เปิดตัวรถสปอร์ตครุยเซอร์โมเดลใหม่ “ดูคาติ แดเวล” ในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 33”
เปิดตัวอย่างสง่างาม สำหรับขุมพลังที่จะมาสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ให้วงการบิ๊กไบค์ ที่รู้จักกันในนาม “ดูคาติ แดเวล” (Ducati Diavel) ซึ่งเปิดตัว ในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 33” (33rd Bangkok International Motorshow) ที่สุดของงานแสดงเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ยนตรกรรมสรรสร้างเทคโนโลยี (Technology Difference) โดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ดูคาติ (Ducati) ร่วมกับ Mr.Pierfrancesco Scalzo, Asia Pacific Sales Director ณ บูธ A14 อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีสาวกดูคาติและสื่อมวลชนเฝ้ายลโฉม “ดูคาติ แดเวล” จำนวนมาก อาทิ ปนัดดา วงศ์ผู้ดี และพิษณุ นิ่มสกุล เป็นต้น
อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ดูคาติ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดเวลาที่ดำเนินธุรกิจมา 9 ปี ในช่วง 3 ปีหลัง ดูคาติได้มีผลตอบรับที่ดีจากลุ่มผู้สนใจในซูเปอร์ไบค์ ทั้งที่เป็นผู้ขับขี่เดิมและกลุ่มใหม่ จนปี 2554 มียอดส่งมอบดูคาติทั้งหมด 383 คัน ส่วนปี 2555 นี้ ตั้งเป้าอยู่ที่ 1,000 คัน โดยขณะนี้มียอดส่งมอบแล้ว 200 คัน และมียอดจองกว่า 500 คัน เป็นการตอกย้ำว่าดูคาติเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในกลุ่มเน็คเก็ตไบค์หรือมอนสเตอร์ กลุ่มโมตาร์ด กลุ่มสปอร์ตครุยเซอร์ และซูเปอร์ไบค์ และในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งนี้ เราได้เปิดตัวดูคาติรุ่นใหม่ ที่เชื่อว่าจะมาสร้างปรากฏการณ์รูปแบบใหม่ในตลาดรถกลุ่มสปอร์ตครุยเซอร์ ทั้งทางด้านดีไซน์ ด้านวิศวกรรม ความลงตัวของเทคโนโลยี และศิลปะ เร้าใจในประสิทธิภาพด้านการขับขี่ ที่เต็มไปด้วยพลังเครื่องยนต์อันมหาศาล ด้วยเครื่องยนต์ 1,198 ซีซี 162 แรงม้า ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมานั้นลงตัวอยู่ใน “ดูคาติ แดเวล” "
" “ดูคาติ แดเวล” ถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีเทคโนโลยี Riding Mode เพื่อปรับรูปแบบการขับขี่ได้ถึง 3 สไตล์ภายในคันเดียว ได้แก่ Sport ที่ใช้กำลังจากเครื่องยนต์อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด, Touring ที่ให้กำลังบิดตอบสนองที่นุ่มนวล เหมาะสำหรับการเดินทางไกล และ Urban ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมาะต่อสภาพการจราจรติดขัดในเมือง พร้อมระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ที่สตาร์ทรถได้ในรัศมี 2 เมตร โดยหัวใจสำคัญของ “ดูคาติ แดเวล” คือ เครื่องยนต์ Ducati Testastretta 11° ที่พัฒนาจากเครื่องยนต์ของ Superbike1198 โดยปรับปรุงให้ตอบสนองทุกการขับขี่ เป็นสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและการขับขี่ที่สนุกสนาน ซึ่งเราคาดว่า “ดูคาติ แดเวล” นี้ จะสามารถทำยอดขายในงานนี้ได้มากกว่า 100 คัน”
“ดูคาติ แดเวล” ถูกแสดงครั้งแรกในงานมิลานอินเตอร์เนชั่นเนลมอเตอร์โชว์ ปี 2010 ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจในรูปลักษณ์ใหม่แก่นักบิดทั่วโลก และตอกย้ำความประทับใจด้วยรางวัลต่างๆ เช่น “Best Naked Motorcycle of 2012” จากนิตยสารชื่อดังจากประเทศเยอรมัน “Motorrad” และ “Design for Asia Award (DFA)” จากศูนย์การประชุมและแสดงสินค้าฮ่องกง (Hong Kong Convention and Exhibition Centre) ซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดลที่มียอดขายสูงสุด โดยคำว่า "แดเวล” (Diavel) นั้นได้แรงบันดาลใจจากภาษาท้องถิ่น Bolognese ของอิตาลีมีความหมายเท่ากับคำว่า "Devil" หรือ"ปีศาจ" นั่นเอง
“ดูคาติ แดเวล” มีให้เลือก 4 รุ่น ตั้งแต่รุ่น Diavel ABS ตามด้วย Diavel Carbon ซึ่งเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะด้วยวัสุดคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมล้อ Forged Aluminum น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก. หรือจะเลือกเวอร์ชั่น Diavel Cromo และพิเศษสุดกับเวอร์ชั่น Diavel AMG บรรจุชิ้นบรรจุชิ้นส่วนพิเศษจากสำนักแต่งชื่อดังก้องโลกอย่าง AMG ของเมอร์เซเดส เบนซ์ สนนราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 799,000 – 1,658,000 บาท (รับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
พิเศษ ในงานนี้ ดูคาติยังเปิดบูธให้จอง “ดูคาติ แดเวล” ก่อนใคร ด้วยสิทธิประโยชน์และข้อเสนอที่น่าสนใจจำนวนมาก อาทิ Diavel ABS ดาวน์เริ่มต้น 99,000 บาท รับประกันภัยชั้น 1 1ปี/จดทะเบียน พร้อมรับเสื้อยืด “ดูคาติ แดเวล”, Hyper Motard 796 ผ่อน 0% นาน 3 ปี, มอนสเตอร์ 795 ดาวน์เริ่มต้น 20% พร้อมรับซื้อเสื้อยืดดูคาติ มอนสเตอร์, 1199 พานิกาเล่ รับ iPhone 4S 16 GB หรือ iRobot Roomba 780 จำนวน 1 เครื่อง และรุ่นอื่นๆ ที่จองภายในงานรับ Bose Soundlink Wireless Mobile Speaker – Standard (Gray) Nylon Cover หรือ iRobot Roomba 555 ทันทีที่จอง
สนใจเป็นเจ้าของ “ดูคาติ แดเวล” ได้ตั้งแต่วันนี้ – 8 เมษายนศกนี้ ในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 33” ที่ บูธ A14 อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี หรือโชว์รูมดูคาติ สุขุมวิท 55 สอบถามเพิ่มเติมโทร.0-2381-8811 หรืออีเมล info@ducatithailand.com..แล้วคุณจะรักซูเปอร์ไบค์แบบหมดใจแน่นอน
Ducati Diavel ปี 2012
พลังแฝงของรูปทรงและสไตล์
Ducati Diavel ถูกแสดงครั้งแรกในงาน มิลานอินเตอร์เนชั่นเนลมอเตอร์โชว์ ปี 2010 ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจกับรูปลักษณ์ใหม่กับนักบิดทั่วโลก และตอกย้ำความประทับใจด้วยรางวัลต่างๆ และเป็นหนึ่งในโมเดลที่มียอดขายสูงสุด
Ducati Diavel สร้างปรากฎการณ์ในรูปแบบใหม่ในตลาดรถกลุ่ม Sport Cruiser ทั้งทางด้านดีไซน์ ด้านวิศวกรรม ความลงตัวของเทคโนโลยีและศิลป์ ถ่ายทอดความเร้าใจในประสิทธิภาพด้านการขับขี่ พลังเครื่องยนต์อันมหาศาล ทุกอย่างลงตัวอยู่ใน "Diavel"
ตัวรถ Ducati Diavel ถูกออกแบบและผลิตขึ้นตามแนวคิดความลงตัวของน้ำหนักที่เบา ให้พลังสูง ควบคุมง่าย เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ด้วยความสะดวกสบาย ด้วยเทคโนโลยี่ทันสมัยเช่นระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อกตายเมื่อใช้เบรกอย่างกระทันหันหรือแรงเกินไป ระบบ DTC หรือ Ducati Traction Control ช่วยผู้ขับขี่ควบคุมการถ่ายทอดกำลังผ่านล้อหลังอย่างมั่นใจ มั่นคงด้วยดีไซน์ ให้พลังเหลือเฟือจากเครื่องยนต์ 162 แรงม้ากับน้ำหนักตัว 207 กก. ยางหลังขนาด 240 มม. ซีรี่ส์ใหม่สำหรับเติมเต็มให้การขับขี่ในโค้งทำได้อย่างง่ายดาย เสริมบุคลิกความทันสมัย ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอิเล็กทรอนิกส์มากมาย และสามารถต่อเติมไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้ตามใจจากอุปกรณ์เสริมของ Ducati Performance
Ducati Diavel มีให้เลือก 4 เวอร์ชั่นตั้งแต่เวอร์ชั่นมาตรฐาน ตามด้วย Diavel Carbon ซึ่งเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะด้วยวัสุดคาร์บอนไฟเบอร์ หรือจะเลือกเวอร์ชั่นสไตล์หรูหราระดับกับ Diavel Cromo และพิเศษสุดกับเวอร์ชั่นDiavel AMG บรรจุชิ้นส่วนพิเศษจากสำนักแต่งชื่อดังก้องโลกอย่าง AMG
จินตนาการจากสัญชาติญาณดิบ
โปรเจกต์เริ่มต้นของ Diavel เริ่มต้นเมื่อนักออกแบบของ Ducati ใส่ความต้องการส่วนลึกในสัญชาติญาณดิบของตัวเองแล้ววาดมันลงในกระดาษ กับคำถาม "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า" เรามีวิธีการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ในฝัน ซึ่งพวกเราก็ได้สเก็ตมันออกมาในรถแบบ Long and Low
“ความท้าทายในการสร้างเครื่องยนต์ที่แสดงให้เห็นพลังที่ดุดันน่าเกรงขาม กับให้พบความละเมียดละไมบนสัมผัสที่ละเอียดอ่อนและผลสรุปที่ได้คือ ส่วนหน้าที่ดูแข็งแรงดุดัน” ทีมดีไซน์ผู้รับผิดชอบโครงการได้อธิบายถึงดีไซน์ของโปรเจกต์ Diavel "ส่วนล้อหน้าจะต้องอยู่ชิดกับตัวรถและทำให้ส่วนท้ายสั้นเหมือนรถสปอร์ต ซึ่งทำให้เราได้รถสไตล์ Muscular ที่กลมกลืนกับดีไซน์โครงสร้างเชสซีหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของเราอย่างลงตัว"
หากการแสดงออกที่โกรธเกรี้ยวเป็นความน่าเกรงขามรุ่น Streetfighter การแสดงออกของ Diavel ก็คือท่าทางของความองอาจ และแสดงความมั่นใจที่เหนือกว่า ด้วยแผงหม้อน้ำระบายความร้อนเหมือนหน้าอกที่พึ่งพายและช่วงไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผสมกับเอวที่คอดกิ่ว(บริเวณเบาะนั่ง) รับแผงออยล์คูลเลอร์ด้านหน้าที่เหมือนกล้ามหน้าท้องที่แข็งแกร่งเสริมด้วยเส้นสายโครงร่างที่สวยงาม
ยางหลังขนาด 240 มม. เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งสำหรับการออกแบบโดยไม่ยอมให้มันเป็นข้อจำกัดในการออกแบบ โดยทีม R&D พยายามที่จะหาหนทางที่จะใช้มันให้ได้แม้จะรู้ว่าภาพร่างที่เขาส่งให้จะสร้างแรงสะเทือนให้วงการมอเตอร์ไซค์ก็ตามที่
ปรัชญาของ Ducati สำหรับการสร้างนวัตกรรมนั้นขยายขอบเขตของการออกแบบรถจักรยานยนต์ไห้ตื่นเต้นได้ตลอดมา และ Diavel คือ Ducati แท้ๆที่เกิดจากความต้องการออกแบบรถจักรยานยนต์เพื่อแสดงประสิทธิภาพความเป็น Ducati ในทุกๆ การตอบสนอง
ชื่อเรียกขานนาม "Diavel"
คำว่า "Diavel" นั้นได้แรงบันดาลใจจากภาษาท้องถิ่น Bolognese ของอิตาลีมีความหมายเท่ากับคำว่า "Devil" หรือ"ปีศาจ" วันหนึ่งในช่วงแรกๆ ของการพัฒนารถ ระหว่างที่กลุ่มวิศวกรและดีไซน์เนอร์กำลังประกอบรถต้นแบบเต็มคันเป็นครั้งแรก ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่เห็นภาพเงาดำจากด้านหลังของตัวรถด้วยสำเนียง Bolognese ว่า “Ignuràntcomm’ al diavel!” ซึ่งมีความหมายว่า "ปีศาจ มันดูเป็นปีศาจชัดๆ" ซึ่งเช่นเดียวกับที่มาของรถในตระกูล "Monster" เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ชื่อ Diavel ยังคงถ่ายทอดวิธีการกำหนดนามเรียกขานแก่รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ตามประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของโรงงาน
ความสะดวกสบายทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย
เบาะนั่งของ Diavel เป็นแบบ Twin-Level ที่กว้างขวางนั่งสบายและได้รูปทรงที่สวยงามของเส้นสายเข้ากับตัวรถ และด้วยความสูงเบาะส่วนผู้ขับขี่ที่ 770 มม. เป็นหนึ่งในรถรุ่นที่มีเบาะนั่งต่ำที่สุดของ Ducati นอกจากเบาะนั่งแล้วในโครงสร้างหลักที่ต่ำและการปรับน้ำหนักให้อยู่ที่ 207 กก. (สำหรับเวอร์ชั่น Diavel Carbon) ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความรู้สึกเต็มสองเท้า ด้วยท่าทางที่มั่นใจในการควบคุมรถ นอกจากได้ความสวยงามเข้ากับตัวรถแล้ว การถอดฝาครอบเบาะท้ายที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังทำได้อย่างง่ายดายยามมีผู้ซ้อนท้ายที่จะรู้สึกสบายจากพักเท้าหลังแบบ T-bar ที่ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมอะโนไดซ์สีดำที่พับเก็บซ้อนได้ใต้ซับเฟรมหลัง พร้อมกลับหูจับท้ายใต้เบาะนั่งซึ่งเก็บซ้อนใต้เบาะและดึงได้ยามใช้งาน ช่วยให้ผู้ซ้อนท้ายมั่นใจมากขึ้นในการเดินทาง
ระบบส่องสว่าง
ชุดไฟหน้าของ Diavelแบบแยกส่วนไฟสูงไฟต่ำโคมสะท้อนแสงแบบมัลติรีเฟร็คเตอร์ พร้อมไฟแสดงตำแหน่งคาดกลางแบบ LED กรอบโคมไฟหน้าเป็นวัสดุอลูมิเนียมทั้งชิ้น ให้แสงสว่างและมุมแสงที่มองเห็นได้ชัดตามมาตรฐานยุโรป
ชุดไฟท้าย Diavelใช้ไฟท้าย-ไฟเบรก-ไฟเลี้ยวแบบ LED สองแถวเรียงตัวในแนวดิ่งโค้งมนเข้ากับด้านท้ายตัวรถให้แสงสว่างและมุมมองตัดกับโทนดำของตัวรถทำให้รถอื่นๆมองเห็นเด่นชัด และทำให้มุมมองด้านท้ายสวยงามโล่งโปร่งสายตา เช่นเดียวกับไฟเลี้ยวด้านหน้าถูกวางอยู่ริมขอบแผงหม้อน้ำทั้งสองข้างให้สัญญานไฟเห็นเด่นชัดและเข้ารูปกับตัวรถ
ชุดแผ่นติดป้ายทะเบียนพร้อมไฟส่องป้ายฉีกแนว
อุปกรณ์สำหรับติดแผ่นป้ายทะเบียนของ Diavel โดยโครงยึดแผ่นป้ายยึดติดปลายสุดของชุดสวิงอาร์ม ดีไซน์แบบเทรลลิสเฟรมรับกันอย่างลงตัวสะท้อนถึงความเป็นดูคาติ ส่วนตัวแท่นยึดแผ่นป้ายออกแบบให้เป็นบังโคลนล้อหลังรับกับขนาดยาง 240 มม. เสริมความงามด้วยชุดไฟส่องป้ายทะเบียนแบบ LED ที่เก็บซ้อนสายไฟมาเป็นอย่างดีเสริมสไตล์ของตัวรถให้ดุดันแบบ Dragster เต็มพิกัด
ถังน้ำมันและช่องดักอากาศ
ถังน้ำมันของ Diavel มีขนาดความจุ 17 ลิตร แสดงถึงสไตล์โดยรวมของตัวรถ เส้นสายแบบไร้รอยต่อของถังน้ำมันเริ่มต้นจากแผงไฟหน้าลาดยาวจรดเบาะนั่งและซับเฟรมหลัง จุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือหน้าจอแบบความละเอียดสูงที่ถูกติดตั้งอยู่บนส่วนบนของถังน้ำมัน ขณะเดียวกันด้านข้างซ้ายและขวาของตัวถังนั้นคือท่อดักอากาศขนาดใหญ่เพื่อส่งอากาศจำนวนมากเข้าสู่หม้อกรองอากาศเป็นช่องหายใจของเครื่องยนต์ Testastretta11° ให้กำลังขนาด 162 แรงม้าได้ทำงานตามหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
อุปกรณ์และการควบคุม
สัดส่วนของตัวรถเน้นการควบคุมรถที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเป็นหลักแฮนเดิ้ลบาร์หน้า มุมวางแขนกว้าง มีมุมรับกับข้อมือและช่วงแขน ทำจากอลูมิเนียมทรงโคนให้ช่วงการควบคุมสวิตช์ต่างๆ จากนิ้วมือได้อย่างดี มือเบรกและคลัตช์เป็นแบบไฮโดรลิกส์ชุดมาสเตอร์ของ Brembo ชุดกระจกส่องหลังเป็นอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป จัดวางในมุมที่ไม่บดบังทัศนวิสัยการขับขี่ด้านหน้า และมองเห็นได้รวดเร็วที่ด้านหลังสวิตช์ปุ่มควบคุมออกแบบให้กระชับมือให้ความมั่นใจในการใช้งานและเรียนรู้ได้ง่ายโดยปุ่มแต่ละปุ่มจะมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Engine On / Off, ปุ่มควบคุมไฟเลี้ยว ซ้าย-ขวา และปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ ทุกอย่างมีการใช้งานเด่นชัด ส่วนหน้าจอดิสเพลย์ แบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนของเรือนไมล์ และหน้าจอแสดงโหมดการขับขี่บนถังน้ำมัน โดยทั้งสองส่วนใช้โหมดแสดงผลแบบ TFT ให้ความคมชัดและสีสันถึง 16.7 ล้านสี โดยเฉพาะหน้าจอที่เรือนไมล์นั้นใช้เวลาละสายตาเพื่อดูหน้าจอระหว่างการขับขี่สั้นมาก สัญญลักษณ์ต่างๆ เข้าใจง่าย
ลวดลายและสีสัน
Diavel จะมีสีดำไดมอนด์แบล็ค ซึ่งตัวเฟรมจะเป็นสีดำและใช้ล้อสีดำล้วน ส่วน Diavel Carbon Red จะเป็นเส้นแถบสีแดงบนถังน้ำมันและฝาครอบรุ่น โดยล้อจะเป็น Forged Aluminum สีดำกัดลายโชว์เนื้ออลูมิเนียม เน้นเส้นสายเสริมความโดดเด่นบนตัวรถ ส่วน DiavelCromo เน้นโทนสีเงิน-ดำ ชุดครอบถังน้ำมันสีเงินโลหะโลโก้ Ducati ย้อนประวัติศาสตร์ และรุ่น Diavel AMG นั้นเป็นเวอร์ชั่นพิเศษสร้างชิ้นส่วนพิเศษงานคาร์บอนไฟเบอร์จากสำนักแต่งชื่อก้องโลก AMG สีเฟรม "ไดมอนด์ ไวท์-ไบร์ท" ตัดโทนดำของตัวรถและล้อแม็กห้าก้านดีไซน์พิเศษ
ประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมสำหรับอารมณ์ขับขี่สนุกและเดินทางไกล
หัวใจสำคัญของ Diavel คือ เครื่องยนต์ Ducati Testastretta 11° ที่พัฒนาจากเครื่องยนต์ของ Superbike1198 โดยปรับปรุงให้ตอบสนองทุกการขับขี่ เป็นสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและการขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยพลังขนาด 162 แรงม้าและแรงบิดขนาด 13 กม. โดยระบบ Testastretta 11° ใช้กลไกเปิด-ปิดวาล์วแบบ Desmodromic แต่ลดมุมโอเวอร์แล็ปจาก 41° เหลือ 11° ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้นุ่มนวลเน้นกำลังแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ รอบกำลังบิดกว้างขึ้น และมีฟิลลิ่งการตอบสนองเครื่องจะควบคุมง่ายโดยเครื่องยนต์ชุดนี้ถูกพัฒนาใช้ครั้งแรกกับ Ducati Multistrada 1200 โดยปรับปรุงจากเครื่องยนต์ของ Superbike 1198 นอกจากนี้การใช้ระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อแบบ Ride By Wire หรือลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยระบบฟูลอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การตอบสนองเครื่องยนต์แม่นยำและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดค่ามลพิษมากกว่า
ระบบคายไอเสียใช้ท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 58 มม. จัดวางการส่งต่อไอเสียแบบ 2-1-2 พร้อมระบบวาล์วควบคุมแรงดันไอเสียในท่อร่วมไอเสียทำให้การแรงดันของไอเสียสมดุลกับรอบเครื่องยนต์ พร้อมด้วยระบบควบคุมไอเสียแคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ มาตรฐาน Euro 3 ด้านการระบายความร้อน Diavel ใช้ปั๊มน้ำระบายความร้อนขนาดใบพัด 64 มม. ช่วยเพิ่มอัตราไหลของระบบหล่อเย็นได้มากกว่าเดิมถึง 35% ในขณะใช้รอบสูง เมื่อรวมกับดีไซน์ชุดแผงหม้อน้ำที่ครอบด้วยชุดดักอากาศทำให้ อุณหภูมิเครื่องยนต์มีสภาพพร้อมให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา
ระบบเกียร์ของ Diavel ถูกออกแบบใหม่เพื่อรองรับการถ่ายทอดกำลังไปยังยางหลังขนาด 240 มม. โดยเฉพาะ ระบบตัดต่อกำลังเป็นคลัตช์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกันโดยมีสถานะเป็น Slipper คลัตช์ในตัว ซึ่งทำงานโดยแรงขับที่ส่งผ่านตัวชุดคลัตช์หากแรงกระทำเป็นแบบ Negative หรือแรงบิดย้อนกลับ (เช่นการลดเกียร์อย่างรวดเร็ว) มากเกินค่าหนึ่งตัวคลัตช์ก็จะลดแรงกดของสปริงกดคลัตช์เพื่อลดการส่งแรงกระชากที่เกิดกับล้อหลังให้น้อยลง และจะกลับมาเป็นปกติเมื่อกำลังที่ส่งผ่านชุดคลัตช์กลับมาเป็น Positive หรือเมื่ออัพเกียร์ใช้อัตราเร่ง, หรือเมื่อความเร็วเครื่องยนต์สมดุลกับอัตราทดปัจจุบัน และด้วยการปรับปรุงระบบการส่งกำลังดังกล่าวทำให้การตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างเฉียบคมแม่นยำและปลอดภัยต่อการใช้งานบนท้องถนน
ระยะการซ่อมบำรุงใหม่ที่ 24,000 กม.
ด้วยการปรับปรุงการออกแบบเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงทำให้ระยะการเข้ารับการบริการใหญ่ เช่นเข้าตรวจเช็คระยะห่างวาวล์ไอดี-ไอเสียถูกยืดออกไปเป็น 24,000 กม.
เฟรมและโครงสร้างหลัก
ตัวเฟรมหลักของ Diavelยังคงเอกลักษณ์แบบสเปซเฟรมแบบ Trellis Frame โดยมีการออกแบบเพิ่มขนาดท่อเฟรมโครโมลี่ ส่วนซับเฟรมท้ายเป็นอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป สามารถรองรับแรงบิดมหาศาลของเครื่องยนต์ได้อย่างดี น้ำหนักเบา กระทัดรัด, ด้านท้ายอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ เช่นแผ่นรองป้ายทะเบียนและบังโคลนล้อหลังและวัสดุภายในส่วนท้ายผลิตจากวัสดุ Complex Technopolymer คุณภาพสูง ส่วนสวิงอาร์มหลังแบบซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์มเป็นอลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปให้ฟิลการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยระยะฐานล้อ 1,590 มม. รองรับมุมเอียงเข้าโค้งได้ถึง 41° จากแนวดิ่
ระบบกันสะเทือน
Diavel เบสเวอร์ชั่นจะมาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ (USD) ขนาด 50 มม. ของ Mazocchi สามารถปรับสปริงพรีโหลด - อัตรายุบตัวและคืนตัวได้อิสระ พร้อมกับชุดยึดแกนโช๊คอัพด้านล่างแบบอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปกับแกนแผงคอแบบ Triple-Clamp ตัวยึดแนวเฉียง ส่วนด้านบนแผงคอเป็นอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ติดตั้งพร้อมชุดลดแรงสะเทือน Rubber-Mounted ที่ตุ๊กตาแฮนด์ ส่วนแฮนด์เป็นโลหะอลูมิเนียมอัลลอยด์ท่อทรงโคน ชุดกันสะเทือนหน้าให้มุมชัน 28° และระยะเทลล้อที่ 130 มม. ระยะออฟเซ็ทแกนดุมล้อกับมุมชันตกกระทบที่ 24 มม. ให้มุมหักเลี้ยวซ้าย-ขวาด้านละ 35° (รวม 70°) ส่วน Diavel Carbon ใช้โช๊คหน้ารุ่นเดียวกันแต่เคลือบสาร Low-Friction Diamond-Like Carbon (DLC) สีดำ
ระบบกันสะเทือนหลังทั้ง 2 เวอร์ชั่นใช้ของ Sachs ตัวกระบอกโช๊คอัพวางแนวนอนใต้ส่วนท้ายห้องเกียร์ทำงานด้วยกระทบแรงแบบก้าวหน้าแบบ Pull-Rod Linkage กับซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์ม ปรับตั้งอัตราหน่วงการยุบตัวและคืนตัวได้ ส่วนสปริงพรีโหลดสามารถปรับตั้งได้ด้วยมืออย่างง่ายดาย
ล้อ-ยาง บ่งบอกว่าในโค้งไม่แพ้ใคร
ล้อของ Diavel เป็นอลูมิเนียมแบบ 14 ก้านขนาดล้อหน้า 3.5 x 17 นิ้ว ส่วนล้อหลังทรงเดียวกันเน้นความแข็งแรงทางโครงสร้าง น้ำหนักเบาขนาด 8 x 17 นิ้วส่วนรุ่น Diavel Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum จาก Marchesini ผลิตเป็นพิเศษด้วยการใช้เครื่องจักรมาแต่งลวดลายบนล้อให้ดูน่าสวยงามและมีน้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก.
สำหรับยางทีมออกแบบและพัฒนา Diavel ได้ทำงานร่วมกับ Pirelli จนได้ยางซีรีส์ Diablo Rosso II โดยยางหน้าใช้ขนาด 120/70 17 ที่ดีไซน์มาเป็นพิเศษให้การเกาะถนนสูงสุดสำหรับถนนเปียก ส่วนยางหลังใช้ขนาด 240/45 17 ซึ่งเป็นยางแบบพิเศษที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Diavel ช่วยให้การผู้ขับขี่สามารถได้อารมณ์ตอบสนองแบบสปอร์ตมากกว่าที่ใครจะคิด
เนื้อยางจาก Pirelli โดยเฉพาะล้อหลังใช้เทคโนโลยี่การออกแบบส่วนผสมแบบ Bi-Compund เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนมากที่สุดเมื่อเอียงรถเข้าโค้งและมีอายุการใช้งานยาวนานรับกับแรงบิดแรงกระชากตัวของเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสมด้วยเทคนิค (EPT) ให้หน้าสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนนเป็นไปอย่างสมดุลทุกมุมเอียงของรถ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานในทุกสภาพอากาศโดยเฉพาะเมื่อถนนเปียกหรือขับขี่กลางฝน
ในการออกแบบยางหลังให้กับ Diavel ชุดนี้วิศวกรของ Pirelli ต้องทำงานคู่ขนานไปกับการดีไซน์ตัวรถของทีมวิศวกรของ Ducati เพื่อโครงสร้างหลักและยางทำงานสอดคล้องกันได้อย่างลงตัวที่สุดจนอาจจะเรียกได้ว่าเปลี่ยนกฏการออกแบบสำหรับรถคลาสนี้ไปเลย
ระบบเบรกหลัก Brembo + ABS ของ Bosch
ระบบเบรกหน้าของ Diavel ทุกเวอร์ชั่นใช้ปั๊มเบรก Brembo แบบ Monobloc แบบ 4 ลูกสูบเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมแม่ปั๊มเบรกแบบเรเดียลเมาท์ที่ออกแบบ เรือนกระปุกน้ำมันเบรกอลูมิเนียมให้เสมือนเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวแม่ปั๊ม ทำงานร่วมกับจานเบรกหน้าแบบทวินดิสก์ขนาดจาน 320 มม. แบบเซมิโฟล์ทติ้งดิสก์ ส่วนเบรกหลังใช้ขนาดจาน 265 มม. แม่ปั๊มหลักแบบ 2 ลูกสูบจาก Brembo เช่นกัน ในเวอร์ชั่น Diavel Carbon แผ่นยึดจานเบรกออกแบบเซาะร่องโชว์เนื้อโลหะตัดกับสีดำของแผ่นยึดจานเบรก เมื่อเทียบคุณภาพแล้วระบบเบรกของ Ducati Diavel ถือว่ามีมาตรฐานสูงสุดในตลาดเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกัน
ระบบ ABS ป้องกันล้อล๊อกตายเป็นระบบใหม่ล่าสุดที่ Brembo และ Bosch ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี่ร่วมกัน เมื่อรวมกับการใช้ยางแบบเนื้อผสม Enhanced Patch Technology (EPT) จาก Pirelli แล้วทำให้ภาพรวมของระบบเบรกของ Diavel มีประสิทธิภาพสูงสุดเทียบเท่ากับรุ่นท็อปของ Ducati Superbike
เทคโนโลยีใน Ducati Diavel
1.แผงระบายความร้อนด้านข้างตัวรถ
เพื่อให้ตัวรถดูสะอาดตามากที่สุด การแก้ปัญหาโดยใช้เทคนิคชั้นสูงด้วยการออกแบบแผงระบายความร้อนไว้ที่ด้านข้างของตัวรถทั้งสองด้านพร้อมพัดลมระบายความร้อน โดยการดีไซน์แบบนี้จะใช้หลักอากาศพลศาสตร์มาช่วยดึงเอาความร้อนออกจากแผงหม้อน้ำขณะที่มีพัดลมไฟฟ้ามาช่วยทำงานในกรณีที่วิ่งความเร็วต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นการผสานระหว่างรูปลักษณ์และประสิทธิภาพการใช้งานให้ได้ประโยชน์สูงสุด
2.หน้าปัดแยกส่วนการแสดงผล
ผลงานระดับ Masterpiece ที่น่าทึ่งบน Ducati Diavel คือเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ LCD แบบแยกส่วนการแสดงข้อมูลโดยแบ่งตามลำดับความสำคัญต่อการขับขี่ โดยจอแสดงผลที่หน้าปัด จะแสดงสัญญาลักษณ์ไฟเตือนต่างๆ เช่นไฟเลี้ยว, ไฟสูง, ไฟเตือนเครื่องยนต์ - น้ำมันเชื้อเพลิง - น้ำมันเครื่อง - แสดงเวลา - อุณหภูมิ ส่วนจอแสดงผลด้านล่างบนถังน้ำมันใช้เทคโนโลยี TFT (Thin Film Transistorซึ่งเป็นเทคนิคของจอแสดงผลสำหรับโมบายโฟน และมอนิเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ) แสดงผลในโหมด 16.7 ล้านสี พร้อมปรับค่าความเข้มตามระดับแสงสว่างในขณะใช้งานโดยอัตโนมัติโดยการเปลี่ยนโทนสีของ Background เป็นสีขาวยามกลางวันและสีดำยามกลางคืนหรือแสงน้อย แสดงโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้ พร้อมทั้งแสดงโหมดการทำงานของ ระบบ DTC และ Ride-by-Wire กรณีที่ผู้ใช้งานมีการปรับตั้ง ซึ่ง Diavel เป็นรถรุ่นแรกในโลกที่ใช้จอ TFT ในการแสดงผล
3.ระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์
ระบบกุญแจของ Diavelเ ป็นกุญแจอิเล็กทรอนิกส์เพียงผู้ขับขี่มีกุญแจและอยู่ใกล้ตัวรถในระยะ 2 เมตร ระบบในตัวรถเช็ครหัสกุญแจโดยอัตโนมัติ ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทเครื่องและเปิดระบบฟังก์ชั่นต่างๆ บนตัวรถได้ การสตาร์ทเครื่องยนต์เพียงกดปุ่มบนกุญแจ ON กดสวิตช์แฮนด์ขวา (Ignition) ไปที่ตำแหน่ง ON และกดสตาร์ทเครื่องยนต์ กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ภายในประกอบด้วยวงจรที่ควบคุมด้วยคลื่นวิทยุ ส่วนภายนอกตัวดอกตัวกุญแจเป็นแบบพับเก็บสำหรับเปิดฝาถังน้ำมันและเบาะนั่ง เมื่อต้องการจอดรถโดยให้ระบบล๊อกรถทำงาน กดปุ่ม Ingition ในเป็น Off จากนั้นหักคอรถให้สุดด้านซ้ายหรือด้านขวา ตามด้วยการกดปุ่ม Ignition-Off ครั้งที่ 2 ระบบจะทำการล๊อกคอให้อัตโนมัติ
4.ระบบ Ride-By-Wire(RbW)
ระบบเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นส่วนที่เชื่อมการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่กับเครื่องยนต์ โดยจะตอบสนองการทำงานกับคันเร่งและโหมดการขับขี่ (3 โหมด) ที่ผู้ขับขี่ได้เลือกไว้ ระบบ Ride-By-Wire จะไม่มีสายสลิงจากคันเร่งไปควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อโดยตรงอีกต่อไป แต่จะส่งสัญญานไปยังชุด ECU เพื่อประมวลผลและสั่งการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อในระดับที่เหมาะสมโดยตัวระบบนี้มี Mapping แผนการทำงานล่วงหน้าอยู่ 3 แบบ เช่นโหมด Sport และโหมด Touring เครื่องยนต์จะให้แรงม้าเต็มที่ 162 แรงม้า และ 100 แรงม้าสำหรับการขับขี่ในโหมด Urban สำหรับการขับขี่ในเมืองหรือย่านจราจรหนาแน่น
5.โหมดการขับขี่ Riding Modes
เป็นนวัตกรรมล่าสุดของ Ducati ที่มีการนำโหมดการขับขี่มาให้ผู้ใช้ได้เลือกตามความเหมาะสมโดยเลื่อกได้ง่ายดายผ่านสวิตช์ควบคุมที่แฮนด์ซ้าย โหมดการขับขี่ยังเป็นตัวประสานการทำงานกับระบบอื่นๆ อย่าง RbW และ DTC
โดยระบบ RbW เป็นชุดแผนผังการทำงานรวมของระบบโดยรับข้อมูลจากระดับการเปิดปิดคันเร่งของผู้ขับขี่ ส่วนระบบ DTC จะมีระดับการทำงานทั้งหมด 8 ระดับเน้นการทำงานเพื่อป้องกันล้อหลังสไลด์จากการเปิดคันเร่งอย่างรุนแรง ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับการตอบสนองทั้ง RbW และ DTC ได้ทั้ง 3 โหมดการขับขี่ และบันทึกค่าต่างๆ เป็นค่าส่วนตัวตามความต้องการได้ ตัวเลือกโหมดการขับขี่มี 3 ทางเลือกต่อไปนี้
โหมด Sport
โหมด Sport เครื่องยนต์จะตอบสนองกำลังสูงสุดด้วยกำลังขนาด 162 แรงม้าผู้ขับขี่จะได้อารมณ์ของการเปิดสุดคันเร่งให้ความรู้สึกตอบสนองของพลังจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° อย่างเต็มที่ ในโหมดนี้ระบบ DTC เพื่อป้องกันล้อหลังหมุนฟรีจะทำงานเพียงในระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่ากำหนดเรื่องการยึดเกาะถนนของยางหลัง
โหมด Touring
ในโหมดการเดินทางไกลนี้เครื่องยนต์จะตอบสนองต่อคันเร่งด้วยกำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้าเช่นกันกับโหมด Sport แต่ให้ฟิลลิ่งของการขับขี่ที่นุ่มนวลกว่า-ไหลลื่นและให้ความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่ ตัวระบบ DTC จะปรับการทำงานไปที่ระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความปลอดภัยแต่ยังคงอารมณ์สนุกจากการเดินทางไกลได้ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย
โหมด Urban
เป็นโหมดสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันเช่นการขับขี่ในเมือง หรือที่มีการจราจรพลุกพล่าน ซึ่งเน้นการขับขี่ที่คล่องตัวกำลังเครื่องยนต์ตอบสนองสมดุลด้วยแรงม้า 100 แรงม้า พร้อมกับระบบ DTC ที่เพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นระดับ 5 รองรับการขับขี่แบบ หยุดๆ วิ่งๆ ในตัวเมืองต่างๆ ได้ดี
6.Ducati Traction Control (DTC)
ระบบ Ducati Traction Control หรือ DTC เป็นระบบสมองกลที่ฉลาดสุดๆ โดยจะทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวกลั่นกรองระหว่างอัตราการเปิดคันเร่งของผู้ขับขี่และอัตราการตอบสนองของล้อหลังภายในเวลาเสี้ยววินาที ตัวระบบจะทำงานโดยการตรวจจับการหมุนของล้อ และตัดกำลังเครื่องยนต์หากกำลังที่ส่งผ่านไปยังลัอหลังนั้นเกินค่ากำหนดเรื่องการยึดเกาะของยางที่ตั้งระดับไว้ 8 ระดับซึ่งแต่ละระดับมี "ความไว" ในการตรวจจับการหมุนของล้อแตกต่างกันเช่นในโหมด Sport ระดับ DTC จะอยู่ที่ระดับ 1 อันเป็นระดับที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ถึงประสิทธิภาพสูงสุดของยางในจังหวะที่เริ่มสไลด์ ส่วนระดับ 8 สูงสุดนั้นจะเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลักในทุกการขับขี่เช่นการขับขี่ในเมืองหรือในถนนที่เปียกลื่น ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตามระดับทักษะการขับขี่ของตัวเองได้ทั้ง 3 โหมด และยังสามารถเลือกปรับค่าได้ตามความต้องการนอกเหนือจากค่าปกติของโรงงาน ทั้งยังสามารถคืนค่าของโรงงานได้โดย ไปที่เมนู A เลือก ตัวเลือก "Default" ค่ามาตรฐานของโรงงานจะถูกเรียกกลับมา
Ducati Diavel ในเวอร์ชั่นต่างๆ
Diavel Carbon
น้ำหนักรถจะอยู่ที่ 207 กก. การดีไซน์เป็นการผสมผสานชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับแนวคิดการออกแบบดั้งเดิมของ Diavel ชิ้นส่วนติดรถหลายชิ้นถูกปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุน้ำหนักเบาพร้อมลวดลาย ให้อารมณ์ Sport และ Style ของ Diavel แท้ๆ อย่างลงตัว Diavel เวอร์ชั่นRed Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก., ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับชุดครอบถังน้ำมัน ครอบเบาะท้าย บังโคลนหน้า, โช๊คอัพหน้า Mazocchiเ คลือบสารลดแรงเสียดทาน - สีดำ เข้าชุดกับคาร์บอนไฟเบอร์บนตัวรถ และจานดิกส์สีดำผิวโลหะสไตล์งานมิลลิ่งน้ำหนักเบา
Diavel AMG Special Edition
ในรุ่นท็อปสุดของตระกูล Diavel รุ่นที่เป็นการประสานงานดีไซน์ร่วมกันระหว่าง Ducati และ AMG ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งชั้นนำของโลก ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับรถยนต์ Mercedes Benz การร่วมมือกันระหว่าง Ducati กับ AMG ทำให้ Diavel AMG ออกมาเป็นเวอร์ชั่นงานศิลปะอันน่าประทับใจในการผสมผสานสไตล์การออกแบบซึ่งกันและกันอย่างลงตัวด้วยสีสันโทน Diamond White Bright กับเฟรมสีขาว
ตัววัสดุและอุปกรณ์ใน Diavel AMG นี้ใช้พื้นฐานของเวอร์ชั่น Diavel Carbon โดยจะโดดเด่นจากล้อเอกลักษณ์ของ AMG แบบ 5 ก้าน, ชุดคาร์บอนไฟเบอร์-อลูมิเนียมครอบแผงหม้อน้ำ, ท่อไอเสีย AMG พร้อมแผงกันความร้อนคาร์บอนไฟเบอร์, เบาะนั่งลอนลูกคลื่นด้วยผ้าหุ้มเบาะแบบ Alcantara®., เครื่องยนต์มีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโดยปรับปรุงองศาแคมชาร์ฟโดยเป็นงานสร้างและปรับปรุงด้วยทีมเมคนานิคของ AMG โดยพวกเขามีปรัชญาในการทำงานที่เรียกว่า One-Man-One-Machine นั้นคือทีมแมคคานิคจะทำงานด้วยขั้นตอนที่เป็นเอกลักษณ์คือการมีแมคนิค 1 คนจะทำงานกับรถ 1 คันตั้งแต่ต้นกระบวนการจนจบการทำงาน เป็นการทำงานจากประสบการณ์ของแมคคานิคแต่ละค้น และรถทุกคนก็จะจารึกชื่อเมคนิคที่ดูแลรถคันนั้นเอาไว้ที่ด้านซ้ายของตัวเคส และรถทุกคันในเวอร์ชั่นนี้จะมีหลายเลขเฉพาะเรียงลำดับประดับอยู่บนถังน้ำมัน
Ducati Diavel Black
Ducati Diavel Carbon Red
Ducati 2012
ความคิดเห็น