รีวิวขับทดสอบ Suzuki Swift GLX 2012 Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิวขับทดสอบ Suzuki Swift GLX 2012

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 10 July 2555

รีวิว Suzuki Swift GLX 2012 ซูซุกิสวิฟท์ ขับทดสอบ อ่อนนุช-ลาดกระบัง-ฉะเชิงเทรา


ซูซุกิสวิฟท์ ขับทดสอบ อ่อนนุช-ลาดกระบัง-ฉะเชิงเทรา

หลังจากที่ทาง Suzuki ได้จัดส่ง Swift ตัวแรก เข้ามาทำตลาดในบ้านเรามากกว่า 20 ปีแล้ว โดยในระยะหลังจะเป็นแฮ็ทช์แบ็ครุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แต่ยังไม่ค่อยได้การตอบรับจากคนใช้รถกันสักเท่าไร ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทาง Suzuki ได้จัดส่ง “All-New Suzuki Swift” ซึ่งถือเป็น eco car ลำดับที่ 5 ในประเทศไทยเรา (ต่อจาก March, Brio, Almera, และ Mirage) และได้ยุติไลน์การผลิตของ Swift ตัว 1.5 ลิตรไป ซึ่งการกลับมาโฉมใหม่ครั้งนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์บล๊อกใหม่ 1.25 ลิตร ซึ่ง Eco Car รุ่นนี้ได้รับรางวัล RJC Car of Year 2011(Automotive Researchers & Journalists Conference of Japan) การันตีมาด้วย และเป้าหมายสำคัญที่เป็นผลพลอยได้ก็เพื่อที่จะเข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล หวังแทรกตัวตีตลาด Eco car ที่มีคู่แข่งรายอื่นๆรออยู่แล้ว ซึ่งต้องมาดูกันต่อไป ว่า ทาง Suzuki นั้น จะแบ่งชิ้นเค้กจากเจ้าตลาดอย่าง Nissan รวมถึง Honda และ Mitsubishi ได้มากน้อยแค่ไหนกัน

Suzuki-Swift-50

รูปโฉมภายนอก

สำหรับเจ้า Swift นี้ถือว่าเป็นรถที่มีมิติตัวถังใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนๆคู่แข่ง Eco car ด้วยกัน ตัวโครงสร้างนั้นได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากโฉมเก่า แต่ก็มีรายละเอียดที่เปลี่ยนไปในหลายๆ จุด ทั้งในด้านมิติรถ ที่มีทั้งความยาวเพิ่มขึ้น 95 มม. เป็น 3,850 มม. และความกว้างเพิ่มขึ้น 5 มม. เป็น 1,695 มม. กันชนหน้าและกระจังหน้าที่เปลี่ยนให้ดูเรียวขึ้น ไฟหน้าที่แหลมยาวขึ้น ไฟท้ายที่มีรูปลักษณ์แหลมลงปราดเปรียวขึ้น มือจับเปิด-ปิดประตูท้ายถูกย้ายลงไปอยู่ข้างใต้ และเป็นแบบไฟฟ้า ส่วนวงล้อนั้นเป็นแบบกะทะ ขอบ 15” ในรุ่น GA กับ GL และล้ออัลลอยด์ขอบ 16” ในรุ่น GLX ซึ่งถือว่า เป็น Eco car ที่ให้ขอบวงล้อใหญ่ที่สุด (แล้วมันจะประหยัดน้ำมันที่สุดไหมเนี่ย?) ในส่วนไฟตัดหมอก, กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว, ไล่ฝ้ากระจกหลัง นั้นจะมีให้เฉพาะใน รุ่น GLX เท่านั้น

ภายในห้องโดยสาร เป็นโทนสีดำทั้งหมด รูปแบบการตกแต่งบริเวณคอนโซลกลางนั้นสวยงามแบบเรียบๆ แต่น่าเสียดายที่เบาะนั้น เป็นเบาะผ้าแม้แต่ในตัว Top ก็ตาม มาตรวัด มี 4 ตัว ในรุ่น GL และ GLX แต่ในรุ่น GA จะมีเพียง 3 ตัว โดยจะไม่มีวัดรอบเครื่องยนต์ให้ ตรงจอแสดงข้อมูล MID แสดงผลได้แก่ นาฬิกา, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน, ค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมันต่อระยะทาง, ระยะทางการขับขี่ และในรุ่น GLX จะแสดงอุณหภูมิภายนอกรถเพิ่มเติมด้วย สำหรับพวงมาลัยนั้น ในรุ่น GA จะเป็นวัสดุยูรีเทนสีดำ ซึ่งปรับได้แค่ 2 ทิศทาง คือ ขึ้น-ลง ในรุ่น GL วัสดุเป็นยูรีเทนสีเทา รุ่น GLX เป็นหนังมาพร้อม multifunction ที่ตำแหน่งด้านซ้ายบนพวงมาลัย ในส่วนเครื่องเสียงถ้าคุณเลือกรุ่น GA ซึ่งเป็นรุ่นต่ำสุดจะไม่มีเครื่องเสียงมาให้ นอกนั้นจะเป็น เครื่องเสียง 2DIN, mp3, CD, USB ด้านระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ มีเฉพาะในรุ่น GLX นอกนั้นเป็นแบบ manual ตรงช่องข้างใต้เครื่องปรับอากาศ จะมีช่องสำหรับเสียบ USB ซึ่งจะไม่พบในรุ่น GA และจะเห็นที่จุดบุหรี่อยู่ข้างๆกัน สำหรับช่องวางของนั้น จะอยู่เหนือคันเกียร์ขึ้นมา ซึ่งจุดนี้เวลาจะวางของอะไรอาจต้องเอื้อมมือออกไปหน่อย เพราะไม่มีช่องวางของให้ตรงบริเวณเบรกมือ (ถ้าเกิดวางโทรศัพท์มือถือลงไปเวลา เลี้ยวโค้งคงได้หล่นไปอยู่ข้างเบาะแน่ๆ) รวมถึงไม่มีช่องเก็บกล่อง CD รวมถึงที่เท้าแขนด้วย ในส่วนเบาะท้ายนั้นปรับได้แบบ 60:40 ตามสไตล์รถ hatch back ทั่วไป สำหรับรุ่น GL และ GLX เป็นกุญแจแบบ keyless พร้อมปุ่ม push start มาให้ซึ่งอยู่ด้านขวามือของพวงมาลัย ข้างใต้ปุ่ม push start จะมีปุ่มไฟตัดหมอกฝังอยู่ ซี่งมีเฉพาะในรุ่น GLX เท่านั้น จะเปิดติดก็ต่อเมื่อเปิดไฟหน้าก่อน และเมื่อเปิดประตูท้ายรถ จะพบช่องเก็บสัมภาระท้ายขนาดเล็ก ซึ่งจะมีแผงปิดสัมภาระไว้ให้ แต่ในรุ่น GA นั้นจะไม่พบอีกตามเคย

Suzuki-Swift-02

เครื่องยนต์ DOHC ขนาด 4 สูบ 16 วาวส์ ระบบวาวส์แปรผันทั้งไอดีและไอเสีย VVT ความจุขนาด 1,242 cc ด้วยเครื่องยนต์ที่มีความจุมากกว่าเพื่อน อยู่เล็กน้อย และเป็นเครื่องยนต์ ขนาด 4 สูบ จึงทำให้มีแรงม้ามากที่สุดในกลุ่ม คือ 91ps@6000rpm และแรงบิด 118Nm@4800rpm รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงสุด คือ E20 น่าเสียดายที่ยังไม่มีรถ Eco car คันใดทำให้รองรับน้ำมันถึง E85 ตั้งแต่ ออกจากโรงงานมา ไม่เช่นนั้น คงได้มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงพอๆกับ การใช้แก้สเป็นแน่ แต่ในปัจจุบันนี้ก็ มีทั้งคนที่นำ Eco car ไปติดแก้ส และนำไปติด E85 Conversion kit มาแล้วเหมือนกัน ถ้าใครอยากประหยัดกว่านี้ก็คงต้องลองทำกันดู

ระบบกันสะเทือนและเบรก ระบบกันสะเทือนด้านหน้า เป็นแบบ McPherson strut ด้านหลังเป็น torsion beam ซึ่งเป็น ตัวยอดนิยมของรถเล็กระดับนี้ เพราะต้องการขยายพื้นที่ด้านหลัง แต่อย่าได้ดูถูกช่วงล่างของเจ้า swift ตัวนี้เชียว เพราะในระดับรถเล็กของญี่ปุ่นเจ้านี่ติดอันดับต้นๆเลย ส่วนระบบเบรก น่าเสียดายที่ไม่ใช่ ดิสเบรก 4 ล้อ 2 ล้อหน้าเป็นดิสเบรก แบบระบายความร้อน ส่วน 2 ล้อหลัง เป็น ดรัมเบรก ถึงแม้ด้านหลังนั้นจะเป็น ดรัมเบรกแต่ มันก็ทำงานได้อย่างดีเต็มประสิทธิภาพไม่แพ้ ดิสเบรก 4ล้อ

ระบบขับเคลื่อนและการควบคุม ระบบขับเคลื่อนของเจ้า Swift นี้ เป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 ของ JATCO ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ผลิตเกียร์ และจำหน่าย เกียร์ให้แก่บริษัทรถยนต์ หลายแบรนด์ดังทั้งหลาย ได้แก่ Nissan, Mitsubishi, Suzuki เป็นต้น โดยเจ้าเกียร์ CVT 7 ลูกนี้ถือเป็นเทคโนโลยี ที่ถูกพัฒนาขึ้นและนำไปใช้ในรถเล็ก หลายๆรุ่น ได้แก่ Nissan March, Nissan Almera, Nissan Juke, Suzuki Wagon R เป็นต้น ซึ่งเจ้าเกียร์ CVT 7 ตัวนี้ มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาลง ลดแรงเสียดทานจากการหมุนสายพานของ pulley ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น และในอนาคตอันใกล้นี้ (ปีหน้า 2556) JATCO จะจัดตั้งโรงงานการผลิต ที่จังหวัดชลบุรี ในประเทศไทยเรานี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีต่อประเทศเรา เพราะอาจจะทำให้ ลดต้นทุนอะไหล่เกียร์ได้ถูกขึ้น

ระบบความปลอดภัย มีครบ เพียบพร้อมให้ในทุกรุ่น ตั้งแต่ ABS, EBD, ถุงลมนิรภัย SRS ด้านคนขับ และที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า (เฉพาะใน GLX) , กุญแจ Immobilizer, ระบบสัญญาณกันขโมย แต่ทว่าไม่มีระบบช่วยขับเคลื่อนและการทรงตัวใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ESP หรือ Traction control ซึ่งก็เป็นปกติ ของรถ Eco car อยู่แล้ว เพราะมันไม่ใช่รถเอาไว้ขับซิ่งสนุกแบบสาดโค้ง หรือ ออกตัวล้อฟรี นี่นา!

Suzuki-Swift-52

ขับทดสอบ All-New Susuki Swift GLX อ่อนนุช-ลาดกระบัง-ฉะเชิงเทรา

สำหรับการ test drive ครั้งนี้ ขอขอบคุณ Suzuki Motor ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อรถมาให้ทางเราได้ทดสอบกัน โดยคันที่ได้มานี้ เป็น Suzuki Swift รุ่น GLX ซึ่งเป็นตัว top สีน้ำเงิน เส้นทางที่วิ่งในคราวนี้ เริ่มตั้งแต่ ออกจาก โชว์รูมบริเวณอ่อนนุช-ลาดกระบัง ออกไปเติมน้ำมัน (gasohol 91) เติมเต็มถังแค่หัวจ่ายตัด แล้วจึงวิ่งออกทางกาญจนาภิเษก ไปสนามบินสุวรรณภูมิ และหาไหล่ทางจอด เพื่อถ่ายภาพ โดยกะว่าจะรอจังหวะที่เครื่องบินๆ ผ่าน แต่ก็โดนยามไล่เสียก่อนจึงต้องรีบออกมา วิ่งกลับเข้าเส้นบางนา และมุ่งหน้าสู่ฉะเชิงเทรา ไปวัดโสธร เพื่อเก็บภาพเพิ่ม แล้วจึงวิ่งกลับเส้น motorway และออกทาง อ่อนนุช-ลาดกระบัง ไปเติมน้ำมันปั๊มเดิมอีกครั้งเพื่อคำนวณ อัตราสิ้นเปลือง รวมระยะทางทั้งหมด 159.1 km ใช้น้ำมันไป 7.653L อัตราสิ้นเปลือง = 20.789km/L อัตราสิ้นเปลืองที่ได้นี้ มีเพียงผู้ขับคนเดียว สภาพการจราจร ถนนโล่งไม่ค่อยมีการติดขัด มีติดไฟแดงบ้างเล็กน้อย ซึ่งทางผู้ขับเน้นขับสบายๆ ชิลๆ ความเร็วเฉลี่ย ประมาณ 90-110km/h มีทดลองอัตราเร่ง 80-120km/h โดยเหยียบมิดเพื่อเร่งรอบ และมีช่วงที่ทางโล่งๆ บน motorway ลองกดเล่นเพื่อทดสอบความนิ่ง โดยกดแช่ไปที่ 140km/h อยู่สักครู่นึง ซึ่งทางผู้เขียนคิดว่า ถ้าขับเรื่อยๆ สม่ำเสมอที่ความเร็วราว 80-100km/h ไม่มีการเหยียบเรียกรอบน่าจะได้เห็น 22km/L

หลังจากที่ได้รับกุญแจรถ ซึ่งเป็นกุญแจแบบ keyless มาแล้ว ก็เดินไปที่รถทำการเปิดประตู โดยกดที่ปุ่มสีดำ(request switch)ตรงมือเปิดประตูด้านคนขับ เพื่อเป็นการปลดล๊อคประตูได้โดยที่ไม่ต้องไปควานหากุญแจและกดปุ่มเปิดจากตัวกุญแจอีกต่อไป ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย แก่ทั้งคุณผู้หญิงที่ไม่ต้องมาหากุญแจในกระเป๋าถืออีก หรือ คุณผู้ชายซึ่งต้องมาล้วงกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารได้กลิ่นหนังซึ่งฉุนพอสมควรเนื่องจากรถทดลองคันนี้นั้นจอดตากแดดอยู่กลางแจ้ง ซึ่งอากาศร้อนมากจริงๆ ภายในห้องโดยสารนั้นเป็นสีดำทั้งหมดซึ่งดูสวยงามแบบเรียบๆ วัสดุภายในที่ใช้ ถือว่างานค่อนข้างดีสมกับราคารถในระดับนี้ เมื่อเข้ามานั่งแล้วก็ เหยียบเบรกแล้วจึงกดปุ่ม push start ให้อารมณ์ ดูเหมือนขับรถ sport แต่ที่จริงอยู่ใน Eco car หลังจากสตาร์ทแล้ว มาลองนั่งปรับเบาะ และกระจกต่างๆ ดู ตัวเบาะนั่งนั้นเป็นผ้าซึ่งจะนุ่มกว่าพวกเบาะหนังทั่วไป เมื่อได้ขับเป็นเวลานานไม่ได้รู้สึกเมื่อยหลัง แต่ว่าเมื่อยคออยู่เหมือนกัน และพบว่าเมื่อปรับเบาะลงต่ำสุดแล้ว มี head room เหลือราวครึ่งฟุต ตำแหน่งเบาะยังคงดูสูงอยู่ มันดูสูงกว่ารถในระดับเดียวกัน ให้ความรู้สึกคล้ายกับนั่งอยู่บนเบาะรถ SUV ขนาดย่อมๆ และเมื่อปรับเอนเบาะ รู้สึกว่าการปรับหาตำแหน่งที่ความชันหลังเหมาะสมพอดีนั้น ปรับได้ค่อนข้างยาก คือ จะให้มันตั้ง ก็ตั้งขึ้นมามากเกินไปหน่อย จะให้มันเอนนอน ก็เอนนอนมากไปอีก หลังจากปรับเบาะให้เข้าที่แล้ว จึงปรับพวงมาลัยซึ่งปรับได้ 4 ทิศทาง โดยปรับให้ได้ตำแหน่งเหมาะสมกับมือและไม่บังมาตรวัด พวงมาลัยเป็นแบบหุ้มหนังจับแล้วนิ่มกระชับมือดีแต่ มีรอยตะเข็บเย็บอยู่ซึ่งมันน่ารำคาญมือหน่อย ตรงข้างซ้ายของพวงมาลัยมี multifunction ไว้ปรับเครื่องเสียงด้วย ต่อมาก็เป็นการปรับกระจกมองข้าง กระจกมองข้างของเจ้า swift นี้เก๋ดี ลักษณะของปุ่มจะเป็น วงกลม ซึ่งหมุนเลือกว่าจะปรับกระจกข้างซ้ายหรือขวา และปรับตำแหน่งโดยการโยกขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวา ซึ่งดูประหยัดพื้นที่และ ใช้งานง่ายสะดวกไม่แพ้ การปรับกระจกรถในรุ่นอื่นๆ หลังจากปรับกระจกมองข้างแล้ว ก็เอื้อมตัวไปปรับกระจกมองหลังซึ่ง มันไกลจากตัวเกินไป คือ ถ้ารัด seat belt และคนขายาวๆ เลื่อนตำแหน่งเบาะมาไกลๆ หน่อย อย่างผม จะเอื้อมปรับกระจกมองหลังไม่ถึงเลย รวมถึงสวิชท์ไฟ ฉุกเฉิน ก็เช่นกัน ต้องเอื้อมมือยืดออกไปอีก ซึ่งถ้าเกิดต้องใช้จริง จะลำบากเอาเหมือนกัน และ มีจุดที่ต้องขอติ เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย จุดแรกคือ ที่บังแดดด้านผู้โดยสาร ไม่มีกระจกให้ มีแต่ด้านคนขับ คนมีแฟนนั่งด้วยก็คงไม่ต้องแต่งหน้ากันพอดี หรือ ทาง Suzuki คิดว่า ผู้ขับ Swift นั้น มีแต่ผู้หญิง? มิหนำซ้ำ ถ้าคุณเลือกรุ่น GA จะไม่มีกระจกส่องหน้าให้และช่องเก็บนามบัตรแม้แต่ด้านคนขับ! สองคือ ตรงตัวเลื่อนกระจกขึ้นที่ด้านประตูผู้ขับ ปกติกดครั้งเดียวจะเลื่อนขึ้นสุดหรือเลื่อนลงสุด แต่ในเจ้า swift นี้กดครั้งเดียวเลื่อนลงสุด แต่เวลาเลื่อนขึ้น ต้องใช้นิ้วกดค้างไว้เพื่อให้มันเลื่อนขึ้นจนสุด ซึ่งเสียเวลาและสร้างความลำบากจริงๆ

Suzuki-Swift-01

ต่อมาพูดถึงทัศนวิสัยกันบ้าง มุมมองด้านหน้าและด้านข้างมองเห็นชัดเจน ตรงบริเวณ เสา A pillar ก็จะบังอยู่นิดหน่อยเป็นปกติ ในส่วนกระจกมองข้างดีไซน์สวยแปลกตา ขนาดถือว่าค่อนข้างใหญ่ไม่ได้ดูเล็ก มองเห็นชัดเจน ในส่วนมุมตัดเข้าด้านในนั้นก็เป็นดีไซน์ที่เก๋ดี และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการมองเท่าไร จุดที่มีปัญหาที่เรียกได้ว่าเป็นจุดบอดเลย คือ เสา B และ C pillar โดยเฉพาะเสา C นั้น หนามาก และกระจกที่บานประตูหลังนั้นมีพื้นที่อยู่น้อยนิด เวลามองด้านหลังหรือ ด้านข้างเวลา เลี้ยวออกจากทางโค้งจะต้องระวังเป็นพิเศษ เมื่อเข้ามานั่งที่เบาะด้านหน้าแล้ว จึงลงมานั่งที่เบาะด้านหลังดูบ้าง หลังจากเบาะหน้าด้านคนขับปรับระยะเรียบร้อยให้เหมาะกับคนที่มีส่วนสูง 174ซม. อย่างผมแล้ว ลองมานั่งด้านหลังดู ปรากฏว่าเหลือ leg room ประมาณคืบ ซึ่งก็พอมีพื้นที่เหลือให้ ยืดหย่อนพักขากันบ้าง แต่ถ้าชอบยืดเหยียดขาจนสุด ก็คงติดอึดอัดแน่นอน เมื่อเปิดประตูท้ายขึ้น จะพบช่องเก็บสัมภาระที่มีขนาดย่อมๆ เพียงแค่สามารถใส่กระเป๋าเดินทางล้อลากได้ราว 2 ใบ หรือใบที่มีขนาดใหญ่สุดอาจใส่ได้เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น

ด้าน feeling ในการขับขี่นั้น กับเครื่องยนต์ mini size มีความจุ 1,242 cc ให้กำลังสูงสุด 91ps@6000rpm ตอนออกตัวที่รอบต่ำๆ ก็อืดเป็นไปตามที่คาดไว้ และคันเร่งนั้น ค่อนข้างแข็ง คือ ถ้าค่อยๆ เหยียบรอบจะค่อยๆ ไหลขึ้นไม่จัดจ้าน ราวกับว่าทางโรงงานเค้า set มาให้ ประหยัดน้ำมันโดยเฉพาะ เหมือนกับการติดกล่องคันเร่งไฟฟ้า และ ใช้ eco mode ควบคุมการเปิดลิ้นปีกผีเสื้อให้ช้าลงยังไงยังงั้น ถ้าขับแบบเรื่อยๆ ตามน้ำหนักคันเร่ง ก็จะไม่เกิน 2000rpm ค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อต้องการอัตราเร่ง ก็ออกแรงกระทืบคันเร่งลงน้ำหนักกันมากพอควร ให้รอบไต่เกิน สักเกือบๆ 4000rpm รอบเริ่มจัดจ้านขึ้นแล้ว และเกียร์จะตัดขึ้นที่ราว 5000กว่า อยากรู้ว่าอัตราเร่งดีแค่ไหนเมื่อมีจังหวะถนนโล่งๆ เลยลองจับเวลาช่วงอัตราเร่ง 80-120km/hr ดู ได้ที่ 10.39 วินาที! อัตราเร่งนั้น เจ้า swift มันทำได้ดีกว่า mazda3 1.6 เสียอีก

Suzuki-Swift-45

ในส่วนของความสัมพันธ์ของความเร็วต่อรอบเครื่อง ได้ทดลองความเร็วที่ 4 ค่า ได้ดังนี้ 80km/hr= 1500rpm 100km/hr=1850 120km/hr=2500rpm 140km/hr=2750rpm ซึ่งถือว่าทำได้ดีทีเดียวกับเจ้าเกียร์ CVT 7 จาก JATCO ลูกนี้ การเปลี่ยนเกียร์นั้นราบรื่น ไม่กระชากแต่อย่างใด

สำหรับในส่วนของตัวเบรกนั้นถือว่าทำได้ดีเลย ถึงแม้จะไม่ใช่ ดิสก์เบรก 4 ล้อ เนื่องจากหลังเป็นดรัมเบรก ก็ยังทำได้ดี (น่าจะดีกว่า B และ C-segment บางรุ่นเสียอีก) เมื่อกดแป้นเบรกลงไปความเร็วก็ชะลอลงโดยไว ไม่ต้องพอใกล้จวนจะจูบรถคันหน้าแล้วถึงต้องลงน้ำหนักเพิ่ม ยังไม่มีอาการเบรกแล้ว fade ให้เห็น ไม่ต้องกระทืบลงน้ำหนักกับแป้นเบรกเหมือนกับการกระแทกคันเร่ง ซึ่งกับรถเครื่องยนต์เล็กแค่นี้ เบรกระดับนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปเสียเงินเปลี่ยน modify เพิ่มให้เปลืองกันเปล่าๆ

ด้านการควบคุม พวงมาลัยแรคแอนด์พีเนียนผ่อนแรงแบบไฟฟ้า มันเบาหวิวมากกกกก ถึงมากที่สุด แม้กระทั่งรถมีความเร็วเพิ่มขึ้นไปแล้วมันก็ยังเบาอยู่ดี ตอนแรกขับๆ รู้สึกชอบมันอยู่ เวลาสาวพวงมาลัยออกตัว หรือเปลี่ยนเลนแบบรวดเร็ว แต่พอเริ่มใช้ความเร็วและ ลองหักเปลี่ยนเลนไปมา เริ่มรู้สึกถึงความไม่ค่อยจะมั่นคงเสียแล้ว ระยะฟรีของพวงมาลัยถือว่ามีมากอยู่ ที่ความเร็วตั้งแต่ 60km/h ขึ้นไปควรจะตึงมือกว่านี้อีกนิด และ สัก 100km/h ขึ้นไป ควรตึงมือมากขึ้นไปอีก จะดีมากๆ

สำหรับช่วงล่างนั้น เจ้า swift นี่น่าจะเรียกได้ว่า เป็น Eco car ที่ช่วงล่างดีที่สุดในบ้านเราเลยล่ะ กับช่วงฐานล้อที่กว้างกว่าเดิม 20mm ในล้อหน้าและ กว้างกว่าเดิม 15 mm ในล้อหลัง ให้การเกาะถนนที่ดี เทโค้งไป ตามทาง ยังไม่โคลงเคลงเหมือน B-car หลายๆ รุ่น แต่อาจดูยวบไปนิด เมื่อเทียบกับรถเก๋งที่ช่วงล่างหลังนั้นเป็น multi-link เมื่อเจอหลุมบ่อทางขรุขระ ช่วงล่างแบบ torsion beam นี้ทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่คิดไว้ เมื่อร่วมกับยางรองเท้า Bridgestone Ecopia ขนาด 185/55R16 แล้วมันซึมซับความกระด้างได้ดีมาก ทำหน้าที่เหมือนเป็น mini SUV เลย เมื่อเจอเนินก็สามารถที่จะขับ jump เข้าใส่ได้โดยไม่จำเป็นต้องแตะเบรกลึก ช่วงล่างก็มีการยุบตัวที่ดี แต่อย่างที่บอกไป สำหรับคนที่ชอบช่วงล่าง feeling sport อันนี้มันอาจให้ความรู้สึกยวบยาบไปหน่อย แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นกับ Eco car คันนี้ เพราะเจ้า New Swift นี้ได้ พัฒนามาจากโฉมเก่า ซึ่งอะไรที่เป็นข้อดีนั้นก็ยังคงเก็บรักษาไว้อยู่นั่นเอง

สรุป

สำหรับเจ้า All-New Swift Eco car คันนี้ นั้นเป็นรถที่อาจพูดได้เต็มปากเลยว่า “นี่ล่ะ ใช่เลย! Eco car ในแบบฉบับที่ผมและหลายๆ คนอยากได้” ถึงแม้มันจะมีข้อเสียอยู่ประปราย อันได้แก่ handling พวงมาลัย, ปุ่มต่างๆบริเวณคอนโซลรวมถึงกระจกมองหลังที่ต้องเอื้อมยืดจนสุดแขนเพื่อปรับ, วิสัยทัศน์ทางด้านหลังที่มองค่อนข้างลำบาก และเรื่องออปชั่นจุกจิกรำคาญใจนิดหน่อย แต่มันก็ทำได้ดีทั้งในด้านการประหยัดน้ำมันที่ทำได้จริงอย่างที่เคลมไว้ถึงแม้อาจจะไม่ได้ประหยัดที่สุด แต่มันก็มีแรงม้าให้เรียกใช้มากที่สุดในกลุ่ม อัตราเร่ง ที่ทำได้ไม่ขี้เหร่นัก ช่วงล่างและเบรกที่ถือว่า เยี่ยมมากถึงที่สุดสำหรับรถในระดับเดียวกัน feeling ของการขับที่ได้นั้น กึ่งๆเหมือนจะเป็น mini SUV ทั้งตำแหน่งเบาะนั่ง และส่วนสูงของรถ รวมถึงช่วงล่างอันนุ่มนวล ถึงแม้ราคาเริ่มต้นจะแพงกว่า คู่แข่งรายอื่นอยู่สักหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเพิ่มไป และในตัว Top ราคาก็สูสีไม่หนีห่างกับเจ้าอื่นอีกด้วย เจ้า Swift นี้ยังสามารถพาคุณไปยังที่หมายได้ทั้งในตัวเมือง ที่การจราจรคับคั่ง ที่จอดรถมีจำกัด มันเหมาะมาก เนื่องจากขนาดตัวที่กระทัดรัด หรือแม้กระทั่งคุณเดินทางออกไปต่างจังหวัดไกลๆ เจ้า Swift ก็พาคุณลุยไปกับทางได้อย่างสมบุกสมบัน ไม่ปลิวเมื่อเจอรถใหญ่วิ่งแซงคุณอยู่ด้านข้าง และที่สำคัญ หากซื้อรถในปีนี้ยังได้ส่วนลดคืนภาษีจากรถยนต์คันแรกอีก สงสัยว่าหลังจากอ่านรีวิวนี้จบแล้วคงต้องไปหาจับจองมา ใช้กันสักคันก่อนสิ้นปีนี้ซะแล้ว

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver

All-New Suzuki Swift นี้ สีมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่

  • สีแดง Ablaze Red Pearl
  • สีน้ำเงิน Boost Blue Pearl Metallic
  • สีแสด Sunlight Copper Pearl Metallic
  • สีดำ Super Black Pearl
  • สีขาว Snow White Pearl
  • สีบรอนซ์เงิน Star Silver Metallic
  • สีเทา Mineral Grey Metallic

โดยมี 3 รุ่น 3 ราคา ให้เลือก ได้แก่

  1. GA เกียร์อัตโนมัติ CVT ล้อกะทะ ขนาด 15” ราคา 469,000 บาท
  2. GL ระบบ keyless และ push start ล้อกะทะ ขนาด 15” ราคา 507,000 บาท
  3. GLX multifunction พวงมาลัยหนัง ไฟตัดหมอก กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ล้ออัลลอยด์ ขนาด 16” ราคา 559,000 บาท

(สงวนลิขสิทธิ์บทความทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ 2537)

ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com  
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่ 
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ