Ford Escape เป็นหนึ่งในรถอเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดไม่เพียงในตลาดสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากรวมถึงตลาดรถทั่วโลก สาเหตุของความสำเร็จข้อแรกคือระยะเวลาการออกทำตลาดมายาวนานกว่า 11 ปี อีกสาเหตุหนึ่งคือการเป็นรถอเนกประสงค์สไตล์อเมริกันที่ถ่ายทอดการออกแบบมาจากรถเอสยูวีฟูลไซส์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งอย่าง Ford Explorer
รูปลักษณ์และคุณภาพของ All-New Escape 2013 ถือว่าหาจุดด้อยได้น้อยมาก เป็นการถ่ายทอดดีเอ็นเอการพัฒนาเดียวกันกับ Ford Focus ที่ได้รับคำชมมากมาย ทำให้ Escape อัดแน่นด้วยคุณสมบัติที่เกือบจะเรียกได้ว่าเหนือความคาดหมาย ด้วยหน้าตาสุดสปอร์ตเหมาะสำหรับคอรถอเนกประสงค์ที่ต้องการความประณีตและคล่องแคล่วไปพร้อมกัน
Ford แก้ไขข้อบกพร่องจากรุ่นเดิมทุกจุด ด้วยการใช้เครื่องยนต์ 4 สูบรุ่นใหม่เอี่ยม แทนที่บล็อก 4 และ 6 สูบของเดิม สำหรับขุมพลังที่จะคาดว่าได้รับความนิยมมากที่สุดคือเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 178 แรงม้า ซึ่งแข่งกับ Honda CR-V และ Toyota RAV4 ได้สบาย แต่หากใครยังไม่พอใจกับความแรงที่ได้ ก็สามารถเลือกรุ่นท็อปไลน์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้แรงม้ากระฉูดไปที่ 240 แรงม้า Escape ใหม่ทุกรุ่นย่อยใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
การออกแบบ
รูปลักษณ์ของ Ford Escape 2013 ได้รับการดีไซน์ใหม่ที่พลิกโฉมจากรุ่นเดิมไปอย่างสิ้นเชิง อัดแน่นด้วยภาพลักษณ์ความสปอร์ตผนวกกับห้องโดยสารที่ล้ำสมัย ส่งให้ Escape ใหม่ก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับแถวหน้าของเซกเมนท์
นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2001 จนถึง 2012 Ford Escape มีรูปโฉมที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่อย่าง Explorer มาโดยตลอดแต่บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว Escape 2013 มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวที่ผสมผสานรถแฮทช์แบ็กและรถสปอร์ตเข้าไว้ด้วยกัน ฝากระโปรงหน้ามีขนาดยาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตซีดานชั้นดี เสาหลังคาหลังสุด D-pillar ที่มีความชันมากเสริมให้ตัวรถดูคล่องแคล่วคล้ายกับ Focus อย่างไรก็ดี กระจังหน้าขนาดใหญ่หลายช่องของ Escape ใหม่ยังดูไม่ลงตัวเท่าใดนัก
Escape พกพาภาพลักษณ์ของรถครอสโอเวอร์ล้ำสมัยทั้งหน้าตาภายนอกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งดีไซน์ภายในห้องโดยสาร ถึงแม้ทัศนวิสัยอาจจะคับแคบเกินไปหน่อยจากแผงคอนโซลขนาดใหญ่และเสาหลังคาที่ค่อนข้างหนากว่ารถในระดับเดียวกันบนที่นั่งคนขับหลังพวงมาลัยจะพบกับมาตรวัดรูปทรงสุดล้ำ พร้อมหน้าจอขนาดเล็กแสดงผลตรงกลาง แผงคอนโซลติดตั้งหน้าจอแอลซีดีและสวิทช์ควบคุมในตำแหน่งที่เกือบขนานกับพื้นสไตล์เครื่องดนตรีเปียโน ขนาบข้างด้วยดีไซน์ช่องแอร์ทรงตั้งสุดโฉบเฉี่ยว ต่ำลงมามีช่องแอร์ทรงนอนอีกสองช่องค่อนข้างแปลกตา ในห้องโดยสารเน้นการใช้วัสดุมันวาวสีเทาชวนให้นึกถึงการตกแต่งภายในของรถพลังงานไฟฟ้าอย่าง Chevrolet Volt อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนยุคไปในทศวรรษที่แล้วคือช่องใส่ CD ที่มีดีไซน์ใหญ่เตะตาแม้จะยืนอยู่นอกรถห่างออกไปหลายฟุต
สมรรถนะ
เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม Ford ถึงพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าต่างกันมากแต่มีอัตราบริโภคน้ำมันที่ใกล้เคียงกันได้ ตัวอย่างชัดเจนอยู่ที่ Escape รุ่นนี้โดยในรุ่นเริ่มต้นมีตัวเลขแรงม้าแตกต่างจากรุ่นท็อปไลน์พ่วงเทอร์โบอยู่ถึง 75 แรงม้า แต่มีความประหยัดที่ใกล้เคียงกัน
Escape รุ่นใหม่ล่าสุดจะมีรุ่นย่อยให้เลือก 4 รุ่น (สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา) เริ่มจาก Escape S ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิม 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร ประกบด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนสองล้อหน้า ให้พละกำลังสูงสุด 168 แรงม้า แรงบิด 170 ฟุตปอนด์ มีตัวเลขอัตราบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 9.3 กม./ลิตร และ 13.1กม./ลิตร (สำหรับการขับขี่ในเมืองและนอกเมืองตามลำดับ) ทั้งนี้ เครื่องยนต์ในรุ่นเริ่มต้นของ Escape ยังมีพละกำลังมากกว่า Mazda CX-5 2013 ซึ่งมีกำลังอยู่ที่ 155 แรงม้าเสียอีก ขณะเดียวกัน ยังใกล้เคียงกับ Honda CR-V โฉมใหม่ด้วย อย่างไรก็ดี Escape ที่ใช้เครื่องยนต์นี้คาดว่าจะมีสัดส่วนยอดจำหน่ายเพียง 10 เปอร์เซ็นต์โดยส่วนใหญ่เป็นรถขายฟลีต และ Ford ก็ไม่ได้จัดรถรุ่นนี้ให้สื่อมวลชนอเมริกันได้ทดสอบขับด้วย
สำหรับ Escape รุ่น SE และ SEL จะขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง ‘EcoBoost’ 4 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร หัวฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้หรือไดเรคอินเจคชั่น ผลิตพละกำลังสูงสุด 178 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 184 ฟุตปอนด์ มีอัตราบริโภคน้ำมัน 10.2 กม./ลิตรในเมือง และ 14 กม./ลิตรทางไกล ซึ่งใกล้เคียงกับรถในเซกเมนท์นี้อย่าง Hyundai Tucson และ Kia Sportage เหนือกว่า Honda CR-V แต่ยังด้อยกว่าผู้นำในตลาดอย่าง Mazda CX-5 ที่มีอัตราประหยัดระดับ 11 กม./ลิตรในเมืองและ 14.8 กม./ลิตรสำหรับการขับขี่ทางไกล อย่างไรก็ดี ขุมพลังที่มีเพียง 155 แรงม้าของ CX-5 นั้นไม่ค่อยทันใจเท่าใดนัก ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับแรงม้า 178 ตัวของ Escape ซึ่งให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.ได้ในเวลาเพียง 8.5 วินาที
รุ่นท็อปไลน์ Escape Titanium ใช้เครื่องยนต์ EcoBoost บล็อก 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ให้แรงม้า 240 ตัว แรงบิด 270 ฟุตปอนด์ มีบุคลิกการขับขี่คล้ายกับ Kia Sportage SX คือปราดเปรียว ตอบสนองฉับไว เทอร์โบส่งเสียงคำรามได้อย่างเร้าใจ มีอัตราบริโภคน้ำมันที่ 9.3 กม./ลิตรในเมือง และ 12.7 กม./ลิตรทางไกล มีพละกำลังที่ทรงพลังกว่า Honda CR-V อย่างชัดเจน ด้วยอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ต่ำกว่า 8 วินาที
Escape ทุกรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เทอร์โบได้ลงตัว พร้อมรักษาสมดุลระหว่างอัตราเร่งกับความประหยัดได้เป็นอย่างดี ทำให้น้ำหนักตัวที่มากถึง 1,600 กก. ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอย่าง Honda และ Mazda ไม่ได้เป็นจุดด้อยแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ดี สิ่งกวนใจที่พบในEscape ก็คือการไม่มีแป้น paddle เปลี่ยนเกียร์ เพราะ Ford เลือกที่จะติดตั้งสวิทช์บวก-ลบที่หัวเกียร์แทน ซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกสปอร์ตแม้แต่น้อย
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อสำหรับรถอเนกประสงค์เอสยูวีทั่วไปนั้นถือว่าไม่จำเป็นแต่อย่างใด เพราะระบบขับสองล้อก็ถือว่าเพียงพอแล้ว โดยเฉพาะใน Escape ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าที่มาพร้อมกับระบบควบคุมแรงบิดในโค้ง ซึ่งระบบเบรกป้องกันล้อล็อก(ABS) จะช่วยควบคุมการทำงานของล้อที่อยู่ด้านในโค้งเพื่อป้องกันการลื่นไถล ขณะที่ระบบขับสี่ล้อ AWD ของ Escape ทำงานง่ายๆ ด้วยการกระจายพละกำลังหน้าและหลังช่วยกันขับเคลื่อนและยึดเกาะถนนแบบ 100% ยกเว้นแต่ว่าคุณอาศัยอยู่บนเนินเขา หรือต้องขับขึ้นลงเขาอยู่บ่อยๆ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อก็อาจจะคุ้มค่าเงินที่จะจ่ายไป
บุคลิกการขับขี่ของ Escape ใหม่ตอกย้ำว่านี่เป็นรถอเนกประสงค์ที่ได้รับการพลิกโฉมทุกด้านอย่างแท้จริง พิสูจน์ให้ลืมรุ่นเก่าได้อย่างสนิทใจ ความรู้สึกขณะขับคล้ายคลึงกับ Focus แต่มีรูปร่างใหญ่โตกว่า ช่วงล่างหนักแน่นหนึบ พวงมาลัยตอบสนองได้ทันใจแม้อาจจะรู้สึกสะเทือนไปบ้างในบางครั้ง จากการที่เบาะมีความแน่นยิ่งขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว และโครงสร้างตังถังที่มีความแข็งแกร่งกว่า Escape รุ่นเดิม สรุปได้ง่ายๆว่า สมรรถนะการขับขี่ของ Ford Escape รุ่นใหม่เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปในทางที่ถูกต้อง
คุณภาพ
มิติตัวถังภายนอกของ Escape รวมถึงพื้นที่บรรทุกสัมภาระใหญ่โตขึ้นทุกด้าน ห้องโดยสารให้บรรยากาศแบบรถยนต์นั่งมากยิ่งขึ้นถึงแม้พื้นที่รองรับผู้โดยสารจะไม่มากเท่าใดนักและมีขนาดกระจกรอบคันที่ค่อนข้างแคบจึงเปิดโล่งน้อยกว่า Honda CR-Vแต่ก็ยังให้ความสะดวกสบายค่อนข้างดี
ความยาวของ Escape รุ่นล่าสุดนี้อยู่ที่ 4,523มม. มากกว่าเดิม 86มม. โดยมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,689 มม. ยาวกว่าเดิม 71 มม. หากเทียบกับ CR-V แล้ว Escape มีสัดส่วนตัวถังสั้นกว่า แต่ฐานล้อยาวกว่า และถ้าหากเปรียบกับแบรนด์อื่นแล้ว Escape มีขนาดใกล้เคียงกับ Hyundai Santa Fe Sport และใหญ่กว่า Hyundai Tucsonเล็กน้อย
ฐานล้อที่ยาวขึ้นได้เพิ่มพื้นที่ในห้องโดยสารของ Escape ให้มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยเฉพาะพื้นที่ช่วงขาที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 25 มม. อย่างไรก็ดีพื้นที่ช่วงขาโดยรวมยังน้อยกว่าคู่แข่ง โดยเนื้อที่เบาะหน้าของ Escape มีความยาว 1,026 มม. น้อยกว่า CR-V ซึ่งมี 1,049 มม. ขณะที่ช่วงขาเบาะหลัง Escape มี 934 มม. ส่วน Honda มี 972 มม.
ถึงกระนั้น Escape ใหม่ยังมีพื้นที่เหนือกว่ารถครอสโอเวอร์ขนาดเล็กกว่าอย่าง Tucson,Sportageและ Rogue เบาะคู่หน้าซึ่งถูกเบียดด้วยโครงสร้างแผงแดชบอร์ดและซุ้มล้อทำให้พื้นที่วางขามีน้อยกว่า CR-V ขณะที่พื้นที่เบาะหลังถือว่าสะดวกสบายกว่า รองรับผู้โดยสารผู้ใหญ่สองคนได้สบาย สำหรับพื้นที่เหนือศีรษะถือว่ากว้างขวางมาก โดยไม่จำเป็นต้องมีหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟ
เบาะที่นั่งหุ้มหนังด้านคนขับของ Escape Titanium มีความหนานุ่มแน่นให้ความรู้สึกคล้ายกับรถสปอร์ตซีดาน แต่ผู้โดยสารตอนหน้ามีจุดด้อยที่ความคับแคบ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเบาะผู้ขับที่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง แต่เบาะผู้โดยสารตอนหน้ากลับยังต้องปรับด้วยมือแม้ในรุ่นท็อปไลน์ก็ตาม อย่างไรก็ดี เบาะที่นั่งตอนหลังค่อนข้างนั่งสบาย และสามารถปรับเอนได้เพื่อความรื่นรมย์ตลอดการเดินทางไกล
เบาะที่นั่งตอนหลังยังสามารถพับแยกส่วนและเก็บให้แบนราบได้ ด้วยกลไกอันชาญฉลาดทำให้การพับเก็บทำได้ง่ายดายเพียงดึงห่วงเพื่อเก็บหมอนรองศีรษะก็สามารถพับเบาะลงได้ อย่างไรก็ดี การพับเบาะของ CR-V ยังเหนือชั้นกว่าอีกระดับด้วยการพับเบาะรองนั่งเข้าไว้กับหมอนรองศีรษะ และยังมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระมากกว่าด้วย โดย CR-V มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,007 ลิตร ขณะที่ Escape 1,928 ลิตร
สิ่งที่น่าชื่นชมของพื้นที่บรรทุกสัมภาระของ Escape คือการมีโครงสร้างพื้นห้องบรรทุกสัมภาระสองแบบ คือพื้นแบนราบ และพื้นต่างระดับที่ให้เนื้อที่จุได้สูงสุด อีกทั้งยังมีช่องเก็บของแบบมีฝาปิดที่มีความลึกมากขึ้นและเป็นทรงเหลี่ยมมากกว่าเดิมรองรับของมีค่าด้วยความจุมากถึง971 ลิตรอย่างไรก็ดี คนรักสัตว์เลี้ยงอาจไม่ชอบใจนักเพราะด้วยตำแหน่งกระจกที่สูงทำให้สัตว์เลี้ยงของคุณจะไม่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ใดๆได้เลยขณะอยู่ในกรงหลังรถ
ความปลอดภัย
Escape 2013 เป็นรถที่ได้รับการพัฒนาใหม่หมดตั้งแต่โครงสร้าง ซึ่งหน่วยงานเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา ทั้ง National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) หรือ Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ยังไม่ได้ทำการทดสอบความปลอดภัยจากการชน หรือ crash test แต่เราจะนำมารายงานภายหลังอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี ระบบความปลอดภัยก็ยังคงอัดแน่นสไตล์รถอเมริกัน Escapeใหม่ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านนิรภัย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ระบบ MyKey เอื้อให้เจ้าของรถ (ผู้ปกครอง) สามารถควบคุมการทำงานของตัวรถโดยเฉพาะการจำกัดความเร็วสำหรับผู้ขับ (ลูกวัยรุ่น) ขณะเดียวกัน ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมเสถียรภาพในโค้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบนี้ช่วยควบคุมความเร็วของล้อทั้งสี่เพื่อให้ Escape ยังคงเกาะถนนเหนียวแน่นหากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินไป
นอกเหนือจากนั้น Escape รุ่นใหม่ล่าสุดยังมีระบบความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน ทั้งเซ็นเซอร์ช่วยจอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงกล้องมองหลังที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นพื้นที่ด้านหลังรถ และแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งกีดขวางในช่องทางการจราจร
ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าของ Escape ยังมาพร้อมระบบช่วยจอดอัจฉริยะอีกด้วย โดยผู้ขับขี่เพียงแต่ควบคุมแป้นคันเร่งและเบรกเท่านั้น
Escape มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือกใช้ พร้อมกับชุดแพ็คเกจสำหรับการลากจูงสิ่งของ ซึ่งมาพร้อมระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูงทำงานร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพพร้อมไฟหน้าสุดหรู HID
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์พอสมควรที่ Ford เปิดราคาเริ่มต้นของ Escape ที่ราว 20,000 เหรียญสหรัฐ ส่วนใครต้องการรุ่นท็อป แค่ควักกระเป๋าจ่ายเพียง 38,000 เหรียญฯเท่านั้น ขณะที่เอสยูวีพรีเมียมอย่าง Range Rover Evoque เริ่มต้นที่ต่ำกว่า 45,000 เหรียญฯ
Escape S รุ่นเริ่มต้น มีราคาจำหน่าย 23,295 เหรียญฯ มาพร้อมกับระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง AM/FM/CD พร้อมลำโพง 6 ตัว ช่อง auxiliary กระจกไฟฟ้า เบาะผ้า เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ขณะที่ Escape SE มีค่าตัวที่ 25,895 เหรียญฯ พร้อมอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างวิทยุผ่านดาวเทียม ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ระบบเปิดประตูแบบไม่ต้องใช้กุญแจ รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธควบคุมระบบ SYNC ซึ่งสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ แสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 4 นิ้ว
สำหรับ Escape SEL มีราคาจำหน่ายที่ 28,695 เหรียญสหรัฐฯ ให้ความหรูหราด้วยเบาะหนัง และเบาะคู่หน้าปรับอุณหภูมิได้ แสงไฟในห้องโดยสารแบบ ambient และระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน กลางคอนโซลรองรับพอร์ท USB ถึงสองช่อง และช่องเสียบแจ็ค RCA สำหรับการเล่นเกม รวมถึงช่องใส่ SD การ์ดสำหรับเล่นเพลงและอ่านข้อมูลต่างๆ
ในรุ่นย่อย SEL นี้ยังมาพร้อมระบบ MyFord Touch ระบบหน้าจอสัมผัสและการสั่งงานด้วยเสียงซึ่ง Ford แนะนำครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้วเพื่อทดแทนการใช้งานระบบต่างๆ ทั้งเนวิเกเตอร์ และ SYNC แต่อย่างไรก็ดี การสั่งงานต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ อย่างการหาโรงแรมสักแห่งหนึ่งยังต้องสั่งงานด้วยเสียง 5 หรือ 6 คำสั่ง ขณะเดียวกัน Ford ติดตั้งปุ่มเครื่องเสียงและสวิทช์ควบคุมระบบปรับอากาศที่ดูเรียบง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีกว่าเดิม เป็นการถอยหลังก้าวเล็กๆเพื่อพัฒนาก้าวกระโดดเหมือนกับ iDrive ของ BMW และ MMI ของ Audi
ในรุ่นท็อปไลน์Escape Titanium ราคา 31,195 เหรียญฯ นอกจากจะได้ใช้เครื่องยนต์ทรงพลัง 240 แรงม้าแล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยความหรูหรา ทั้งกระจกปรับอุณหภูมิได้ ล้อขนาด 19 นิ้ว ปุ่มสตาร์ท และไฟตัดหมอก นอกจากนี้ ยังมีระบบเปิดฝาท้ายอัตโนมัติเพียงยื่นเท้าไปที่เซ็นเซอร์ใต้กันชนหลัง
ไม่ว่าจะเลือก Escape รุ่นใดก็สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่มีให้เลือกสรรมากมาย ทั้งหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟ ปุ่มสตาร์ท ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบเครื่องเสียงชั้นดีของ Sony การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท ฝากระโปรงท้ายเปิดอัตโนมัติ ระบบช่วยจอด ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ชุดแพ็คเกจสำหรับการลากจูง และแน่นอนว่าสามารถเลือกใช้เครื่องยนต์ EcoBoost รวมถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้
อัตราความประหยัดเชื้อเพลิง
Ford Escape2013 ออกจำหน่ายกลางปีนี้ พร้อมกับการเป็นรถเอสยูวีที่มีอัตราบริโภคน้ำมันที่ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถแข่งขันกับรถอเนกประสงครอสโอเวอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าได้ด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีความประหยัดมากกว่า Escape รุ่นเดิมราว 2.1 กม./ลิตร ตัวเลขจากหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐ หรือ EPA
ต้องยกความดีความชอบให้กับระบบวิศวกรรมที่สามารถพัฒนาให้ Escape ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นเดิมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ Escape ทุกรุ่นย่อยยกเว้น 2.0 ลิตร ยังมีฟังก์ชั่นปิดกระจังหน้าขณะวิ่งความเร็วสูงเพื่อจัดระเบียบแรงเสียดทานอากาศที่หน้ารถผลลัพธ์ที่ได้คือความประหยัดเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นอีกทาง
ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติและมีระบบขับเคลื่อนสองล้อหน้าเพียงแบบเดียวนั้นมีอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 กม./ลิตรในการขับขี่ในเมือง และ 13.1 กม./ลิตรสำหรับการขับขี่นอกเมือง
ขณะที่รุ่นเทอร์โบ 4 สูบนั้นมีให้เลือกสรรทั้งขับเคลื่อนสองล้อและสี่ล้อ จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โดยในรุ่น 1.6 ลิตรเทอร์โบ มีอัตรากินน้ำมันที่ 10.2 กม./ลิตรในเมือง 14 กม./ลิตรนอกเมือง ถือเป็นตัวเลขที่ประหยัดที่สุดเท่าที่ Ford เคยผลิต Escape ออกทำตลาดและใกล้เคียงกับรถเอสยูวีขนาดเล็กกว่าอย่างHyundai Tucson หากใครต้องการความประหยัดมากกว่านี้อาจจะต้องหวังรุ่นไฮบริดที่ปัจจุบันถูกยุติสายการผลิตไปแล้ว
ในรุ่นท็อปไลน์ที่มีพละกำลังมากที่สุด ขุมพลัง 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ มีตัวเลขกินน้ำมันอยู่ที่ 9.3 กม./ลิตรสำหรับการขับขี่ในเมือง และ 12.7 กม./ลิตรนอกเมือง ถือว่าเหนือกว่าเครื่องยนต์ V6 ตัวเก่าซึ่งซดน้ำมันที่ 8 กม./ลิตรในเมือง และ 10.6 กม./ลิตรในเมืองอย่างเห็นได้ชัด
ในการทดสอบระยะทาง 240 กม. ด้วย Escape เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรขับเคลื่อนสี่ล้อ พรั่งพร้อมด้วยอ็อปชั่นมากมาย บรรทุกผู้โดยสารสองคน บนเส้นทางทุกรูปแบบทั้งถนนทางไกล ถนนเลนสวนกัน และการขับขี่ในเมือง ผลปรากฏว่า Escape มีอัตราบริโภคน้ำมัน 8.8 กม./ลิตร ซึ่งแย่กว่าตัวเลขของทาง EPA ส่วน Escape รุ่นอื่นจะมีตัวเลขใช้งานจริงเป็นอย่างไร เราจะมาพิสูจน์กันอีกครั้งในภายหลัง
(สงวนลิขสิทธิ์บทความทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ 2537)
ความคิดเห็น