เปิดตัวแล้ววันนี้ในงาน Auto China Show 2012 กับรถที่ทุกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตารอแม้ว่าจะมีภาพและข้อมูลหลุดออกมาก่อนหน้านี้แล้วบางส่วนก็ตาม Lamborghini Urus Concept คือรถที่เรากำลังพูดถึง กับการเป็น SUV/Crossover รุ่นที่ 2 ของบริษัทฯต่อจาก LM002 ที่เลิกผลิตไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ชื่อรุ่นว่า Urus ก็ยังมีที่มาจากชื่อของสัตว์สายพันธุ์วัวสมัยโบราณที่ส่งผ่านสายเลือดมายังวัวกระทิงของสเปนมานานกว่า 500 ปี ซึ่งดีไซน์ของ Urus ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปร่างของวัวกระทิงเช่นกัน
Lamborghini Urus Concept มีความยาว 4.99 เมตร กว้าง 1.99 เมตร และสูง 1.66 เมตร หรือยาวและกว้างกว่า BMW X6 อยู่ 120 และ 16 มิลลิเมตร ตามลำดับ แต่เตี้ยกว่า 30 มิลลิเมตร และแม้ว่า Lamborghini ไม่ได้ระบุสเปคเครื่องยนต์ที่จะใช้ แต่ยืนยันว่ากำลังสูงสุดของ Urus จะอยู่ที่ประมาณ 600 แรงม้า และมีอัตราการปล่อย CO2 ต่ำที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกัน โดยรุ่น production จะมาพร้อมเครื่องยนต์ V10 หรืออาจจะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ V8 รุ่นใหม่จาก Audi โดยกำลังจะถูกสงไปยังล้อทั้งสี่ผ่านกล่องเกียร์แบบ dual clutch และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาที่มาพร้อมระบบ traction control ที่ป้องกันอาการล้อหมุนฟรี
และก็เป็นไปตามที่เราได้รายงานไปก่อนหน้านี้คือ Lamborghini Urus Concept จะใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับที่ใช้ใน Bentley EXP 9 F Concept และรถเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Porsche Cayenne, Volkswagen Touareg และ Audi Q7 ซึ่งจากการเปิดเผยของบริษัทฯ การที่ Urus มีอัตราการคายมลพิษน้อยที่สุดในรถระดับเดียวกันก็เนื่องมาจาการออกแบบให้รถมีน้ำหนักเบา ไม่เพียงในส่วนของแชสซีส์และตัวถังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตกแต่งภายในที่มีการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมล่าสุดของ Lamborghini การออกแบบที่กล่าวมายังช่วยทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ทำให้เกาะถนนและควบคุมได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ Lamborghini มองว่าเหนือกว่าคู่แข่ง
Stephan Winkelmann ประธานบริหารและ CEO ของ Lamborghini มองว่า รถ SUV/Crossover เป็นรถที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดทั่วโลกประเภทหนึ่ง นั่นทำให้บริษัทฯตัดสินใจเปิดตัวรถขนาด 4 ที่นั่งเพิ่มเข้ามาจากที่มีเพียงรถยนต์นั่งขนาด 2 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่ง Urus มีเป้าหมายในการเจาะกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งของ Lamborghini อยู่แล้ว แต่ก็ใช้รถ SUV ด้วยเช่นกัน การเข้าไปจับจองพื้นที่ในโรงจอดรถของลูกค้าที่ใช้ SUV ยี่ห้ออื่น คงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯอย่างชัดเจน โดยคาดว่าจะสามารถขายรถรุ่นนี้ได้มากกว่า 3,000 คันต่อปี ในตลาดหลักๆคือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมันนี รัสเซีย ตะวันออกกลาง และจีน
สำหรับราคาจำหน่ายคาดว่าจะเริ่มต้นที่ 100,000 เหรียญสหรัฐฯหรือใกล้เคียงกับ Porsche Cayenne Turbo ไปจนถึง 200,000 เหรียญสหรัฐฯเลยทีเดียว!
ความคิดเห็น