี่-สกู๊ตเตอร์ ด้วยรุ่น C650 GT และ C600 Sport ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์ 2 สูบ 647 ซีซี 60 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ นอกจากนี้ BMW K 1600 GT ก็มาเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ความจุ 1,649 ซีซี สามารถผลิตกำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 7,750 รอบ นอกเหนือไปจากมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดยังนำสุดยอดซุเปอร์ไบค์ BMW S 1000 RR มาเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 1,000 ซีซี ที่สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 193 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 112 นิวตัน-เมตรที่ 9,750 รอบและมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรภายใน 2.9 วินาทีเท่านั้น!

BMW 520i

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 184 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,500 รอบ

ประหยัดน้ำมันด้วยอัตราเฉลี่ย 15.6 กม./ลิตรด้วยเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo ใหม่

BMW 520i มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบาพร้อมด้วยเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน สามารถผลิตแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 1,250-4,500 รอบ และกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 สปีด มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 8.0 วินาที อีกทั้งยังมีความประหยัดน้ำม้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยอดเยี่ยม BMW 520i มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 149 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

BMW 520i มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานเช่นฟังก์ชั่น ออโต้สตาร์ท-สต๊อป นอกจากนี้ฟังก์ชั่นระบบ Driving Experience Control ที่สามารถให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดในการขับขี่ได้ทั้งแบบ Comfort, Sport และ Eco Pro ได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้การขับขี่เหมาะสมกับสภาพของท้องถนนและความต้องการของผู้ขับขี่ได้มากที่สุด

BMW 528i และ 528i Sport

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 218 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,800 รอบ

ปราดเปรียวด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.9 วินาที และประหยัดน้ำมันด้วยอัตราเฉลี่ย 15.4 กิโลเมตรต่อลิตร

BMW 528i มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร สามารถผลิตแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 1,250-4,800 รอบ และกำลังสูงสุด 218 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 สปีดและสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 6.9 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 15.4 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 152 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

BMW 528i Sport ได้รับการตกแต่งด้วยชุดแต่ง M Sport Package ที่มาพร้อมกับล้อ M Alloy Wheel Double Spoke 18” พร้อมยางรันแฟลท เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในทุกรูปแบบของการขับขี่ นอกจากนี้ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่นระบบ Integral Active Steering ช่วยกำหนดการบังคับเลี้ยวให้แม่นยำและกระชับวงเลี้ยวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น ฟังก์ชั่นระบบ Driving Experience Control สามารถให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดในการขับขี่ได้ทั้งแบบ Eco Pro, Comfort, Sport และ Sport +

ในด้านเทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงนั้น BMW 528i Sport มาพร้อมกับระบบ BMW Navigation พร้อม TV Function บนหน้าจอขนาด 10.2” พร้อมด้วยระบบไฮไฟสเตอริโอและลำโพง 12 ตัว นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อออนไลน์ผ่าน BMW Apps ด้วยระบบ BMW ConnectedDrive เพื่อใช้งาน Facebook, Twitter และ Web Radio ได้จากหน้าจอ โดยรับสัญญาณผ่าน สัญญาณ GPRS / 3G ของ iPhone เพิ่มความล้ำสมัยไปอีกขั้น

BMW ActiveHybrid 5 เปิดตัวเทคโนโลยีแอคทีฟไฮบริดสำหรับบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศไทย เป็นครั้งแรก พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่สร้างกำลังสูงสุด 340 แรงม้า และแรงบิดโดยรวมสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Intelligent Energy Management

ด้วยเครื่องยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของบีเอ็มดับเบิลยู โดยได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวด International Engine of the Year Award 2011 ที่จัดขึ้นที่เมืองสตุ๊ตการ์ต ประเทศเยอรมนี BMW ActiveHybrid 5 ได้นำเอาเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาดความจุ 3.0 ลิตร พร้อมด้วยเทคโนโลยีระบบอัดอากาศ TwinPower Turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบวาล์แปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และระบบฉีดน้ำมัน HPI High Precision Injection นี้ มาเป็นหัวใจสำคัญของ BMW ActiveHybrid 5 ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียม-อิออน ช่วยสร้างอัตราการเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.9 วินาที และการใช้งานในโหมด zero emission ด้วยการทำงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ก็สามารถทำความเร็วได้ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระยะทางสูงสุด 4 กิโลเมตร

P90088806_resize

BMW ActiveHybrid 5 มาพร้อมระบบ BMW EfficientDynamics ที่นำพลังงานที่สูญเสียขณะเบรก แปรรูปกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าสะสมไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อเป็นการลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น นอกจากนี้ BMW ActiveHybrid 5 ได้พัฒนาเทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนโหมดของการใช้พลังงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Intelligent Energy Management ซึ่งเป็นการทำงานโดยใช้ข้อมูลจากระบบ Navigation มาเพื่อคำนวณเส้นทางล่วงหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่กำหนดให้สอดคล้องกับการชาร์จไฟฟ้าเข้าไว้ในแบตเตอรี่ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาด

นอกจากนี้ BMW ActiveHybrid 5 ยังมาพร้อมระบบ BMW Head-Up Display เพื่อการแสดงผลที่ชัดเจนและอ่านได้ง่าย โดยที่ผู้ขัยขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนมามองที่หน้าปัดรถยนต์ ข้อมูลที่สำคัญ เช่นความเร็ว ระดับน้ำมัน หรือแม้แต่เส้นทางที่ปรากฏจาก BMW Navigation จะได้รับการถ่ายทอดลงตามระดับสายตาของผู้ขับขี่ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยสูงสุด

กำหนดนิยามแห่งสุดยอดสมรรถนะของรถยนต์ตระกูล M

BMW X6 M

บีเอ็มดับเบิลยู X6 M เป็นรุ่นที่ถูกสร้างมาเพื่อกำหนดนิยามใหม่แห่งสุดยอดสมรรถนะ ด้วยอัตราเร่งที่เป็นเยี่ยม, ระบบการทรงตัวที่เป็นยอด, การขับขี่ที่ควบคุมได้อย่างเฉียบคมและการเบรกหยุดอย่างมั่นใจ ทั้งนี้อัตราเร่งที่ 0-100 กม./ ชม. สามารถทำได้ในเวลาเพียง 4.7 วินาที และด้วยเครื่องยนต์ M TwinPower Turbo ที่มาพร้อมกับระบบเทอร์โบคู่ ช่วยสร้างการตอบสนองที่เป็นเยี่ยมและทันใจในทุกจังหวะของการขับขี่ นอกจากนี้ยังให้แรงบิดที่สูงถึง 680 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 5,650 รอบ

The new BMW 3 Series เผยโฉมซีรี่ย์ 3 ใหม่ ที่มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับทุกรสนิยม ทั้ง Sport Line, Modern Line และ Luxury Line

บีเอ็มดับเบิลยู เผยโฉม บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นที่ 6 ในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 3 ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยวด้วยรูปทรงสปอร์ต แต่เพิ่มมิติความยาวและความกว้างมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร เปี่ยมสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 184 แรงม้า พร้อมกับ BMW TwinPower Turbo ที่มีขนาดและน้ำหนักน้อยลง โดยยังคงประสิทธิภาพไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

ปราดเปรียวอย่างสมบูรณ์แบบ ลายเส้นที่บ่งบอกความเฉียบคมในทุกมุมมอง

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่ ผสมผสานความปราดเปรียว และสะดวกสบายในการใช้งานได้อย่างลงตัว คาร์แรกเตอร์ของจิตวิญญาณแห่งความเป็นสปอร์ตซีดานใน บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่นี้ ถูกสะท้อนผ่านลายเส้นที่เน้นรูปทรงอันปราดเปรียวบนรูปทรงตัวถังแนวสปอร์ต ฝาประโปรงหน้ายาว ฐานล้อยาว และขอบกระจกด้านข้างไล่แนวโค้งรับกับฝากระโปรงหลังอย่างกลมกลืน

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 มีมิติตัวถังความยาว 4,624 มม. (+93 มม. จากรุ่นก่อนหน้า), ฐานล้อ 2,810 มม. (+50 มม. จากรุ่นก่อนหน้า) พร้อมแทร็คที่กว้างขึ้น +37 มม. ในคู่หน้า และ + 47 มม. ในคู่หลัง ในขณะที่ความสูงอยู่ที่ 1,429 มม. (+8 มม. จากรุ่นก่อนหน้า) ซึ่งนอกจากจะเป็นสัดส่วนที่ให้คาร์แรกเตอร์ความสปอร์ตปราดเปรียวแล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสบายของห้องโดยสารที่กว้างขึ้นด้วย

เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และปราดเปรียว

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่ เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ทั้งเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดรุ่นล่าสุดที่รองรับการทำงานของระบบสตาร์ท/และดับเครื่องยนต์อัตโนมัติตามจังหวะการหยุดรถ พร้อมปุ่มควบคุมการขับขี่ที่เพิ่มโหมด ECO PRO มาให้ โดยระบบบริหารเครื่องยนต์จะปรับจังหวะการทำงานเครื่องยนต์และการเปลี่ยนเกียร์ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพลังงานภายในรถยนต์ เช่น ระบบปรับอากาศ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันในอยู่ในระดับสูงสุด โดยเฉพาะสำหรับการเดินทางไกลที่ต้องการความผ่อนคลาย ในลักษณะการขับแบบกินลมชมวิวไปเรื่อยๆไม่ใดต้องรีบเร่ง ระบบนี้ยังมีการแสดงผลผ่านหน้าจอเพื่อให้ผู้ขับได้ตระหนักถึงพลังงานที่ตนช่วยประหยัดระหว่างการเดินทางด้วย

นอกเหนือจากนี้แล้ว เทคโนโลยี BMW ConnectedDrive ยังช่วยให้การเชื่อมต่อบนโลกอินเตอร์เน็ท เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสัญญาณมือถือไอโฟนเข้ากับระบบข้อมูลของรถยนต์ เพื่อการเชื่อมต่อโปรแกรมต่างๆ ได้จากหน้าจอออนบอร์ดมอนิเตอร์ในรถ เช่นโปรแกรมเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และปฏิทินนัดหมายพร้อมหมายเลขโทรศํพท์ติดต่อที่แสดงผลข้อมูลบนหน้าจอรถยนต์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คได้อย่างไม่พลาดการติดต่อ โดยที่ฟังก์ชั่นการอ่านคำอัตโนมัติ ก็จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกฟังข้อความที่ได้รับ โดยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากถนนมาเพื่ออ่านข้อความนั้นๆ

ภายในหรูหรา สะดวกสบาย แฝงความสปอร์ตสร้างนิยามใหม่แห่งการเดินทางกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 3

การออกแบบภายในของ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่ สะท้อนบุคลิกความเป็นรถสปอร์ต พร้อมกับเน้นความหรูหราและสะดวกสบาย อีกทั้งยังเสริมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ถูกจัดอย่างได้อย่างลงตัวมีรสนิยม ที่นั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกออกแบบอย่างถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์เพื่อความสบายและผ่อนคลายทั้งการขับในเมืองและทางไกล ในขณะเดียวกันก็ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม เปี่ยมด้วยความปราณีต และใช้โทนสีที่สะท้อนถึงความหรูหราได้เป็นอย่างดี

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่ มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งภายในและภายนอกที่มีให้เลือกถึง 3 คาแรกเตอร์

1. สปอร์ตไลน์

ไตคู่หน้าสีดำพร้อมกรอบข้างสีเงินในภายนอก และเส้นตัดสีแดงบนหนังสีดำในห้องผู้โดยสาร สร้างความรู้สึกสปอร์ตแบบตระกูลรถแข่งที่แฝงความสุขุมไว้ได้อย่างลงตัว ล้ออัลลอยลายพิเศษ เฉพาะสำหรับสปอร์ตไลน์ ให้ความคล่องตัวและคล่องแคล่วในทุกการขับขี่

2. โมเดิร์นไลน์

วัสดุในโทนสีอลูมิเนียมของโมเดิร์นไลน์ ผนวกกับสีตกแต่งภายในห้องโดยสารในโทนสีน้ำตาลออยสเตอร์อ่อนๆ ช่วยเพิ่มคาแรกเตอร์ที่เปรียบเสมือนประติมากรรมชิ้นเอกที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นของห้องโดยสาร ที่เพิ่มมิติในด้านต่างๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 3 ใหม่

3. ลักชัวรี่ไลน์

ภายในของลักชัวรี่ไลน์ ในส่วนของวงแหวนรอบช่องแอร์ และในชิ้นส่วนต่างๆของปุมควบคุมบนแดชบอร์ด ได้รับการตกแต่งด้วยโครมสีเงินวาว รวมไปถึงขอบกระจกด้านข้าง ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและคลาสสิค บ่งบอกความเป็นผู้นำของสปอร์ตซีดานได้อย่างไม่เหมือนใคร

BMW TwinPower Turbo

สุดยอดเครื่องยนต์สมรรถนะสูง

BMW 320d มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo 4 สูบแถวเรียง ความจุ 2.0 ลิตร ที่สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 184 แรงม้าที่ 4,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,750 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.6 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 22.2 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ย 117 กรัมต่อกิโลเมตร (ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU)

IMG_7365_resize

MINI Roadster สปอร์ต 2 ที่นั่งแบบเปิดประทุน เพื่อความเร้าใจในแบบมินิ

สมาชิกใหม่ล่าสุดอันดับที่ 6 ของมินิ มาเพื่อกำหนดนิยามของโรดสเตอร์ได้ตามแบบฉบับของมินิ ด้วยโรลบาร์ที่เป็นมันวาวหลังแนวที่นั่ง และระบบสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ ที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อความเร็วไต่ระดับถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะพับเก็บเข้าที่เมื่อความเร็วลดระดับลงที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มินิโรดสเตอร์ เป็นรถที่มีคาแร็คเตอร์เฉพาะตัวในสไตล์มินิที่ไม่เหมือนใคร

เครื่องยนต์ของ MINI Cooper S Roadster ได้มีการผนวกรวมระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo และระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งต่างก็เป็นสุดยอดเทคโนโลยีระบบป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ของ MINI Cooper S ซึ่งเป็นสุดยอดอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในแง่ของสมรรถนะ ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และการลดการคายไอเสีย

เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo ใช้หลักการแบ่งทางเดินไอเสียเป็นสองช่อง โดยทั้งสองช่องจะทำงานสอดประสานกัน สร้างแรงดันของไอเสียให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ เพื่อป้อนเป็นพลังงานขับเคลื่อนใบพัดของระบบเทอร์โบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ Twin-Scroll Turbo จึงเป็นระบบเทอร์โบเดี่ยวที่สามารถให้กำลังอัดอากาศสูงและต่อเนื่องเสมือนกับใช้ระบบเทอร์โบคู่ ซึ่งนอกจากจะมีขนาดกะทัดรัดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับรถขนาดเล็กอย่างมินิแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะในเรื่องของระบบหล่อเย็นของเทอร์โบอีกด้วย ส่วนระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ซึ่งมีความสามารถกำหนดระยะเปิด-ปิดและระยะเวลาการเปิดวาล์วอากาศได้แปรผันต่อเนื่องตลอดทุกช่วงรอบตามความต้องการของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การทำงานของทั้งสองระบบดังกล่าวอย่างควบคู่กัน จะส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังตอบสนองความต้องการในทุกรูปแบบการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

MINI Cooper S Roadster มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้านี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.2 วินาที และสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยได้ที่ 15.2 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำเพียง 153 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

P90085454_resize

BMW Motorrad

ครั้งแรกกับการเปิดตัวของ BMW Motorrad ในกลุ่มของแม็กซี่-สกู๊ตเตอร์ ด้วยรุ่น C600 Sport และ C650 GT ที่รวบรวมสมรรถนะการขับขี่ชั้นยอดมาผนวกกับความสะดวกสบายเป็นเยี่ยม

ความแตกต่างกันของทั้งสองรุ่นนี้ อยู่ที่การดีไซน์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีคาแรกเตอร์ต่างกัน เช่นในกลุ่มของ C600 Sport นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของนับบิดที่มีความเป็นสปอร์ตและคาแรกเตอร์ในการขับขี่ที่คล่องแคล่วและฉับไวในทุกสภาวะ และในส่วนของ C650 GT นั้น เน้นสำหรับลูกค้าที่ต้องการเน้นที่การขับขี่แบบทัวร์ริ่งระยะทางไกล โดยเน้นการออกแบบทางของตำแหน่งต่างๆให้อยู่ในจุดที่สามารถขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายที่สุด

ทั้งสองรุ่นนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 สูบแถวเรียง 647 cc. ที่ผลิตได้ถึง 60 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ และสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.1 วินาที

BMW K1600 GT ต่อยอดความสำเร็จเพื่อการขับขี่ทางไกลอย่างสะดวกสบาย พร้อมรางวัล “International Bike of the Year 2011”

BMW K 1600 GT ได้รับรางวัล “International Bike of the Year 2011” จากการประกวดโดยนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของเบลเยี่ยม ในงานบรัซเซลมอเตอร์โชว์ ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ความจุ 1,649 ซีซี สามารถผลิตกำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 7,750 รอบ และแรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 5,250 รอบส่งกำลังผ่านเกียร์แบบ Helical Synchromesh 6 สปีด ซึ่งทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างมีพลังที่ต่อเนื่องและเรียบเนียน ซึ่งเป็นคาร์แรกเตอร์ที่สำคัญของมอเตอร์ไซค์ประเภททัวร์ริ่งที่เน้นการวิ่งทางไกล ความเหนือชั้นอีกประการอยู่ที่เทคโนโลยี Lightweight Engineering โดยเครื่องยนต์ 6 สูบของ BMW K 1600 GT นี้มีน้ำหนักเพียง 102.6 กิโลกรัม ซึ่งจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในคลาสเครื่องยนต์ > 1,000 ซีซี และที่สำคัญ นอกจากน้ำหนักเบาแล้ว เครื่องยนต์นี้ยังมีความแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของวิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยู ยกตัวอย่างเช่น แคมชาร์ฟและกระเดื่องวาล์วน้ำหนักเบาที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมอย่างเหนือชั้นและผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบาพิเศษ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบให้มีความสมดุลในตัวเอง จึงไม่ต้องอาศัย Balance Shaft ในการสร้างสมดุลให้กับเครื่องยนต์ เพื่อช่วยลดชิ้นส่วนที่เกินจำเป็น

BMW K 1600 GT มาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูล Multi-Controller สุดไฮเทค โดยแสดงผลผ่านจอมอนิเตอร์แบบ Color TFT ขนาด 5.7 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่ระหว่างมาตรวัดความเร็วและวัดรอบ ซึ่งนอกจากจะสามารถแสดงข้อมูลจากระบบ On-board Computer ต่างๆ แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมสั่งการระบบ Infotainment ที่ได้ประยุกต์ใช้ระบบดังกล่าวในมอเตอร์ไซค์

BMW K 1600 GT พร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัย เช่นระบบ แทร็คชั่นคอนโทรล ระบบควบคุมช่วงล่างอิเล็คโทรนิค ระบบไฟหน้าปรับตามการเลี้ยว (Adaptive Headlight) และระบบ ABS เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยสูงสุด

BMW S 1000 RR รหัสความแรงที่มาพร้อมให้สัมผัสบนสังเวียนทางเรียบ

ด้วยการออกแบบเพื่อความเป็นสปอร์ตและการขับขี่ที่ว่องไว บนคอนเซ็ปต์มอเตอร์ไซค์แบบซุเปอร์ไบค์ BMW S 1000 RR ไม่ทำให้แฟนทางเรียบผิดหวังด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 1,000 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ และระบบวาล์วพิเศษที่ผลิตจากวัสดุไทเทเนียม บนตัวถังเฟรมอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับมอเตอร์ไซค์แข่ง นอกจากนั้น BMW S 1000 RR ยังได้รับการติดตั้งระบบเสริมความปลอดภัยต่างๆ เช่น Race ABS และระบบรักษาเสถียรภาพ DTC Dynamic Traction Control ที่สามารถปรับเลือกโหมดการขับให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานได้ เช่น โหมด Rain สำหรับถนนเปียก โหมด Sport สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต โหมด Race สำหรับการแข่งขัน และ โหมด Slick สำหรับใช้ในสนามแข่งและใส่ยางแบบสลิ๊ค

BMW S 1000 RR สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 193 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 112 นิวตัน-เมตรที่ 9,750 รอบและมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรภายใน 2.9 วินาที

* กรุณากดปุ่ม Show 100 entries เพื่อแสดงตารางทั้งหมด

[table id=9 /]

ลูกค้าสบายใจได้เสมอกับโปรแกรมบำรุงรักษาและซ่อมแซม BSI BMW Services Inclusive และ MSI MINI Services Inclusive และโปรแกรม BMW Premium Selection และ MINI Next สำหรับรถมือสอง

หัวใจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจสูงสุด คือ ความสบายใจของลูกค้า ดั้งนั้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูจะมาพร้อมกับโปรแกรมบริการหลังการขาย BSI BMW Services Inclusive ซึ่งเป็นการรับดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมตลอดระยะเวลา 5 ปี/ 100,000 กิโลเมตร ในขณะที่รถยนต์มินิจะมาพร้อมกับ MSI MINI Services Inclusive ซึ่งเป็นการรับดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมตลอดระยะเวลา 3 ปี/ 50,000 กิโลเมตร โปรแกรมบำรุงรักษาและซ่อมแซมทั้งสองนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างความสบายใจแล้ว ยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ (Low Cost of Ownership) อีกด้วย

นอกจากนั้น บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังมุ่งหน้าทำตลาดรถยนต์มือสองอย่างต่อเนื่อง ผ่านโปรแกรม BMW Premium Selection สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และ MINI Next สำหรับรถยนต์มินิ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มความสบายใจให้กับผู้ซื้อรถยนต์มือสอง โดยมีการรับประกัน 2 ปี/ 40,000 กิโลเมตรแล้ว ยังเป็นการสร้างความต้องการต่อเนื่องสำหรับรถยนต์ทั้งสองแบรนด์ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าราคารถมือสองในตลาดอีกด้วย

2012 BMW 3-Series at Bangkok Motor Show 2012

2012 BMW 3-Series Modern & Sport Line

BMW ActiveHybrid5

BMW X6 M

MINI Roadster

2012 BMW S1000 RR

2012 BMW C650 GT

2012 BMW C600 Sport

2012 BMW K1600 GT


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ