มากันสักทีกับ All-New Mazda 3 ในเครื่อง 1.6 ลิตร ซึ่งเปิดตัวหลังจากตัว 2.0 นานร่วม 10 เดือน สำหรับ model change นี้ถือเป็น generation ที่ 2 ของ Mazda 3 ซึ่งเจ้า 3 ถือเป็นทายาทสืบทอดมาจาก Mazda 323 ที่มีมากด้วยกันถึง 6 generation (ต้องคอยติดตามดูกันว่าเจ้า 3 จะสืบเผ่าพันธุ์ได้สักกี่ gen กัน) สำหรับเจ้า 3 ใน generation แรกนั้น เป็นรถที่ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบและรักในการขับขี่และสมรรถนะของรถ รวมถึงรูปลักษณ์ที่ให้อารมณ์แบบสปอร์ตมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ สำหรับในโฉมนี้ตัว 2.0 ทำยอดขายของกลุ่ม compact car หรือที่เรียกว่า C-segment 2.0 ไปครองได้เป็นอันดับ 1 ในปีที่แล้วกว่า 5 พันคัน คราวนี้มาดูกันกับตัว 1.6 ว่าจะทำได้ดีเหมือนกันหรือไม่ ครั้งนี้มาพร้อมกับสโลแกนใหม่ที่ว่า “Make Your Mark” (ปฏิเสธทุกความธรรมดา) ซึ่งเป็นคนละสโลแกนกับ ตัว 2.0 ที่ว่า “Create Your Own Definition” (เปลี่ยนทุกคำจำกัดความที่เคยมี) ทาง Mazda ได้จัดสรรมาให้เลือกกัน 3 รุ่น ได้แก่ Groove, Spirit, Spirit sport (ซึ่งในรุ่นนี้เป็น hatchback) สำหรับในรายละเอียดเราไปดูกันเลยดีกว่า
ภายนอก มีความแตกต่างจากตัว 2.0 พอสมควร แทบจะเรียกว่า เป็น minor change ได้เลย แต่ที่เห็นจะมีความต่างชัดเจน คือ 1.6 จะไม่มี sunroof ล้อแม็กขอบ 16” แทนที่ด้วย 17” ถ้าเป็นรุ่น groove จะได้แค่ขอบ 15”เท่านั้น และ 1.6 ทุกตัวจะไม่มี skirt ข้างและไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้างมาให้ ต่อมาเริ่มไล่กันตั้งแต่กันชนหน้าก่อนเลย บริเวณกันชนหน้าที่เห็นชัดเจนก็คือไฟหน้าจะมีขลิบไฟเลี้ยวสีส้มเพิ่มเข้ามาและโปรเจคเตอร์เป็น halogen ไม่ใช่ bi xenon อย่างตัว 2.0 ครอบไฟตัดหมอกเป็นแบบครีบเรียง 3 ชั้นซึ่งทำให้ดูดุขึ้น ตรงขอบกระจังหน้าด้านบนได้เปลี่ยนจากที่เป็นขอบเส้นยาวจนสุดทางเป็น สามเหลี่ยม 3 ช่องแยกซ้ายขวา ส่วนกันชนท้ายบริเวณขอบสเกิร์ตด้านล่าง จะเป็นสีดำ ซึ่งตัว 2.0 จะเป็นสีเดียวกับตัวรถทั้งชิ้น ทำให้ด้านท้ายนั้นดูดีขึ้นเป็นกอง ไฟท้ายนั้นไม่ใช่ไฟ LED แบบตัว 2.0 เป็นไฟแบบธรรมดา และไฟท้ายของ sedan กับ hatchback ก็ต่างกันอีก sedan จะเป็นรมดำ ส่วน hatchback จะเป็นไฟขาวใส ในส่วนสปอยเลอร์นั้น ของตัว hatchback จะมีให้บริเวณหลังคาตรงประตูท้าย รวมถึงเสาอากาศที่ติดอยู่ด้านบนหลังคารถด้วย ในด้านมิติของตัวถังนั้น 5 ประตูนั้นจะสั้นกว่า 4 ประตูราว 90 ซม. ในรุ่น 1.6 ทุกคัน บริเวณปลายท่อจะเป็นปลายท่อธรรมดา ไม่ใช่ปลายโครเมียม ซึ่งถ้าอยากได้ความสวยงามก็คงต้องไปซื้อปลายแต่งมาสวมกันเอาเอง ไม่กี่ร้อยบาท
ภายใน เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารจะเป็นโทนสีดำทั้งหมด ให้อารมณ์สปอร์ต แต่ว่าจะไม่พบ welcome light อย่างในตัว 2.0 ตรงแผงข้างประตูและคอนโซลกลางให้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาถ้าคุณอยากได้ เพราะคุณสามารถที่จะให้ร้านประดับไฟต่างๆ ติดไฟ LED ให้ได้เช่นกัน วัสดุหุ้มเบาะและแผงประตูข้าง ตั้งแต่รุ่น spirit sport ขึ้นไปจะเป็นหนัง นอกนั้นจะเป็นผ้า บริเวณคอนโซลด้านบนมีหน้าจอ MID แสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมสวิทช์ควบคุมบนพวงมาลัยด้านขวา ด้านซ้ายเป็นสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียง ในรถมีลำโพงเครื่องเสียงมาให้ทั้งหมด 6 ตัว (ยกเว้นรุ่น groove ที่มีเพียง 4 ตัว) มอบอรรถรสทางโสตประสาทที่ดี สำหรับรุ่น Spirit Sport ขึ้นไปนั้นจะมีตัวปรับดันหลังที่เบาะด้านคนขับให้ด้วย ซึ่งทำให้ลดอาการปวดเมื่อยได้ และในทุกรุ่นยกเว้นรุ่น Groove มีช่องเก็บแว่นกันแดดอยู่ใกล้กับไฟส่องแผนที่ ซึ่งจุดนี้ได้ใจคนติดแว่นกันแดดอย่างผมไปเลย ที่วางแขนตรงช่องใส่ CD สามารถสไลด์เพื่อเลื่อนระยะได้เพื่อให้เหมาะสมกับสรีระแขนแต่ละคน ซึ่งจะทำได้ในรุ่น Spirit Sport ขึ้นไป และเมื่อเปิดขึ้นมา จะพบช่อง aux in และที่จุดบุหรี่อยู่ เมื่อได้มองลงไปจะพบว่าช่องเก็บของนั้นลึกมากพอที่จะสามารถวางกล้อง DSLR ของผมพร้อมเลนส์ลงไปได้อีกตัว 2 ตัวเลย ด้านบนตำแหน่งเกียร์จะมีช่องเล็กๆ อยู่ซึ่งพอกดออกมา จะพบเป็นช่องสามารถไว้ใส่เศษเหรียญได้ และจะพบที่จุดบุหรี่อีกที่นึงอยู่ในช่องนี้ด้วย ช่องตรงกลางที่อยู่ข้างเบรกมือเปิดมาจะเป็นช่องวางแก้วได้ 2 ใบ สามารถที่จะหยิบที่กั้นตรงกลางออกได้ เพื่อเอาไว้วางของอย่างอื่นแทนได้ เบาะโดยสารด้านหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 และมีพนักวางแขนผู้โดยสารพร้อมที่วางแก้วด้านหลังให้ด้วย ในส่วนประตูท้ายนั้นมีปุ่มให้กดเพื่อเปิดยกประตูท้ายขึ้น จะเห็นช่องเก็บสัมภาระด้านท้ายมีพื้นที่เพียง 220ลิตร ซึ่งด้านใต้บรรจุล้อกะทะซึ่งเป็นอะไหล่สำรอง ขนาด 15” หุ้มด้วยยาง Dunlop LM สำหรับพื้นที่เก็บสัมภาระนี้อาจเก็บได้ไม่จุใจเท่ารุ่น sedan ซึ่งมีพื้นที่ถึง 285ลิตร แต่ก็เพียงพอกับเดินทางไปเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนแล้ว เวลาปิดประตูท้ายอาจจะปิดยากนิดนึงต้องใช้น้ำหนักกับจังหวะหน่อยถึงจะปิดลงได้อย่างสนิท
เครื่องยนต์ เป็นบล๊อกเดิม MZR DOHC พร้อมวาล์วแปรผัน S-VT 1598 cc ซึ่งให้กำลัง 105 ps@6000 rpm แรงบิด 144 Nm@4000 rpm รองรับน้ำมันได้สูงสุด E20 ซึ่งเพื่อนๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนไปเป็น FFV (Flexible Fuel Vehicle หมายถึงรถที่รองรับเชื้อเพลิงถึง E85)กันแล้ว ดูๆแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่เลย แล้วยังให้กำลังน้อยกว่า รถ B-segment ในหลายๆ ค่ายเสียอีก อาจเป็นจุดนึงที่น่าผิดหวัง เพราะสาวก Mazda หลายคนคงรอ เจ้าเทคโนโลยี sky activ ที่มีในเจ้า 3 ตัวต่างประเทศ
ไหนๆ ก็พูดถึง skyactiv แล้วขอนอกเรื่องถึง skyactiv หน่อยละกัน skyactiv เป็นเทคโนโลยีที่ทาง Mazda ได้พัฒนาออกมา ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้มีแต่เครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น มีทั้งเครื่องยนต์ดีเซล รวมถึงระบบส่งกำลังด้วย คร่าวๆ ที่มีได้แก่
1. SkyActiv-G เป็นเครื่องยนต์เบนซิน direct injection ที่ให้กำลังอัดสูงที่สุดในโลก ถึง 14.0:1
2. SkyActiv-D เป็นเครื่องยนต์ดีเซล direct injection ที่ให้กำลังอัดต่ำที่สุดในโลก เพียง 14.0:1
3. SkyActiv-Drive เป็นเกียร์อัตโนมัติ ที่ได้ปรับปรุงมาจาก เกียร์ CVT และ แบบ dual clutch ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายทอดแรงบิดและลดอัตราสิ้นเปลืองลง
4. SkyActiv-MT เป็นเกียร์ธรรมดาที่ได้รับการออกแบบโครงสร้างใหม่ เพื่อให้มีขนาดเล็กและเบาขึ้น
สำหรับสาวก zoom zoom ในไทยคาดว่า คงต้องรอกันอีกยาว ไม่รู้ว่าจะได้นำมาลงใน 3 ตัว minor change ไหม แต่ดูถ้าคงจะยากหน่อย คาดว่าทาง Mazda ประเทศไทยคงจะ นำมาลง model ใหม่ เลย ซึ่งอาจเป็นตระกูล CX เหมือนที่เปิดตัวใน CX-5 ก็เป็นได้
ระบบกันสะเทือนและเบรก ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็น McPherson strut ด้านหลังเป็น Multi Link E type สำหรับด้านสมรรถนะระบบกันสะเทือนและช่วงล่างนั้น ทาง Mazda ขึ้นชื่อทางนี้อยู่แล้ว ถือเป็นต้นๆของกลุ่มเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือเป็นจุดขายของทาง Mazda เขาเลย ส่วนเบรกนั้นเป็น ดิสก์เบรก 4ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบระบายความร้อน
ระบบขับเคลื่อนและการควบคุม สำหรับเกียร์ของตัว 2.0 ได้พัฒนาเกียร์เป็น 5EAT ไปแล้ว แต่เสียใจด้วยกับตัว 1.6 เพราะว่า มันคงเป็นเกียร์ 4EAT ที่มีในตัวถังเดิมไม่ผิดเพี้ยน! ซึ่งอันนี้เป็นอีกจุดนึงที่หลายคนที่รอคอยคงผิดหวังเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์บล๊อกเดิม แต่เกียร์ ที่ได้พัฒนาเป็น 5 speed แล้วในตัว 2.0 ก็น่าจะจับมายัดลงในตัว 1.6 เช่นกันแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาด อย่างนี้แทบจะไม่ต้องพูดถึงเทคโนโลยี skyactiv กันเลยว่าจะมีมาให้ในตัว minor change ของ 1.6 หรือไม่ ลุ้นเกียร์ในตัว minor change ให้เป็น 5EAT จะดีกว่า พวงมาลัยเป็นแบบแรคแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง EHPAS ให้น้ำหนักที่เบาดีในการสาวพวงมาลัย และมีรัศมีวงเลี้ยว 5.2เมตร
ระบบความปลอดภัย กุญแจ keyless พร้อมปุ่ม push start ไม่มีให้เหมือนในตัว 2.0 จะเป็นกุญแจรีโมทพับได้แทน ซึ่งมี immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมยให้ในทุกรุ่นยกเว้น Groove ส่วนความปลอดภัยของตัวรถทั่วๆไป ที่มีติดมาให้ ได้แก่ ABS, EBD , ถุงลม SRS ซึ่งทำงานสัมพันธ์กับพวงมาลัยที่ยุบตัวได้เพื่อลดแรงกระแทกบริเวณด้านหน้า แต่จะไม่มีระบบ DSC ที่ช่วยในการทรงตัว และ traction control ที่ป้องกันรถลื่นไถลให้ เพราะตัว 1.6 คงไม่ได้ดีไซน์มาให้เหมาะกับการซิ่งอยู่แล้ว ในส่วนระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ รวมถึงปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไม่มีให้ในตัว 1.6 แม้แต่รุ่นเดียว สำหรับในตัว All-New Mazda 3 นี้ได้รับคะแนนสูงสุด 5 ดาวในด้านความปลอดภัยของตัวรถ จากสถาบันทดสอบความปลอดภัยของรถยนต์ ทั้งในยุโรป และ ออสเตรเลียด้วย ดังนั้นมั่นใจในความปลอดภัยได้เมื่อคุณอยู่หลังพวงมาลัยของเจ้า 3 คันนี้
Test Drive ขับทดสอบ Mazda3 1.6L
สำหรับการ test drive ครั้งนี้ ขอขอบคุณทาง Mazda City ที่เอื้อเฟื้อรถให้มาทดสอบ สำหรับคันที่ได้มานี้เป็น Mazda 3 1.6L Spirit Sports สีขาว เป็นตัว hatchback 5 ประตู ถือเป็นตัว top ของเครื่อง 1.6 หลังจากที่ได้รถจากทาง Mazda City ไป ตอนแรกนึกว่าจะได้ไปรับรถที่เยาวราช แต่พอดีโดนโทรมาเปลี่ยน ให้ไปรับรถที่ สุขุมวิท 36 แทน จึงต้องเปลี่ยนแผนการวิ่งกันเล็กน้อย และได้เวลาราว 3 ชม.ในการขับทดสอบ จึง plan เส้นทางใหม่ โดยเริ่มออกจากศูนย์ไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม (น้ำมันที่เติมเป็น Shell Fuel Save 91)เต็มถังแค่หัวจ่ายตัด เสร็จและจึงตรงไปขึ้นทางด่วนคลองเตย วิ่งเส้นบางนาไปจนสุดถึงชลบุรี (ที่ลองเส้นนี้เพราะอยากดูช่วงล่างของเจ้า3 นี่แหละและจะได้วิ่งกันยาวๆด้วย) แล้วจึงกลับรถที่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และวิ่งกลับทางเดิมมาลงทางด่วนคลองเตยไป เติมน้ำมันปั๊มเดิม เพื่อคำนวณอัตราสิ้นเปลือง รวมระยะทางทั้งหมด 171 กม. ใช้น้ำมันไป 13.93L อัตราสิ้นเปลือง = 12.28km/L อัตราสิ้นเปลืองที่ได้นี้ มีเพียงผู้ขับคนเดียว การจราจรมีทุกรูปแบบตั้งแต่ติดคับคั่งในตัวเมือง, เคลื่อนตัวเรื่อยๆ, โล่ง(แต่เต็มไปด้วย รถสิบล้อ) ผู้ขับไม่ได้เน้นขับประหยัด อยากลองขับดูว่าเครื่อง 1.6 ที่ว่านี่มัน อืดจริงหรือ? จึงเหยียบๆ กดๆ เร่งแซง kick down ลากรอบเอาพอสมควรเหมือนกัน จึงทำให้ตัวเลขออกมาเป็นที่ไม่น่าพอใจเท่าที่ควร ซึ่งทางผู้เขียนคาดว่า ถ้าขับเรื่อยๆ บนถนนโล่งความเร็วที่ 100-120km/hr อาจจะได้เห็น 14km/L
เมื่อได้เข้ามานั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งคนขับก็ลองปรับเบาะให้ต่ำสุด ซึ่งเมื่อปรับแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้ดูเตี้ยไป ตำแหน่งนั้นถือว่ากำลังดีเลยสำหรับคนตัวสูงปานกลางอย่างผม มองเห็นฝากระโปรงหน้าได้ ตัวเบาะให้ความกระชับเพราะมีปีกด้านข้างโอบไหล่อยู่เวลาเทโค้งไม่หลุดออกจากเบาะง่ายๆและให้ความกระชับดี ดูไปดูมาแอบได้ feel แบบ semi bucket seat หน่อยๆ แต่เมื่อยเหมือนกันถ้านั่งขับไปนานๆ ต้องใช้ตัวดันหลังปรับช่วย พวงมาลัย 3 ก้านปรับได้ 4 ทิศทาง สามารถปรับระดับให้เหมาะสมกับตำแหน่งมือได้โดยไม่บังเรือนไมล์ มองเห็นได้ชัดเจน แต่ที่ไม่ชอบก็คือ รอยตะเข็บเย็บของพวงมาลัยจับแล้วรู้สึกรำคาญมือทีเดียว และเป็นที่เสียดายอีกเช่นกันที่ไม่มี paddle shift ให้เล่นเหมือนตัว 2.0 ต้องไปโยกตรงเกียร์เอาแทน (ยังไงก็ยังดีกว่าไม่มีโหมด M มาให้เล่นเลย) บนพวงมาลัยด้านซ้ายมี multifunction ไว้ควบคุมเครื่องเสียง มีปุ่ม mute อยู่ให้ด้วยเพิ่มความสะดวกสบายไม่ต้องเอื้อมมือไปกด หรือเร่งเสียงลงจนสุดเวลารับโทรศัพท์ ด้านขวาเป็นปุ่มไว้ควบคุม จอ MID มีลูกเล่นที่น่าสนใจคือ set speed alarm เอาไว้เตือนไม่ให้ขับความเร็วเกินค่าที่เรากำหนด แต่ที่น่าแปลกใจคือ มันไม่มี Cruise Control ! แม้แต่ตัว 2.0 ส่วนคอนโซลต่างๆ ไปยังเรือนไมล์นั้นตกแต่งได้สวยงามให้ feeling แบบสปอร์ต แอร์อัตโนมัติของเจ้า 3 นี่เย็นมากทีเดียว ผมขับไปสักพักลงมาถ่ายรูปรถมีฝ้าขึ้นเกาะที่เลนส์แว่นกันแดดเลย จากการที่ได้ลองนั่งและดูตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเกียร์ เบรกมือ ดูทำได้ดีเหมาะสมกับหลักสรีระศาสตร์(ergonomic design ตามที่ Mazda ได้กล่าวไว้) สำหรับวิสัยทัศน์ของตัว hatchback นี้ คงสู้ sedan 4 ประตูไม่ได้เนื่องจาก มุมมองจากกระจกด้านหลังนี้แคบกว่า sedan ส่วนกระจกมองข้างก็มีมุมอับพอสมควร จากมุมด้านในคนขับที่เป็นทรงตัดเข้า และด้านนอกคนขับกระจกอยู่ลึกเข้าไปซึ่ง ทำให้ดูหลอกตาเหมือนกัน เสา A pillar ก็บังสายตาเล็กน้อยตรงมุมเวลาเลี้ยวโค้งออกมา ซึ่งต้องระวัง หลังจากที่ได้นั่งที่เบาะด้านหน้าแล้วจึงลองมานั่งที่ด้านหลังดูบ้าง จะพบว่า พื้นที่ leg room นั้น มีค่อนข้างน้อย หรือ แคบกว่าในรถ class เดียวกันอยู่พอสมควร และเบาะหลังนั้นค่อนข้างชัน ทำให้ความรู้สึกนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไร ยิ่งผู้ที่มีส่วนสูง มากกว่า 180ซม. คงรู้สึกอึดเป็นแน่
ด้านสมรรถนะกำลังของเครื่องยนต์นั้น กับเครื่องแค่ 1.6 ที่มีม้าแค่ 105 ตัว น้อยกว่า รถ B car ในบางรุ่นเสียอีก ซึ่งต้องทำหน้าที่แบกรับ chassis Compact car ก็ดูถ้าน่าจะอืดเอาเรื่องเมื่อได้ลองขับออกตัวดู พบว่าการออกตัวให้ได้รอบต่ำกว่า 2000rpm เป็นเรื่องยาก ทั้งที่ผู้เขียนก็ไม่ใช่คนเท้าหนักมาก ค่อยๆ กดไป ก็ ลากรอบกันไป 3000 rpm+ ถ้าอยากให้ออกตัวไม่อืดอาจต้องลากกันไปราวเกือบ 4000 rpm เหมือนกับว่าเจ้าตัวนี้รอบจะเริ่มจัดขึ้นบ้างตั้งแต่ประมาณ 3000 rpm ขึ้นไป ซึ่งจุดนี้ส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองแน่นอน เมื่อได้ขึ้นทางด่วน ก็พบกับการจราจรปานกลาง จึงลองขับมุดเล่นดู เร่งๆ แซงๆ ก็ มักเกิดอาการ kick down ลงมาบ่อยเหมือนกัน ซึ่งจุดนี้ก็เข้าใจและทำใจไว้แต่แรกอยู่แล้ว คันเร่งค่อนข้างตอบสนองไว ต่อน้ำหนักเท้าซึ่งสำหรับบางคนคิดว่าคงชอบเพราะตอบสนองไวทันใจดี ซึ่งถ้าคนเท้าหนักมาขับมันก็พอทน คงมองว่าไม่ได้อืดมากมาย (ก็เล่นลากกันที่รอบสูงขนาดนั้น) หรือพวกที่ขับรถเรื่อยๆ ไม่เน้นจี๊ดจ๊าด หรือวิ่งแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจไม่ซีเรียสกับอัตราเร่งก็ ถือว่า ok เมื่อขับในตำแหน่งเกียร์ D และกดคันเร่งลึกๆ เพื่อเอาอัตราเร่ง รอบกวาดขึ้นไปราว 5000 rpm จึงค่อยตัดขึ้นเกียร์ โดยเฉพาะเกียร์ 3 จะลากกันยาวเลย เกียร์ตัวนี้ มันจะค้างรอบสูงให้ ยังไม่ตัดขึ้นเกียร์ใหม่ เพื่อรีดกำลังออกมาให้ได้มากสุดเท่าที่มันจะทำได้ ซึ่งถือว่า ok อยู่ลากรอบได้มากกกว่ารถทั่วไป เหมือนจะรู้ใจคนอยากซิ่งชอบลากกันเสียเหลือเกิน พอได้ลองเล่นโหมด M ดู พบว่าลากได้ถึงราว 6200 rpm รอบก็ค้างไม่วิ่งต่อต้องกด + เพื่อ Shift up ต่อไป มีบางช่วงที่ถนนโล่ง เลยลองจับเวลาช่วงอัตราเร่ง 80-120km/hr ดู ได้ที่ 11.26 วินาที
ในส่วนของความสัมพันธ์ของความเร็วต่อรอบเครื่อง ได้ทดลองความเร็วที่ 4 ค่า ได้ดังนี้ 80km/hr= 2250rpm 100km/hr=2750 120km/hr=3300rpm 140km/hr=3750rpm ซึ่งถือว่ารอบเครื่องนั้นสูงกว่าชาวบ้านมากทีเดียว เนื่องด้วยอัตราทดเกียร์ 4 speed นั่นเอง สำหรับเกียร์ตัวนี้ ก็ถือว่า เปลี่ยนเกียร์ได้ smooth ดี ไม่ให้ความรู้สึกว่ากระชากแต่อย่างใด ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์นัก ทั้งๆ ที่เล่นโหมด M และอยากได้รับแรงกระชาก และแรงดึงก็ตามที
ในส่วนของเบรก ถือว่าทำได้ดีทีเดียวกับรถในระดับเดียวกัน คือไม่ตื้นหรือลึกเกินไป ให้ความตึงเท้าที่พอเหมาะสั่งเบรก และหยุดได้ดังใจ กดลึกก็ทำหน้านิ่มเอาเหมือนกัน ถือว่าผ่าน
สำหรับการควบคุมตัวรถ พวงมาลัยแรคแอนด์พีเนียนผ่อนแรงแบบไฟฟ้าตัวนี้นั้น ในช่วงที่ค่อยๆออกตัวเคลื่อนที่ในความเร็วต่ำ น้ำหนักเบาดี ซึ่งคงถูกใจสาวๆ เวลาถอยจอด หรือเวลาที่ต้องการจะเปลี่ยนเลนซอกแซกไปมา แต่เมื่อเริ่มวิ่งที่มีความเร็วไปสักพักนึงพวงมาลัยก็ตึงมือขึ้นหน่อยแต่ยังไม่ได้หนักมากนัก ที่ความเร็วสูงน่าจะตึงมือกว่านี้อีกสักนิด และมีระยะฟรีของพวงมาลัยพอสมควร พวงมาลัยยังดูไวไปนิด เมื่อลองหักเปลี่ยนเร็วที่ความเร็วประมาณ 100 รถมีอาการโยนๆ อยู่บ้าง ดังนั้นเวลาหักเปลี่ยนเลนกระทันหันอาจต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร ซึ่งอาการตรงนี้ ในตัว 2.0 น่าจะทำได้ดีกว่าเนื่องจาก มีระบบ DSC ช่วยทรงตัว และได้ลองเทโค้งที่สะพานกลับรถความเร็วราวๆ 70-80km/hr ถือว่าทำได้ดีทีเดียว นิ่งมาก ไม่ได้รู้สึกโคลงเคลง ให้หวาดเสียวท้องน้อยกันเล่น แต่เสียดายที่ไม่ได้ลองเติมคันเร่งเยอะๆ ดูในโค้งเพื่อทดสอบอาการแถดูว่ามากแค่ไหนและท้ายจะเริ่มออกเยอะมากเพียงใดตามประสารถขับหน้า (เนื่องจากเส้นทางที่ขับไม่มีโค้งลึกๆ ที่เติมความเร็วได้)
ในส่วนช่วงล่างอันขึ้นชื่อ ของ Mazda 3 ซึ่งเป็น multi link ตัวเดิม นั้นก็ได้ถูกยกมาใส่ในตัวนี้ด้วย จากเส้นทางที่เลือกวิ่งนั้นเป็นเส้นทางที่ทรหดกับช่วงล่างพอสมควรเพราะเส้นนี้ รถสิบล้อจัดหนัก หลุมบ่อ ทางขรุขระ เต็มไปหมด แต่เจ้า 3 นี่รองรับอารมณ์ของถนนได้ดี ก่อนที่จะเข้ามาในห้องโดยสาร มันดูดซับความกระด้างออกไปมากอยู่ ด้วยรองเท้าขนาด 16” หุ้มด้วยพื้นยางรองเท้า Bridgestone Turansa 205/55/16 ทำให้ feeling รวมๆ ที่ได้ออกนุ่มๆ นวลๆ แบบที่หาในรถญี่ปุ่น ไม่ได้ในหลายค่าย
สรุป All-New Mazda 3 1.6 คันนี้ เปรียบเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ (เครื่องยนต์, เกียร์, ช่วงล่าง เดิม) กับราคาที่คุณซื้อรถเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ได้สบายๆ แต่แลกกับความคุ้มค่าที่คุณจะได้มันมาจากเจ้า All-New 3 คันนี้ ซึ่งมันเหมาะกับการเป็นรถที่ขับหล่อแต่งสวย ให้ความโฉบเฉี่ยว ดูสปอร์ต ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในรวมถึงการขับขี่ ถึงแม้เครื่องยนต์ตัวเดิมจะไม่มีพละกำลังมากมาย และเกียร์ 4EAT ตัวเดิม ซึ่งทำให้รถใช้รอบเครื่องสูงซึ่งส่งผลต่อการกินน้ำมัน และในโฉมนี้ไม่มีเกียร์ manual มาให้ด้วย และอีกเรื่องนึงที่ไม่คิดว่า Mazda จะลืมใส่ใจก็คือ cruise control แต่ที่ได้มาก็คือในเรื่องสมรรถนะช่วงล่างอันเลื่องชื่อของ Mazda กับยอดขายอันท่วมท้นของ 3 generation แรก ก็คงช่วยผลักตลาดให้กับเจ้า All-New 3 1.6L นี้ชนะใจสาวๆ หรือผู้ขับที่เน้นรถสวยงามสไตล์ สปอร์ต แอร์เย็น ขับสนุก แต่ไม่ได้เน้นขับแรงกับประหยัดน้ำมันมาก เพราะถ้าต้องการสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจกว่านี้ก็คงต้องกัดฟันเพิ่มเงินกันเพื่อเล่นตัว 2.0 กันล่ะ
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
All-New Mazda3 ใหม่ 1.6 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ประกอบไปด้วย สีขาว อาร์กติกไวท์ สีดำแบล็กไมก้า สีบรอนซ์เงินไฮไลท์ซิลเวอร์ สีเทาเมโทรโพลิตัลเกรย์ สีแดงทรูเรด สีน้ำเงินออโรร่าบลู และสีทองสปาคกลิ้งโกลด์ นอกจากนี้มาสด้ายังเปิดราคาสุดคุ้มค่าเริ่มต้นเพียง 755,000 บาท
Mazda3 1.6L Groove ซีดาน 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะผ้า ล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว ราคาจำหน่าย 755,000 บาท
Mazda3 1.6L Spirit ซีดาน 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะผ้า ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ราคาจำหน่าย 825,000 บาท
Mazda3 1.6 Spirit Sports แฮ็ชต์แบ็ค 5 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะหุ้มหนังสีดำ ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ราคาจำหน่าย 869,000 บาท
นอกจากนี้มาสด้ายังมีมาสด้า3 รุ่นเครื่องยนต์ 2000 ซีซี. เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค 5 สปีด ที่ให้ความสปอร์ตทั้ง 4 ประตู และ 5 ประตู จำหน่ายในราคาเดียวกันคือ 1,064,000 บาท
(สงวนลิขสิทธิ์บทความทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ 2537)
ความคิดเห็น