รีวิว Honda Civic 2012 ฮอนด้าซีวิค โฉมใหม่ รุ่น 1.8 E Navi เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Honda Civic 2012 ฮอนด้าซีวิค โฉมใหม่ รุ่น 1.8 E Navi เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 30 May 2555

แม้ว่าจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่ก่อนการเปิดตัวในเมืองไทยในเรื่องรูปโฉม แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ยังขายดีเหมือนตามฟอร์มของ Honda ด้วยยอดจองกว่า 5,000 คันในเดือนแรกของการเปิดตัว ชนิดที่เรียกว่าผลิตไม่ทันความต้องการ เราจึงถือโอกาสนำเสนอการขับทดสอบ Civic โฉมใหม่ ที่เราได้คุณ ponds116 บุรุษผู้ที่รักชีวิตหลังพวงมาลัยที่เชี่ยวชาญในเรื่องรถ C-segment โดยเฉพาะ อาสามาขับทดสอบ All-New Civic ให้เราได้อ่านกันในครั้งนี้

DSC_0041_resize

กับสโลแกนที่ว่า 'Progressive Soul' (ทุกรายละเอียดสู่ความสมบูรณ์แบบ) สำหรับโฉมปี 2012 นี้ถือเป็น Civic เจนเนอเรชั่นที่ 9 ต่อจากรุ่นพี่อย่าง FD ซึ่งมียอดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สำหรับโฉมนี้ มีรหัสตัวถังว่า‘FB’ ได้ทำตลาดออกมาทั้งหมด 5 รุ่นด้วย กัน ซึ่งแบ่งเป็น เครื่องยนต์ 1.8 4 รุ่น ได้แก่ S MT, S AT, E AT, E AT NAVI และ 2.0 EL AT NAVI อีก 1 รุ่น ซึ่งเจ้า FB นี้ ทาง Honda คงเน้นจุดขายเรื่อง หน้าจอ i-MID ที่สามารถเชื่อมต่อควบคุมและปรับแต่งลูกเล่นได้หลากหลาย เพียงปลายนิ้วบนปุ่มที่พวงมาลัย และเรื่องของ Eco Assist ที่จะเป็นมิตรต่อโลก จะขอพูดถึงรายละเอียดของเจ้า FB กันเลยละกัน

ภายนอก สำหรับเจ้า FB นี้ดูจากโครงสร้างตัวถังและมิติรถ ดูจะไม่แตกต่างจากตัวพี่ FD สักเท่าไร รูปลักษณ์ที่ต่างคือ บริเวณกันชนหน้าจะดูมีความเหลี่ยมคมขึ้น ตั้งแต่มุมกันชนหน้ากับโคมไฟหน้าไปยังกระจังหน้า เหมือนได้รับการพัฒนาดีไซน์ มาจาก City และ Accord บริเวณด้านท้ายก็เช่นกัน มันดูมีความเหลี่ยมคมขึ้นชัดเจน ไฟท้ายจากที่เคยมีความโค้งมนในตัวพี่ ก็ได้หายไปกลายมาเป็นทรงเหลี่ยมแทน แต่สิ่งที่ประทับใจคือ โคมหน้านั้นเป็น projector ให้มาเลย ซึ่งใน C segment นี้เห็นมีแต่เจ้า 3 จากค่าย Mazda และ Lancer EX 2.0 เท่านั้น และไฟหน้าสามารถปรับระดับได้อัตโนมัติเฉพาะในรุ่น 2.0 มือจับประตูโครเมียมมีเฉพาะในตัว 2.0 ไฟตัดหมอก, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้างและกล้องมองหลังซึ่งจะมีในรุ่น E ขึ้นไป ล้ออัลลอยขอบ 17” ในรุ่น 2.0, ขอบ 16” ในรุ่น 1.8 E และ ขอบ 15” ในรุ่น 1.8 S

โดยรวมแล้วจากโครงสร้างของรถก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปจาก FD มากนัก ส่วนเรื่องความชอบในดีไซน์ความสวยงามนั้น ขึ้นกับความคิดเห็นแต่ละคนที่จะชอบหรือไม่แตกต่างกันไป

ภายใน วัสดุภายในนั้นจะเป็นสีดำในรุ่น 2.0 และสีเบจในรุ่น 1.8 วัสดุหุ้มเบาะ ของรุ่น 1.8 S เป็นผ้า นอกนั้นจะเป็นหนัง ความรู้สึกที่ได้ดูเรียบง่าย ไม่ได้สปอร์ตมากมายหรือดูหรูหราสักเท่าใด (เหมือนอย่างที่โฆษณาไว้ว่าสปอร์ตหรูเต็มขั้น) ซึ่งความรู้สึกที่ได้ไม่ต่างจาก FB นัก เบาะคนขับปรับระดับไฟฟ้า มีตั้งแต่รุ่น E ขึ้นไป เพิ่มความสะดวกสบายขึ้นและหาได้ยากในรถราคาไม่ถึงล้าน ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มความสะดวกสบายก็มีครบครัน ที่มีเพิ่มเข้ามาเห็นโดดเด่นอยู่เหนือมาตรวัด คือ จอ i-MID ซึ่งเจ้าจอนี้ทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยอัจฉริยะ จะแสดงบอก โหมดการทำงานต่างๆ แทรคเพลงที่เล่น, แสดงเวลา, อัตราสิ้นเปลือง, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย, ระแบบแจ้งเตือน ฯลฯ พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ปรับได้ 4 ทิศทาง มีปุ่มควบคุม Multifunction อยู่ในทุกรุ่น เพราะต้องใช้ควบคุม i-MID ซึ่งค่ายอื่นๆ Multifunction มักจะมีให้ในบางรุ่น ส่วน cruise control และปุ่มรับวางสายโทรศัพท์นั้น จะมีในรุ่น E ขึ้นไป ระบบแอร์อัตโนมัติก็มีในรุ่น E ขึ้นไปเช่นกัน ส่วน paddle shifter ระบบ keyless และ push start มีเฉพาะในตัว 2.0 เท่านั้น

เครื่องยนต์ ทาง Honda ได้กลับมาเลือกใช้ SOHC (ระบบแคมเดี่ยว) ทั้งในตัว 1.8 และ 2.0 ซึ่งทางผู้เขียนคาดว่า เหตุผลอาจเป็นเพราะ เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง และกำลังเครื่องในรอบต่ำจะมาดีกว่า ซึ่งเหมาะแก่การขับในตัวเมือง และสำหรับเจ้า FB นี้ทาง Honda ได้เน้นเรื่องการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องยนต์ที่รองรับน้ำมัน E85 ได้ทั้งตัว 1.8 และ 2.0 ระบบ eco assist, econ mode ซึ่งควบคุมการทำงานลิ้นปีกผีเสื้อ ตัวนี้หน้าที่การทำงานจะคล้ายๆ กล่องคันเร่งไฟฟ้า ที่ขาซิ่งชอบนำมาติดกัน ซึ่งส่วนใหญ่ที่ติด มักจะเลือกใช้ sport mode มากกว่า eco mode ในส่วน eco coaching ซึ่งได้คำนวนมาจากพฤติกรรมการขับขี่และนำมาแสดงผลในจอ i-MID ซึ่งจะแสดงเป็นแถบสีเขียว เมื่อมีการใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้น่าจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ขับมีพฤติกรรมการขับที่ดียิ่งขึ้น? สำหรับด้านสมรรถนะเครื่องยนต์นั้น ตามสเป็ก ที่ให้ไว้นั้น เครื่อง 1.8 ให้กำลัง 141hp@6500rpm แรงบิด 174Nm@4300rpm ส่วน 2.0 ให้กำลังที่ 155hp@6500rpm แรงบิด 190Nm@4300rpm ซึ่งถือว่าเป็นรถ C segment ที่ให้แรงม้าสูงที่สุดเลยทีเดียว

DSC_0030_resize

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็น McPherson Strut ด้านหลังได้เปลี่ยนจาก Double Wishbone ในตัว FD เป็น Multi Link ซึ่ง การเปลี่ยนเทคโนโลยีกันสะเทือนด้านหลังนี้น่าจะทำให้ ช่วงล่างกลับมาสูสีกับหลายๆค่ายได้

ระบบขับเคลื่อนและการควบคุม เกียร์อัตโนมัติ 5 speed grade logic control ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ และเป็นตัวเดียวกันกับใน FD มีอัตราทดเกียร์เท่ากัน ในตัว 1.8 แต่ในตัว 2.0 เกียร์ 1-4 จะมีอัตราทดน้อยกว่าตัว FD อยู่ 0.001 เจ้าเกียร์ตัวนี้มีอัตราทดเกียร์ที่ต่ำกว่าหลายค่าย จึงทำให้ความเร็วที่รอบเครื่องต่างๆ ไม่สูง ซึ่งเป็นผลดีต่ออัตราการสิ้นเปลืองด้วย พวงมาลัย เป็นแบบแรคแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS ระบบเบรก เป็นดิสเบรก 4ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบระบายความร้อน

ระบบความปลอดภัย เพียบพร้อมครบทั้งในด้านการควบคุมและความปลอดภัยของตัวรถตามที่ควรจะมี ไม่ว่าจะเป็น ABS และ EBD ในการเบรกรถ แต่ระบบ VSA มีเฉพาะในรุ่น 2.0 เป็นระบบที่ช่วยควบคุมการทรงตัวเวลาเทโค้งหรือเจอถนนลื่น โครงสร้างตัวถัง G-CON ช่วยดูดซับแรงและกระจายแรง กุญแจ immobilizer ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS และด้านข้าง i-side airbags กล้องมองภาพด้านหลังมีเฉพาะรุ่น Navi ช่วยในการถอยจอด กุญแจ keyless มีเฉพาะรุ่น 2.0 ซึ่งถ้าหากกุญแจอยู่ที่ด้านท้ายรถ จะไม่สามารถปิดฝากระโปรงท้ายได้ รายละเอียดเล็กน้อยตรงนี้ถือเป็นปลีกย่อยที่ทำได้ค่อนข้างดี

สัมผัส All-New Civic ก่อน Test Drive

สำหรับการ Test Drive ในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทาง ฮอนด้าสาธุประดิษฐ์ ที่ได้เอื้อเฟื้อรถในการทดลองครั้งนี้ คันที่ได้มานี้เป็น 1.8 E Navi สีขาว ซึ่งเป็นตัว top ของเครื่อง 1.8 เมื่อได้เปิดประตูรถเข้ามานั่งที่คนขับทำการปรับเบาะคนขับซึ่งเป็นไฟฟ้า(ในรถราคาไม่ถึงล้านมีเบาะไฟฟ้าให้ถือว่าหรูเลย) แล้วจึงปรับระดับพวงมาลัยซึ่งปรับได้ 4 ทิศทาง รวมถึงกระจกมองข้าง เมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทางกันเลย หลังจากที่ได้มาอยู่ด้านหลังพวงมาลัยอันนี้ รู้สึกได้ว่ามันกระชับมือดีจริงๆ วงไม่ใหญ่เกินไป แต่ปุ่ม multifunction ทางด้านซ้ายมือ ในช่วงแรกๆ ก็เล่นเอางงๆ อยู่เหมือนกัน ต้องลองเล่นไปสักพักคงชินมือ เพราะมันมีปุ่ม ที่เพิ่มมาคือ source ซึ่งใช้เลือกว่าเป็น วิทยุ, CD, Bluetooth ฯลฯ กับปุ่ม information ซึ่งไว้เลือกโชว์การแสดงบนหน้าจอ i-MID และใน vehicle menu ยังสามารถที่จะ customize setting ได้ตามต้องการ อาทิ การตั้งเวลาการล๊อคประตู การตั้งเวลาปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และที่ขาดไม่ได้ในการรับโทรศัพท์ คุณสามารถที่จะรับสายด้วยนิ้วนางซ้าย และวางสายด้วยนิ้วก้อยซ้าย มันทำให้คุณปลอดภัยและเพิ่มความสะดวกสบายจริงๆ การตกแต่งภายในรถนั้นดูเรียบง่าย สบายๆ บริเวณคอนโซลข้างเบรกมือ มีช่องให้วางของซึ่งสามารถเลื่อนออกมาเป็นที่วางแก้วได้ 2 แก้ว ดูใส่ใจรายละเอียดดี การเชื่อมต่อ USB ต้องมาเปิดที่ท้าวแขน ซึ่งอันนี้ควรจะย้ายไปวางไว้ข้างช่อง power outlet กับ AUX มากกว่า หน้าจอ Navi ขนาด 5 นิ้วกว่า ซึ่งดูเล็ก และ resolution ไม่สูงทำให้ดูเส้นทางลำบากไปหน่อย เมื่อเข้าเกียร์ถอย จอ Navi จะเปลี่ยนภาพมาเป็นกล้องมองหลัง ซึ่งจะบอกระยะของพื้นที่ตัวรถที่จะเข้าจอด เพิ่มความสะดวกสบายในการกะระยะจอดเป็นอย่างมาก พอลองยกก้านเบรกมือดูรู้สึกต้องใช้แรงยกมากหน่อย ซึ่งอาจเป็นเพราะตำแหน่งก้านคันโยกที่ยาวและยื่นมาด้านหน้าค่อนข้างมากก็เป็นได้ สำหรับแอร์นั้น Honda เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องเย็นเฉียบอยู่แล้ว ขณะขับรู้สึกได้เลยว่าเย็นมากกกก โดยเฉพาะบริเวณมือขวาต้องมาปรับลดแอร์กันเลย ปุ่ม econ mode ที่อยู่ใต้แอร์ด้านขวาก็อยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการกด

DSC_0033_resize

Test Drive

เส้นทางการขับในวันนี้ ออกจากศูนย์ฮอนด้าสาธุประดิษฐ์ วิ่งออกไปเติมน้ำมัน (fuel save 91) – พระราม 3- กัลปพฤกษ์- บรมราชชนนี (มุ่งไปนครปฐมและกลับรถก่อนถึงศาลายา)- เพชรเกษม- สาทร- นราธิวาส- พระราม3- เข้าปั๊มเดิมเพื่อเติมน้ำมัน

ระยะทางทั้งหมด 79.1 กิโลเมตร ใช้น้ำมันไป 6.62 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเท่ากับ 11.95km/L อัตราสิ้นเปลืองที่ได้นี้ มีผู้โดยสาร 1 คน ในช่วงแรกเป็นการวิ่งที่ไม่มีการติดไฟแดงเลย และมีการเหยียบเร่งแซงบ้างพอสมควร และกลับมาติดในตัวเมืองเล็กน้อยในช่วงหลัง ซึ่งในการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ สภาพการจราจร น้ำหนักบรรทุก สไตล์การขับขี่ ฯลฯ

ขอพูดถึงวิสัยทัศน์กันก่อน เมื่อได้ขับแล้วผู้เขียนก็เกิดคำถามแรกในใจเวลาหันไปมองกระจกข้างทำไมมันดูสั้นจัง? หรือเป็นเพราะทรงมันจะดูเหลี่ยมก็ไม่ใช่ น่าจะยาวกว่านี้อีกสักหน่อย จะทำให้การมองเวลาเปลี่ยนเลนดูชัดเจนมากขึ้น ส่วนวิสัยทัศน์มุมอื่นๆ ก็ ok ดูชัดเจนดี ทั้งมุมมองด้านหลังรถ หากปรับกระจกมองหลังที่มาจากโรงงานแบบ mini size รวมถึงปรับเบาะอย่างเหมาะสม

ส่วนการควบคุมตัวรถพวงมาลัย มีน้ำหนักที่กำลังดีมาก ไม่เบาเกินไปและไม่หนักเกินไปใช้งานในที่รถติดก็ไม่สาวจนเมื่อยหรือวิ่งทางไกล ก็มีความมั่นคงดี ด้านอัตราเร่ง ลองกดคันเร่งหนักๆเท้าดู ช่วงประมาณเกียร์ 2-4 รอบมาไวใช้ได้ เกียร์ตัดขึ้นที่รอบ 4000 ซึ่งแรงบิดสูงสุด 174 Nm มาที่รอบ 4300 ในเกียร์ต้นๆ รอบยังมาไว แต่เกียร์หลังๆ ก็อาจต้องรอกันหน่อยไม่งั้นก็กดลึก หรือ kickdown เพื่อเรียกม้ามาเพิ่ม เป็นที่น่าเสียดายที่ ในตัว 1.8 ไม่มี Sport mode ไม่งั้นคงได้ลากกันมัน เพื่อรีดแรงม้าสูงสุด (แต่ระวังเกียร์จะไปก่อนได้) สำหรับอัตราเร่งในรุ่น 1.8 ด้วยกันนี้ ทำได้ค่อนข้างดีไม่แพ้ค่ายอื่นเป็นแน่ และเมื่อได้ลองกดใช้ econ mode จะมีสัญลักษณ์ใบไม้ขึ้นมา ใช้ขับชิวๆ การตอบสนองของคันเร่งก็จะน้อยลงแบบรู้สึกได้ ขับที่ความเร็วประมาณ 80-100 อยู่พักนึงกับการจราจรปานกลาง อัตราสิ้นเปลืองที่หน้าจอโชว์ที่ 17km/L ถ้าเป็นอย่างที่ i-MID ว่านี้ถือว่าน่าประทับใจเลย

ในส่วนของความสัมพันธ์ของความเร็วต่อรอบเครื่อง ได้ลองที่ความเร็ว 3 ค่า โดยใช้ cruise control ได้ดังนี้

80km/hr= 1500rpm 100km/hr=1900 120km/hr=2300rpm ซึ่งถือว่าทำได้ดีเพราะว่าอัตราทดเกียร์ที่ต่ำกว่าชาวบ้านเขา

เกียร์ automatic 5 speed ตัวนี้ให้ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ที่ดีไม่รู้สึกกระชาก เมื่อขับในสภาวะปกติไม่ค่อยจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์ แต่ถ้าขับแบบเร่งๆก็ ไม่ได้กระชากมากมายอะไร

เบรก เท่าที่ได้ลองดู รู้สึกเบรกไม่ติดเท้าเท่าที่ควร ต้องลงน้ำหนักเบรกลึกพอสมควรถึงเอาอยู่ หรือไม่ก็เบรกแล้วถอนและย้ำลงไปใหม่ ดังนั้นพวกที่ขับจี้ๆ ดูดๆ ต้องระวังให้ดี

ระบบช่วงล่าง ได้พัฒนาเป็น multi link ซึ่งก็เกาะถนนพอใช้ได้ เวลาหักเปลี่ยนเลนยังทรงตัวได้ดี ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ารถลอยๆ เวลาเทโค้ง รู้สึกว่า ไม่แถมาก ยังคุมได้เอารถอยู่ พวงมาลัยที่ให้น้ำหนักดีไม่เบาไม่หนักเกินไป ทำให้ควบคุมรถได้แม่นยำพอสมวร แต่ถ้าเทหนักๆ แบบอัดกันในสนามอันนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าเป็นตัว 2.0 ที่มี VSA ช่วยก็คงจะทำได้ดีกว่า สาดโค้งได้มันขึ้นกว่านี้ ประกอบกับถ้าผู้ขับมีทักษะการเบรกร่วมกับเลี้ยงคันเร่งในโค้งได้เหมาะสม คงรักษาอาการ แถ (under steer) ได้ สำหรับฟีลลิ่งขณะนั่งตอนที่อยู่บนถนนเรียบๆ ดูนุ่มดี แต่พอไปเจอทางขรุหขระ หรือหลุมเข้าหน่อยนี่สะท้านกันเลย จากที่เคยนุ่มเปลี่ยนเป็นกระด้างในทันที แม็กเดิมนี้ขอบ 16”แก้ม 55 ถ้าใส่ 18” แก้มบางๆ นี่อย่าได้พาสตรีมีครรภ์ขึ้นรถกันเลย

สรุป All-New Civic 2012 ถือเป็นรถยนต์ C-segment ที่ครบเพียบพร้อมในเรื่องความสะดวกสบายและลูกเล่น เครื่องยนต์ที่มีแรงม้ามากกว่าชาวบ้านและอัตราเร่งที่ดี รวมถึงเทคโนโลยีรองรับเชื้อเพลิงทางเลือก E85 ทั้งในรุ่น 1.8 และ 2.0 คงเป็นข้อได้เปรียบกว่าค่ายอื่น ส่วนช่วงล่างหลังเปลี่ยนเป็น multi link ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนแต่ก็ยังให้ความรู้สึกกระด้างอยู่ และเบรกถือว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร มันเป็นรถที่เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้งานอย่างปกติในชีวิตประจำวัน ในส่วนรูปลักษณ์ ก็นานาจิตตัง ชอบไม่ชอบแล้วแต่คน แต่สุดท้ายมันก็คงเป็นรถยอดนิยม ไม่แพ้ตัวพี่อย่าง FD แน่นอน การันตีด้วยยอดจองไม่ต่ำกว่า 5,000 คันก่อนที่จะมีการเปิดตัวเสียอีก

สำหรับราคาจำหน่าย All-New Honda Civic 2012 มีดังนี้

รุ่น 1.8 S M/T 773,000 บาท

รุ่น 1.8 S A/T 828,000 บาท

รุ่น 1.8 E A/T 909,000 บาท

รุ่น 1.8 E A/T NAVI 964,000 บาท

รุ่น 2.0 EL A/T NAVI 1,124,000 บาท

สำหรับการทดลองขับฮอนด้าซีวิคใหม่ครั้งนี้ ขอขอบคุณทางพระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า สาขาสาธุประดิษฐ์ ซึ่งเป็นโชว์รูม ศูนย์บริการ ศูนย์ซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานฮอนด้า ซึ่งได้รับความไว้วางใจและการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า จึงได้ขยายโชว์รูมและ ศูนย์บริการอย่างต่อเนื่อง ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นสาขาบางคอแหลม สาขาดาวคะนอง สาขาถนนราธิวาสราชนครินทร์ สาขาพระประแดง และศูนย์บริการสาขาสุรวงศ์ ซึ่งพร้อมกับบริการอื่นๆ แบบครบวงจร เช่น บริการรับซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดี (Honda Certified Used Car) รถเช่าสำรองใช้ระหว่างซ่อม และบริการด้านประกันภัยรถยนต์ โดยเปิดให้บริการทุกวัน วันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 7.00 น. ถึง 19.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 8.00 น. -17.00 น. www.rama3honda.com

(สงวนลิขสิทธิ์บทความทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ 2537)


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ