เนื่องจากในสภาพปัจจุบันนี้ ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ผลิตรถยนต์ในหลายค่ายจึง พัฒนาคิดค้นรถที่จะประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และให้การตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้รถให้มากที่สุด รถที่ได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีในขั้นสูงนั้น ก็จะหันไปใช้ระบบ hybrid หรือพลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งทำให้รถในระดับนี้นั้น มีราคาสูง เมื่อเทียบกับกำลังซื้อของคนทำงานทั่วๆไป ทางผู้ผลิตรถยนต์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตอบโจทย์ความต้องการของคนในกลุ่มนี้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เลือกที่จะย่อขนาดของเครื่องยนต์ลงแทนพร้อมปรับเปลี่ยนคุณสมบัติทางด้านเทคนิคต่างๆให้ได้ตามมาตรฐานและข้อกำหนดของการเป็น “Eco Car” ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และจากที่กระแส Eco Car มาแรงในช่วง 2 ปีมานี้ รถในหลายๆค่าย จึงจัดรถในเซกเมนต์นี้ออกมาสู้กันอย่างดุเดือด พร้อมมาตราการคืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกจากรัฐบาล และล่าสุดนี้ ค่าย Mitsubishi Motors ก็ได้จัดทัพออกมาต่อกรกับคู่แข่ง โดยได้ดึงพรีเซนเตอร์ขวัญใจสาวก K-pop ในไทยเรา อย่าง นิชคุณ หรเวชกุล มาช่วยโปรโมท New Mirage ด้วย พร้อมสโลแกน “Be more มิตซูบิชิมิราจ…ให้คุณได้มากกว่า” ต้องมาคอยดูกันว่า คำกล่าวอ้างนี้ ที่กล้าบอกกันถึงว่า ให้ได้มากกว่า มันหมายถึงให้มากกว่ารถ Eco Car ในค่ายอื่นอย่างไรบ้าง และสุดท้าย Mitsubishi จะแย่งชิ้นเค้กจากกลุ่ม Eco car กลับมาได้มากเพียงใด กับยอดจองครึ่งปีที่น่าประทับใจกว่า 20,000 คันไปแล้ว
“More Stylish โดดเด่นกว่า” & “More Active ปราดเปรียวกว่า” ด้วยรูปโฉมภายนอก ด้วยการดีไซน์ที่มี aerodynamics ที่ยอดเยี่ยม มีค่า cd (สัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน) เพียง 0.29 ให้ความปราดเปรียวคล่องตัวและลดการต้านอากาศซึ่งมีผลต่อการประหยัดเชื้อเพลิง สำหรับการตกแต่งภายนอก ไฟตัดหมอก, สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก, ล้ออัลลอยด์ขอบ 14” มีในรุ่น GLS และ GLS LTD ล้อเหล็กพร้อมฝาครอบมีในรุ่น GLX ส่วนรุ่น GL จะไม่มีฝาครอบเป็นเพียงล้อกะทะเพียวๆ ทางด้านประตูท้ายนั้นมีใบปัดน้ำฝนหลังในทุกรุ่นยกเว้นรุ่น GL สำหรับมิติรถกว้างนั้น 166 5มม. ยาว 3710 มม. แต่ช่วงความยาวของล้อหน้าถึงล้อหลังโดยนับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยาว 245 0มม. ทำให้พื้นที่ห้องโดยสารภายในนั้นดูกว้างตรงบริเวณ leg room น้ำหนักรถก็เบามาก เพียง 830-865 กก. เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ และอีกจุดที่ทำให้ Mirage ดูโดดเด่นกว่า คือ สีที่มีให้เลือกมากถึง 8 สี ซึ่งในแต่ละสีนั้นโดนใจวัยรุ่นกันไม่น้อย
“More Utilities สะดวกสบายกว่า” ด้วยรูปลักษณ์ภายใน ภายในตกแต่งแบบ piano black เบาะนั่งนั้นเป็นผ้าในทุกรุ่น เบาะคนขับสามารถปรับสูง-ต่ำได้และในเบาะตอนหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 แต่ในรุ่น GL ไม่สามารถปรับได้ และยังไม่มีช่องเก็บของด้านหลังเบาะผู้โดยสาร รวมถึงตะขอแขวนสิ่งของที่เบาะผู้โดยสารก็ไม่มีให้เช่นกัน เครื่องเสียง+NAVI แบบ touch screen ขนาด 7” สามารถเล่นวิทยุ/DVD/MP3/USB port และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ได้มีมาให้เฉพาะรุ่น GLS LTD ส่วนในรุ่นที่เหลือเป็นเครื่องเสียงแบบ 2DIN built in ยกเว้นรุ่น GL ที่ไม่มีเครื่องเสียงมาให้ ลำโพงมีมาให้ทั้งหมด 4 ตัวในทุกรุ่นยกเว้นรุ่น GL ที่ไม่มีเครื่องเสียง บริเวณหน้าปัดเรือนไมล์นั้น มาตรวัดรอบเครื่องยนต์และไฟแสดง ECO รวมถึงระบบเซ็นทรัลล๊อค ไม่มีให้ในรุ่น GL อีกเช่นกัน ระบบกุญแจ KOS (Keyless Operation System) มีให้ในรุ่น GLS และ GLS LTD รุ่น GLX เป็นกุญแจรีโมท ส่วน GL เป็นกุญแจธรรมดา
“More Saving ประหยัดกว่า” ด้วยเครื่องยนต์ บล๊อกเล็กน่ารัก ขนาด 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว ความจุขนาด 1193 cc ให้แรงม้าน้อยที่สุดในกลุ่ม คือ 78 ps@6000rpm และแรงบิด 100Nm@4000rpm รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงสุด คือ E20 พูดถึงเครื่องยนต์ขนาด 3สูบ เมื่อเทียบกันกับ 4 สูบแล้วนั้น มีข้อดีและข้อเสียต่างกัน ข้อดีที่มีก็ในเรื่องการดูแลรักษาที่จำนวนสูบน้อยกว่า มีน้ำหนักที่เบากว่า ให้ความประหยัดที่มากกว่า และที่สำคัญให้แรงบิดในรอบที่ต่ำกว่า ทำให้อัตราเร่งดูจี้ดจ้าดกว่า แต่ในข้อเสียก็ ในเรื่องความนิ่งของเครื่องยนต์นั้นจะสู้ 4สูบไม่ได้ รวมถึง 1 สูบที่หายไปหมายถึงพละกำลังที่หดลงไปบ้าง
ระบบขับเคลื่อน ระบบขับเคลื่อนมีเกียร์ M/T 5 speed ในรุ่น GL และ GLX ซึ่งมีอัตราการทดเกียร์ ตั้งแต่ 3.545-0.804 และเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 ของ JATCO เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ผลิตและจำหน่ายเกียร์ให้แก่บริษัทรถยนต์หลายแบรนด์ดัง ซึ่งกำลังจะจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย และในเกียร์ลูกนี้นั้นเป็นตัวเดียวกับ Nissan March, Nissan Almera, Suzuki Swift แต่ของ Mitsubishi นั้นพ่วงระบบ INVECS III ซึ่งจะวิเคราะห์พฤติกรรมในการขับขี่เพื่อนำไปประมวลผลในการเปลี่ยนเกียร์
ระบบกันสะเทือนและเบรก นั้นไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่หรือให้ความแตกต่างแต่อย่างใด ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ McPherson Strut และหลังแบบ Torsion Beam เป็นแบบฉบับทั่วๆไปของรถเล็กเพื่อต้องการพื้นที่ด้านหลัง และระบบเบรกแบบหน้าดิสเบรกระบายความร้อน กับหลังที่เป็นดรัมเบรก ซึ่งก็เป็นปกติของรถระดับนี้อีกเช่นกัน ยังไม่พบดิสเบรกแบบ 4 ล้อในรถประเภท Eco car นี้เลย
“More Safety มั่นใจกว่า” จากมาตรฐานระบบความปลอดภัย ระบบเบรก ABS, EBD นั้นมีให้ในทุกรุ่นยกเว้นรุ่น GL ระบบถุงลมนิรภัยคู่หน้าและระบบกุญแจ Immobilizer มีเฉพาะในรุ่น GLS และ GLS LTD สำหรับโครงสร้างตัวรถที่เป็นจุดเด่น ของ Mitsubishi คือ ตัวถังนิรภัย RISE Body (Reinforced Impact Safety Evolution) ดีไซน์เพื่อลดการยุบตัวของห้องโดยสาร ทำให้ห้องโดยสารเสียหายน้อยที่สุดจากการถูกชนทางด้านหน้าและด้านข้าง รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยส่วนรับแรงกระแทก high tensile steel และที่ขาดไม่ได้ที่เป็นจุดขายของทาง Mitsubishi คือ ระบบ ETACS (Electronic Time and Alarm Control System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ได้แก่
• กุญแจรีโมทพร้อมระบบควบคุมกระจกมองข้าง พับและกางอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้รู้ได้ทันทีว่าได้ทำการล๊อครถแล้วหรือยัง
• ระบบสัญญาณไฟเลี้ยว เพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเล็กน้อย ไฟจะกระพริบอยู่ถึง 3 ครั้ง
• ระบบหน่วงเวลาเลื่อนเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้า ภายหลังดับเครื่องแล้วจะยังทำการเปิด-ปิดได้อีก 30วินาที
• ระบบตัดการทำงานไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟหน้ารถนั้นจะดับเองเมื่อดับเครื่องยนต์และเปิดประตู
• สัญญาณเสียงเตือน เมื่อปิดประตูไม่สนิทและมีการเคลื่อนรถออก
• ใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ เมื่อเปิดที่ปัดน้ำฝนและมีการขับที่ความเร็วเกินกว่า 60km/h ระบบจะปรับเป็นจังหวะที่ 1 ให้อัตโนมัติ
• ใบปัดน้ำฝนหลังเปลี่ยนเป็นปัดต่อเนื่อง 2 ครั้งเมื่อเข้าเกียร์ R ขณะที่ทำการเปิดใบปัดน้ำฝนหลัง
• ระบบล๊อคประตูซ้ำอัตโนมัติ หากมีการปลดล๊อคประตูและไม่มีการเปิดประตูภายใน 30วินาที
• ระบบหน่วงเวลาปิดไฟภายในห้องโดยสาร 15 วินาที หลังจากดับเครื่องออกจากรถแล้ว
รีวิว Mitsubishi Mirage GLS LTD ขับทดสอบ นวนคร-อยุธยา-บางปะอิน , กรุงเทพฯ-บางแสน
สำหรับการ test drive ครั้งนี้ ขอขอบคุณ Mitsubishi Motor ประเทศไทยเป็นอย่างมาก ที่เอื้อเฟื้อรถมาให้ทาง Autospinn ได้ทดสอบถึง 1 วันเต็มๆด้วยกัน คันที่ได้มานี้ เป็น Mitsubishi Mirage รุ่น GLS LTD ซึ่งเป็นตัว top สี Lemonade Yellow Metallic (สีเหลืองมะนาว ตามรถต้นแบบในการทำตลาด) เส้นทางที่วิ่งได้ทั้งหมดรวมตั้งแต่รับรถไปจนส่งมอบคืนนั้น เป็นระยะทางกว่า 500km เนื่องจากได้เวลามา 1 วันกับอีก 1 คืนเต็มๆ จึงขออนุญาต แบ่งการทดสอบออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกในช่วงเช้าเพื่อคิดอัตราสิ้นเปลืองจากการวิ่งบริเวณชานเมือง+ในตัวเมือง เพื่อให้ได้สภาพการจราจรที่ใกล้เคียงกับการใช้งานรถ Eco car ดังที่ทดสอบกับ Swift ไปในคราวก่อน โดยเริ่มวิ่งออกจาก Mitsubishi Motor ประเทศไทย สำนักงานใหญ่ บริเวณนวนคร ไปเติมน้ำมันที่ปั๊มใกล้เคียง (gasohol 91) เสร็จแล้วจึงจับทริป โดยวิ่งไปยังตัวเมืองอยุธยา วิ่งวนเล่นในตัวเมือง แวะตลาดน้ำอโยธยา และวิ่งออกไปยังวัดพนัญเชิง และไปต่อยังพระราชวังบางปะอิน แล้วจึงวิ่งกลับเข้ากรุงเทพฯ ทางเส้นวิภาวดี แวะปั๊มบริเวณเกษตรศาสตร์ เติมน้ำมันเพื่อคำนวณอัตราสิ้นเปลือง ในส่วนแรกวิ่งได้ระยะทางทั้งหมด 169.5km ใช้น้ำมันไป 9.32L อัตราสิ้นเปลือง = 18.187km/L อัตราสิ้นเปลืองที่ได้นี้ มีเพียงผู้ขับคนเดียว สภาพการจราจร ถนนโล่งมีติดขัดบ้างเล็กน้อยปานกลางไม่มาก มีติดไฟแดงบ้างเล็กน้อยในตัวเมืองอยุธยา ซึ่งทางผู้ขับเน้นขับเรื่อยๆ ความเร็วเฉลี่ย 80-100km/h บริเวณที่รถโล่งไม่ติด มีทดลองอัตราเร่ง 80-120km/h โดยเหยียบมิดเพื่อเร่งเอาเลขให้ได้ดีที่สุด ซึ่งตัวเลข 18km/L ที่ได้นี้ ถือว่าทำเอาตกใจพอสมควรเพราะตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 20km/L เนื่องจากรถไม่ได้ติดมาก และผู้ขับไม่ได้ขับเกิน 120km/h มีเพียงช่วงทดสอบอัตราเร่งเท่านั้น ที่เหยียบจมมิด ซึ่งผลที่ได้นี้อาจไม่เป็นที่น่าประทับใจนักสำหรับผู้อ่านหลายๆท่าน อาจมีเหตุผลจากในตัวเมืองอยุธยานั้น ใช้ความเร็วสูงไม่ได้ อยู่ที่ราวๆ 40km/h และมีการเบรกร่วมกับออกตัวบ่อยๆ อีกเหตุผลน่าจะมาจากการติดเครื่องยนต์และดับบ่อยด้วยเช่นกัน
สำหรับในส่วนที่สอง ช่วงค่ำเพื่อทดสอบสมรรถนะรถแบบจริงจัง แบบเอาตามใจสั่งผู้ขับ โดยในส่วนนี้ไม่ได้คิดคำนวณอัตราสิ้นเปลือง เส้นทางที่เลือก วิ่งออกจากกรุงเทพฯ เข้าเส้นมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าไปยังชลบุรี แวะบางแสนกินลม และวิ่งกลับเข้ากรุงเทพฯ ทางถนนบางนาตราด และเช้าวันรุ่งขึ้นจึงนำรถไปคืนโดยวิ่งทางเส้นวิภาวดีรังสิต
เมื่อเซ็นต์เอกสารตรวจรับรถเรียบร้อยก็ได้รับกุญแจรถมาเป็นกุญแจ KOS ซึ่งเป็นแบบเดียวกับตัว Lancer EX แต่จะไม่มีช่องที่กดให้ประตูท้ายเปิดออก และเมื่อพกกุญแจเข้ามาอยู่ในรัศมีตัวรถ 70cm จากประตูด้านคนขับและประตูท้าย จะสามารถกดปุ่มที่ประตูเพื่อปลดล๊อคได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องกดปลดล๊อคจากตัวกุญแจ ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับมาก เนื่องจากใส่กางเกงยีนและเก็บกุญแจเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงหน้าซึ่งเป็นแบบ slim ล้วงออกมาค่อนข้างลำบาก เมื่อกดปุ่มปลดล๊อคหูกระจกมองข้างแบบพับไฟฟ้าก็กางออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ETACS ที่ผู้ขับชอบมากๆ นับตั้งที่มีในตัว Lancer EX minor change เพราะเวลาจอดแล้วจะดูรู้ได้ทันทีว่าล๊อครถหรือยังจากหูกระจก และการที่พับเก็บหูกระจกอัตโนมัตินี้ก็ถือเป็นนิสัยที่ดีมีมารยาทต่อผู้ใช้ถนนอีกด้วย โดยที่ไม่ต้องมากดปุ่มพับก่อนที่จะลงจากรถ เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยสารจะพบภายในนั้นเป็นสีดำ black piano ทั้งหมด การตกแต่งนั้นดูเรียบง่ายมาก และวัสดุนั้นเป็นพลาสติกและพอลียูรีเทน ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับพวงมาลัย ถือว่าการตกแต่งนั้นดูไม่ค่อยสวยงามเท่าใดนัก บริเวณแผงสวิทช์ควบคุมเครื่องปรับอากาศคอนโซลกลางดูสะดวกใช้งานง่าย แต่ปุ่มสวิทช์ไฟฉุกเฉินแอบไกลไปนิดต้องเอื้อมมือยืดออกไปหน่อย สำหรับจอ NAVI ขนาด 7” ซึ่งไม่ใช่ Mitsubishi G9 อย่างที่พบใน รุ่นอื่น อย่าง Lancer EX, Pajero Sport, Space wagon บอกตรงๆ ว่ามันดูไม่ค่อยดีเลย ทั้งวัสดุ และในตัว Program NAVI เพราะมันไม่ใช่ Speednavi อย่างใน Mitsubishi G9 การแสดงผลของ NAVI ตัวนี้ มี Resolution ต่ำ, การ search ปลายทางใช้งานค่อนข้างยากอีก เครื่องเสียงก็ฟังๆ ดูแล้วแตกๆ ยังไงไม่รู้ไม่ค่อยมีความคมชัด จึงไม่ค่อยน่าประทับใจกับเจ้าเครื่องเสียง+NAVI ตัวนี้ แต่ยังดีที่มี port USB ให้ซึ่งซ่อนอยู่ในลิ้นชักด้านผู้โดยสาร สรุปถ้าเปลี่ยนเป็น Mitsubishi G9 จะน่าประทับใจกว่านี้มากๆ พวงมาลัยแบบ 3 ก้านที่ดูอวบๆตันๆ มันดูไม่ค่อยสปอร์ตเหมือนใน Lancer EX จับแล้วดูไม่ค่อยกระชับมือเท่าไร เพราะไม่มีช่องเว้าที่รองรับกับร่องนิ้วมือ และเป็นที่น่าเสียดายที่ในตัว Top คันนี้ไม่ใช่พวงมาลัยหนังรวมถึงไม่มี multifunction หน้าปัดเรือนไมล์นั้นดูใหญ่ชัดเจนดี ตรงกลางเป็นมาตรวัดความเร็วขนาดใหญ่และด้านซ้ายจะเป็นมาตรวัดรอบ ด้านขวาจะไว้บอกไฟเตือนต่างๆ มาดูในส่วนของคอนโซลเกียร์กันบ้าง เกียร์เป็นร่องแบบขั้นบันได หัวเกียร์เป็นแบบเดียวกับในตัว Lancer EX GLX สำหรับเบรคมือนั้น รู้สึกว่ามันอยู่ชิดลำตัวไปนิด ทำให้เวลาจะดึงใช้ ศอกจะไปติดบริเวณปีกเบาะนั่งเล็กน้อย ด้านบนคันเกียร์ขึ้นไปเป็นช่องวางแก้วได้สองใบ และเหนือขึ้นไปอีกเป็นช่องวางของซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก มันไม่เพียงพอสำหรับการวางกระเป๋าเงินและมือถือ smartphone ได้พอดี หลังจากบ่นกันไปเยอะแล้วมาพูดถึงวิสัยทัศน์ในการนั่งบ้าง เมิ่อเข้ามานั่งในรถและเหยียบเบรคกดปุ่ม push start ที่ด้านขวามือของพวงมาลัยแล้ว เร่งเครื่องปรับอากาศเสร็จ ก็หมุนปรับเบาะนั่งให้ให้ตำแหน่งต่ำที่สุดซึ่งหมุนต่ำสุดแล้วมันยังให้ตำแหน่งที่สูงกว่ารถ C-car อยู่พอสมควร เมื่อปรับเบาะ ok จึงปรับพวงมาลัยให้สูงที่สุด เพื่อให้ไม่ติดหัวเข่า มุมมองด้านหน้ารถนั้น มองไม่เห็นฝากระโปรงหน้าเลยเพราะเป็นธรรมดาของหน้ารถสั้น ในส่วนเสา A นั้นไม่เป็นปัญหามาก เพราะเสาไม่ได้มีความหนามาก ส่วนกระจกมองข้าง ทรงเหลี่ยมอันนี้ดูสวยงามดี และมันให้มุมมองที่ดีกว่าของ Lancer EX เนื่องจากด้านบนมันไม่ได้ตัดลาดลงมา สำหรับกระจกมองหลังแบบตัดแสง เมื่อมองลอดผ่านไปยังประตูท้ายนั้นช่องมองเพียงพอกับการมองเห็นรถที่มาจากด้านหลัง ส่วนปัญหาเดิมๆ ที่พบนั้นคือ เสา C ที่หนา และเสา B ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยวกลับรถ เมื่อนั่งเบาะหน้าดูมุมมองกันเป็นที่เรียบร้อยจึงถอยไปนั่งเบาะหลังดูกันบ้าง เมื่อมานั่งเบาะหลังโดยที่เบาะหน้าด้านคนขับปรับความยาวขาให้พอเหมาะกับผู้ขับที่มีความสูง 174cm พบว่ามมี leg room เหลือเฟือเลย น่าประทับใจสำหรับรถระดับนี้ เพราะถ้าเดินทางไกลๆ ผู้นั่งตอนหลังจะนั่งได้อย่างสบายไม่เมื่อย แต่ถ้าหากนั่งตอนหลัง 3คนจะเบียดกันอาจจะอึดอัดพอสมควรเนื่องจากความกว้างรถนั้นไม่มาก เมื่อลองเปิดประตูท้ายดูจะพบพื้นที่สัมภาระมีไม่มากนัก หากเดินทางไกลกันเป็นครอบครัวก็อาจจะเก็บกระเป๋าเดินทางกันไม่พอ ตรงพื้นพรมเป็นผ้าใยบางๆปิดอยู่ ซึ่งดูไม่ประณีตนัก เมื่อเปิดผ้าขึ้นจะพบแผ่นไม้กระดานแข็งกั้นล้ออะไหล่ไว้ หุ้มด้วยยาง Maxis 115/70/14
ในส่วนการขับขี่นั้น มาว่ากันที่เครื่องยนต์กันก่อน เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าจะพบกับห้องเครื่องที่วางเครื่องยนต์ ขนาด 3สูบ 1193cc พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC มันเป็นเครื่องยนต์ที่มีความจุ และให้แรงม้าน้อยที่สุดในกลุ่ม หลายคนคงต้องคิดว่า มันต้องอืดสุดแน่ๆ แต่ขอโทษถ้าคุณคิดเช่นนั้นคุณคิดผิด! มันออกตัวได้ดีกว่า รถ C-car อย่าง Lancer EX 1.8, Altis 1.8 เสียอีก ไม่อยากจะคิดถ้าได้ขับ M/T 5 speed คงจะเร่งได้มันกว่านี้แน่ๆ เมื่อกระทืบคันเร่งไปแบบกดมิด แรงบิดทั้งหมดถูกถ่ายเทลงที่ล้อ รอบกวาดขึ้นมาไว เสียงเครื่องยนต์ขนาด 3 สูบคำรามดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 5500rpm และตื้อที่ตรงนี้ จึงต้องทำการถอนคันเร่งเพื่อให้เกียร์นั้น shift up ขึ้นไป สัมผัสได้ถึงการกระชากที่มีอยู่พอสมควรให้ความเร้าใจดีทีเดียว รอบนั้นไม่ตกลงมากและยังกวาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาพิสูจน์ดูอัตราเร่งเจ้าเหลือมกันว่ามีดีแค่ไหน เมื่อมีจังหวะถนนโล่ง จึงขอสักหน่อย ปรากฏว่าช่วงอัตราเร่ง 80-120km/hr ทำได้ที่ 9.44วินาที! โอว! ช่างน่าประทับใจเสียจริง เจ้าเหลือมน้อยที่มีเครื่องเล็กสุดในกลุ่ม ทำได้ดีกว่า Swift ที่มีเครื่องใหญ่สุดในกลุ่ม ราว 1 วินาที เห็นทีคราวนี้รถใหญ่ๆ หลายๆรุ่น เจอน้องเหลือม คงต้องหลีกทางให้ล่ะ ยิ่งถ้าเป็นตัว M/T ด้วยแล้วคงโดนกินตั้งแต่ออกตัวเอาง่ายๆ อย่าคิดลองดีไปเล่น เพราะถ้าแพ้ขึ้นมาอาจอับอายขายขี้หน้าได้ เกือบลืมไปว่ามันเป็นรถ Eco car คงต้องพูดถึงการขับขี่แบบประหยัดกันบ้าง
การขับแบบกดคันเร่งค่อยเป็นค่อยไปนั้น รอบจะขึ้นเรื่อยๆ ถึงประมาณ 2000rpm เกียร์ก็จะ shift up ขึ้นไป และเมื่อถอนผ่อนคันเร่ง ไฟ Eco จะขึ้น รวมถึงขณะการเดินคันเร่งแบบเนิบๆ เช่นกัน เพื่อเป็นการบอกถึงนิสัยการขับว่าคุณใช้รอบเครื่องได้เหมาะสมกับความเร็ว ซึ่งมันอาจช่วยกระตุ้นให้เกิดนิสัยการขับขี่แบบประหยัดเชื้อเพลิงได้ แต่มีสิ่งที่นึงที่รู้สึกรำคาญใจอยู่นิดๆ คือเสียงลมที่ดังเข้ามาภายในห้องโดยสารที่มีมาก ตั้งแต่ความเร็ว ตั้งแต่ราว 100km/h +
สำหรับด้านความสัมพันธ์รอบเครื่องที่ได้นั้น ได้ทดลองความเร็วที่ 4 ค่า ได้ดังนี้ 80km/hr=1600rpm 100km/hr=2000rpm 120km/hr=2250rpm 140km/hr=2750rpm ในส่วนของระบบเกียร์ CVT 7 จาก JATCO ลูกนี้เป็นลูกเดียวกันกับ March, Almera, Swift แต่ค่าความสัมพันธ์รอบเครื่องต่อความเร็วนั้นได้ไม่เท่ากัน ซึ่งเกียร์ลูกนี้ของ Mitsubishi พ่วงด้วยระบบ INVECS III สำหรับในการขับขี่แบบธรรมดาทั่วไปให้การขับขี่ที่นุ่มนวลในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ตามแบบฉบับ CVT แต่เมื่อขับขี่แบบต้องการพละกำลังแรงบิด มันก็กระชากได้ใจดีเลยทีเดียว รวมถึงการตอบสนองนั้นจะค่อนข้างทำได้ดีทันใจกว่า
เบรกแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม นั้นถือว่าเป็นปกติของรถในระดับนี้ แต่เมื่อได้ลองเหยียบเบรกของเจ้าเหลือมดูแล้ว รู้สึกการตอบสนองต่อการใช้งานนั้น ทำได้ไม่ดีอย่างที่คาดไว้ ทำเอาแอบผิดหวังเล็กๆ เพราะสไตล์คนขับดูดชอบจี้ ต้องลงน้ำหนักกันมาก กดเอาหน้าทิ่มกันพอสมควร เพราะเบรกแบบค่อยๆ ทั่วๆไป นั้นคงไม่อยู่แน่ๆ อาจได้ไปจูบบั้นท้ายคันข้างหน้าเอาได้ แต่สำหรับผู้ขับที่มีนิสัยการขับแบบทั่วๆไป ก็คงไม่ถือเป็นปัญหา
ด้าน feeling ของ handling นั้น พวงมาลัยเป็นแบบแรคแอนด์พีเนียนพร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า พวงนี้ให้จังหวะออกตัวเบากำลังดีแบบรถทั่วๆไป แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 40km/h จะเริ่มรู้สึกตึงมือขึ้น และเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นอีก เป็น 60 และ 80km/h น้ำหนักนั้นจะเริ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อขับที่ความเร็ว 100km/h+ นิดๆ และลองปล่อยพวงมาลัยนั้นยังทำหน้าที่ได้ดี คือยังคงนิ่งไม่ศูนย์เสียการควบคุม ในส่วนระยะฟรีของพวงมาลัยมีไม่มากนัก ช่วงระยะฟรีกำลังพอดีกับการใช้หักเปลี่ยนเลน ซึ่งถือว่าเป็นพวงมาลัยที่ยอดเยี่ยมอันนึงเลยทีเดียว
และมาถึงช่วงล่าง สำหรับรถในระดับนี้ แน่นอนว่า ด้านหน้าเป็นแบบ McPherson Strut และหลังเป็น Torsion Beam เช่นเคย เมื่อร่วมกับยาง Bridgestone Ecopia EP150 165/65/14 ลองขับแบบทั่วๆไป ก็ให้ความนุ่มนวลพอสมควรเมื่อเจอหลุมบ่อ, ทางขรุขระ แต่เมื่อกดไปสัก 100km/h + จะเริ่มรู้สึกว่ารถเริ่มลอยๆ อยู่บ้างไม่ค่อยเกาะถนนนัก คงเป็นที่โครงรถที่มีน้ำหนักเบาด้วย พอความเร็วทยานไปที่ 120km/h + ชักเริ่มไม่ค่อยมั่นคงเสียแล้ว เมื่อถึงโค้งลองเข้าโค้งแบบขับโยนดูสักหน่อย ที่ความเร็ว 60-70km/h ยังพอเกาะ ok อยู่ แต่ถ้าโยนที่ความเร็วสูงกว่านี้แบบเทโค้งซึ่งคนปกติไม่ทำกัน เริ่มมีอาการตัวรถโยนๆ ให้เห็น แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดี สำหรับการใช้งานที่ความเร็วปกติทั่วๆไป ไม่ได้โยนโค้งกันแบบโหดๆ หรือต่อให้เดินทางไกล ก็ไม่เป็นอุปสรรคถ้าไม่ได้เหยียบกันจนแทบจะบิน ถือว่าผ่านสบายๆ
สรุป สำหรับ Mitsubishi Mirage Be More “ให้คุณได้มากกว่า” ดูๆ ไปแล้ว ข้อดี หลักๆ ก็คงจะเป็นเรื่องของเครื่องยนต์ที่พละกำลังถึงจะน้อยสุดแต่ก็จัดจ้านดีจริงๆ ร่วมกับเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ในหลายสื่อทำออกมา ได้ข้อสรุปว่าเป็น Eco car ที่ประหยัดที่สุดในกลุ่ม และที่สำคัญ handling นั้นทำได้ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว นอกนั้น เบรกแอบผิดหวังเล็กๆ, ช่วงล่าง ok สมราคารถรุ่นนี้, วัสดุภายในรวมถึงการตกแต่งห้องโดยสาร ดูแล้วก็ตามราคาจริงๆ สำหรับจุดขายได้อีกอย่างก็คงเป็นรูปลักษณ์เจ้าเหลือมที่เล็กกระทัดรัด ดูน่ารักและมีสีสรรให้เลือกมาก แถมสียังเป็นสีเจ็บจี๊ด ซึ่งคงถูกใจวัยรุ่นและสาวๆ กันเป็นอย่างมาก พอมาคิดอีกที สโลแกน “ให้คุณได้มากกว่า” นี้จะหมายถึงมีสีให้เลือกที่มากกว่ากัน ?! แต่โดยรวมแล้ว เจ้า Mirage นี้ เป็นรถรุ่นนึงที่น่าใช้ โดยเฉพาะในตัวเมือง ที่รถติด หาที่จอดลำบาก เจ้าเหลือมคงจะตอบโจทย์ได้ดี เพราะขนาดเล็กกระทัดรัด อัตราเร่งที่จัดจ้าน ทำให้มุดได้คล่องตัวกับสภาวะการจราจร กทม. และที่สำคัญมันจะเป็นอีกรุ่นที่ผลักดันยอดขาย Mitsubishi ให้เติบโตได้อีกเยอะทีเดียว และกับสิ้นปีนี้ที่ได้รับภาษีคืนอีก สำหรับผู้ออกรถคันแรกภาย คงต้องมาคอยตามดูกันว่า Mirage จะกอบกู้ ดึงชิ้นเค้ก Eco car จากเจ้าใหญ่อย่าง Nissan กลับคืนมาให้ Mitsubishi ได้มากเพียงใด
หมายเหตุ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 นั้นทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ประกาศเชิญลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ จำนวน 10,300 คัน รถทุกคันที่มีหมายเลขเชสซีก่อนหมายเลข MMTXTA03ADH012600 (S#50050) เข้าไปรับการบริการเปลี่ยนอะไหล่ เนื่องจากตรวจพบปัญหาเกจ์วัดระดับน้ำมันบางคัน แสดงผลคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงและ ไม่มีสัญญาณเตือนเมื่อน้ำมันหมด ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับขณะขับขี่ โดยที่ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำมันเหลือต่ำกว่า 1 ใน 4 ของถัง ระบบจะแสดงผลปริมาณน้ำมันคงเหลือคงที่ในระดับประมาณ 1-2 ขีด ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือจะน้อยกว่าหรือจะหมดไปแล้วก็ตาม ดังนั้นลูกค้าจึงควรรักษาระดับน้ำมันในถังไม่ต่ำกว่า 1 ใน 4 ของถัง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว
มาตรการในการแก้ไข
1. ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฏาคม เป็นต้นไป บริษัทฯ จะส่งจดหมายให้กับลูกค้าเพื่อแนะนำให้เติมน้ำมันเมื่อเกจ์วัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงแสดงผลว่าปริมาณน้ำมันคงเหลือในถังมีน้อยกว่าครึ่งถัง เพื่อป้องกันน้ำมันหมดในระหว่างการขับขี่
2. มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กำลังอยู่ในระหว่างการจัดเตรียมอะไหล่ที่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพแล้วเพื่อนำมาเปลี่ยนแทนอะไหล่เดิม โดยคาดว่าภายในเดือนสิงหาคมนี้จะสามารถผลิตอะไหล่ดังกล่าวได้ในจำนวนที่พอเพียงกับความต้องการปรับเปลี่ยน
ทั้งนี้นับจากต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ทุกท่านจะได้รับจดหมายฉบับที่สอง เพื่อเชิญให้ติดต่อนัดหมายโดยตรงกับผู้จำหน่าย ในการนำรถยนต์เข้ารับบริการตรวจเช็ค และเปลี่ยนอะไหล่เกจ์วัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ทุกท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการได้ที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ ทั่วประเทศ หรือ Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 02-529-9500 วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.30 – 17.00 น.
มิตซูบิชิ “มิราจ” ใหม่ มีทั้งหมด 5 รุ่นหลัก โดยตั้งราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 380,000 - 546,000 บาท
รุ่นรถ ราคา
(1) GLS Ltd. เกียร์อัตโนมัติ 546,000 บาท กุญแจ KOS ปุ่ม push start เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ จอ NAVI 7”
(2) GLS เกียร์อัตโนมัติ 506,000 บาท กุญแจ KOS ปุ่ม push start ล้ออัลลอยด์ 14” ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
(3) GLX เกียร์อัตโนมัติ 460,000 บาท กุญเจรีโมท เครื่องเสียง กระจกมองข้างพับไฟฟ้า ล้อเหล็กพร้อมฝาครอบ 14”
(4) GLX เกียร์ธรรมดา 426,000 บาท กุญเจรีโมท เครื่องเสียง กระจกมองข้างพับไฟฟ้า ล้อเหล็กพร้อมฝาครอบ 14”
(5) GL เกียร์ธรรมดา 380,000 บาท กุญแจธรรมดา ถุงลมนิรภัยเฉพาะด้านคนขับ
มีให้เลือกทั้งหมด 8 สี ได้แก่
• สีเหลือง Lemonade Yellow Metallic
• สีเขียว Pop Green Metallic
• สีฟ้า Cerulean Blue Mica
• สีแดง Red Metallic
• สีบรอนซ์เงิน Cool Silver Metallic
• สีขาวมุก White Pearl
• สีเทาดำ Eisen Gray Mica
• สีดำ Pyreness Black
* ราคาเพิ่ม 5,000 บาทสำหรับสีขาวมุก ไวท์เพิร์ล (White Pearl)
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น