นับเป็นเวลาเกือบ 2 ปีเต็ม ที่ Ford นั้นได้เปิดตัวรถยนต์ B car ของทางค่ายนามว่า Fiesta มันเป็นรถที่ได้สร้างกระแสความฮือฮาได้มากทีเดียวเมื่อตอนเปิดตัว โดยมีขนาดเครื่องยนต์มาไว้ให้เลือกกัน 2 บล๊อก คือ 1.4 และ 1.6 ลิตร แต่มาในปีนี้ เนื่องจากมีมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกให้กับผู้ที่ออกรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.5 ลิตร แต่เนื่องด้วยสเปกของรถในตัวเครื่อง 1.4 นั้น อาจไม่ตอบโจทย์กับหลายๆ คน เพราะอะไรที่เป็นจุดเด่นของเจ้า Fiesta ตอนที่ทำการโฆษณาออก ทาง TVC นั้นขาดหายไป ไม่ว่าจะเป็น Voice control หรือ เกียร์ power shift 6 speed รวมถึงพละกำลังของเครื่องยนต์ที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง รวมถึงอัตราการบริโภคน้ำมันที่ซดมากกว่าเพื่อนๆ B car หลายรุ่น ทำให้รถจากญี่ปุ่น นั้นโกยยอดขายซะเรียบ ทาง Ford จึงนิ่งเฉยไม่ได้ นำเครื่องยนต์ตัวใหม่ขนาด 1.5L มาลงและเปิดตัว Ford Fiesta 1.5L Ti-VCT PowerShift ในช่วง Motor Show 2012 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการออกรถเพื่อเข้านโยบายรถยนต์คันแรก โดยการจัดเอา option ของ 1.6 ยกมาใส่กันแบบเต็มลูกสูบ (เฉพาะในรุ่น Sport) หวังทวงส่วนแบ่งการตลาดรถ B car จากญี่ปุ่นกลับมาสู่ศักดิ์ศรีรถอเมริกัน
รูปโฉมภายนอก มีให้คุณเลือก 2 แบบ คือ sedan 4Dr และ hatchback 5Dr ในตัว 4Dr มาพร้อมกับ สีดำ Black Mica, สีขาว Cool White, สีเงิน Highlight Silver, สีเทา Metropolitan Gray, สีทอง Sparkling Gold, สีน้ำเงินทะล Phantom Blue สำหรับ 5Dr มีสีแดง True Red, สีน้ำเงิน Aurora Blue, สีส้ม Chilli Orange อุปกรณ์ภายนอกที่มี ได้แก่ กระจกมองข้างแบบไฟเลี้ยวในตัว ไฟตัดหมอกหลัง ไฟตัดหมอกหน้าให้เฉพาะรุ่น sport สปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกมีในตัว 5Dr และเป็น sport type ในรุ่น sport กระจังหน้าสปอร์ตพร้อมกรอบโครเมียม, กันชนหลังสปอร์ต มีมาเฉพาะในรุ่น sport ล้อเป็นอัลลอยด์ 15” ในรุ่น trend และ 16” ในรุ่น sport
ภายในห้องโดยสาร ถือว่าการตกแต่งสวยงามเป็นอันดับต้นๆ และวัสดุที่ดูดีสวยงาม ภายในตกแต่งด้วยสีดำทั้งหมด มีไฟส่องเท้าด้านหน้าคนขับและผู้โดยสารในรุ่น sport วัสดุเบาะเป็นผ้าไม่ใช่หนังแบบใน 1.6 แต่เบาะของ Fiesta นี้มีช่องเก็บรองเท้าใต้เบาะให้ด้วย คงถูกใจสาวๆ จุดเด่นของมันก็คือระบบเชื่อมต่อในแบบต่างๆ ได้แก่ Bluetooth, Aux in, USB และ Voice control ซึ่งถือเป็นรายแรกในรถระดับเดียวกัน (มีเฉพาะในรุ่น sport เท่านั้น) พวงมาลัยปรับได้เพียง 2 ทิศทาง ไม่เหมือนในรุ่น 1.6 sport ที่ปรับได้ถึง 4 ทิศทาง พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อม multifunction มีเฉพาะในรุ่น เครื่องเสียงลำโพงมีมาให้ถึง 6 ตัวในรุ่น sport และ 4 ตัวใน trend กระจกมองข้างเป็นแบบพับด้วยไฟฟ้า
เครื่องยนต์เป็นแบบ 4สูบ DOHC 16วาล์ว ความจุ 1199cc ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ Duratec ซึ่งเครื่องยนต์บล๊อกนี้มีจุดเด่นที่ติดอยู่ตรงชื่อรุ่นของมันนั่นคือ Ti-VCT (ระบบวาล์วแปรผันตามองศาแคมชาร์ฟคู่แบบอิสระ) โดยจะปรับเปลี่ยนองศาแคมได้ 45-50องศา ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย ซึ่งต่างจากระบบวาล์วทั่วไปที่ปรับได้แต่ฝั่งไอดี โดยระบบนี้นั้นจะคล้ายๆกับ Dual VVTi ให้กำลัง 109PS@6300rpm และแรงบิด 140Nm@4300rpm รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงสุด คือ E20 ตามแบบฉบับรถสมัยใหม่
ระบบกันสะเทือนและเบรก ระบบกันสะเทือนของ Ford เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่แล้ว ด้านหน้าเป็น McPherson Strut พิมพ์นิยมพบได้ทั่วไป ทั้งในรถใหญ่รถเล็ก ด้านหลังแบบคานแข็งกึ่งอิสระ หรือที่เรียกว่า คานบิด (twist beam) แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือ คานแข็ง (torsion beam) นั่นล่ะ แต่มีความต่างตรงที่จะมีช่องเว้าตรงกลางของคานไว้ กับวัสดุที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ซึ่งเป็นแบบที่ Mazda 2 เรียกเหมือนกันว่า “กึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม” ระบบเบรกแบบหน้าดิสก์เบรกระบายความร้อน ด้านหลังเป็นเพียงแค่ดรัมทั้งหมดทุกรุ่น แม้แต่ในตัว Top อย่าง 1.6 Sport Ultimate ก็ยังเป็นดรัมเช่นกัน ซึ่งน่าผิดหวังเพราะรถจากค่ายญี่ปุ่น 2ยักษ์ใหญ่ นั้นยังเป็นดิสก์เบรก 4ล้อเลย เว้นแต่ Mazda 2 เป็นดรัมเช่นกัน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่รถที่ขึ้นชื่อเรื่องช่วงล่างกลับให้เบรกหลังแบบดรัมมา ขนาดจักรยานบ้านผมยังเป็นดิสก์เบรกทั้งล้อหน้า-หลังเลยด้วยซ้ำ
ระบบส่งกำลัง ระบบส่งกำลังของเจ้า Fiesta นี้นั้นเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ขึ้นชื่อนั่น คือ เกียร์อัตโนมัติแบบ dual dry multiple dics clutch นามว่า PowerShift 6speed ซึ่งมันไม่มีความซับซ้อนมากเท่าเกียร์อัตโนมัติตัวอื่นๆ แถมยังรักษากำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างต่อเนื่องอีก จากการเปลี่ยนเกียร์ที่ทำได้ smooth และรวดเร็วมากขึ้น และข้อดีที่มีอีก คือมันเป็น clutch แบบแห้ง ซึ่งระบบเกียร์อัตโนมัติทั่วไปจะเป็นแบบเปียก ทำให้เจ้าเกียร์ลูกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พวกของเหลว ต่างๆ อย่างน้ำมันเบรก หรือ oil gear ซึ่งดูแลรักษาง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้จ่ายอีกกว่าด้วย และที่สำคัญเกียร์ลูกนี้มีเทคโนโลยี ช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) โดยมันจะช่วยรักษาแรงดันเบรกไว้ราว 3วินาที เพื่อให้มีแรงบิดมากพอที่จะออกตัวได้โดยไม่มีการลื่นไถล ซึ่งหาไม่ได้ในรถระดับเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะมันมีอยู่ในรถ SUV หรูอย่าง BMW หรือ รถอเมริกันที่เพิ่งมาใหม่อย่าง Chevrolet Trailblazer ที่มีนามว่า HDC (Hill Descent Control)
ระบบการควบคุม นั้นเป็นพวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPAS แบบที่ใช้กันทั่วๆไปในรถค่ายอื่น แต่สำหรับ Fiesta มีดีมากกว่านั้น คือ ระบบชดเชยน้ำหนักการดึงพวงมาลัย (Pull Drift Compensation) โดยหลักการทำงานคือจะมีเซนเซอร์ ตรวจจับการดึงของพวงมาลัยไปด้านใดด้านหนึ่ง ซอฟแวร์คำนวณเสร็จจะส่งแรงดึงไปด้านตรงข้าม เพื่อสร้างสมดุลย์ของพวงมาลัย
ระบบความปลอดภัย มีมาให้ทั้งระบบ ABS, EBD ซึ่งถือเป็นแบบมาตรฐานรถทั่วไป รวมถึงระบบช่วยการทรงตัว ESP และโครงสร้างตัวรถที่ทำจาก Ultra High Strength Steel กับ Boron Steel ซึ่งแข็งกว่าเหล็กทั่วไปถึง 4เท่า และมีน้ำหนักเบากว่า 15% และสุดยอดถุงลมนิรภัยที่มีมากถึง 7จุด ในรุ่น 1.6 sport Ultimate มาตรฐานความปลอดภัยที่มีมากขนาดนี้ หาไม่ได้ในรถ B car ระดับเดียวกัน
ทดลองขับ Ford Fiea 5Dr .5L Sport กรุงเทพฯ – สวนผึ้ง
สำหรับการ test drive ครั้งนี้ ขอขอบคุณ Ford Sale & Services ประเทศไทยเป็นอย่างมาก ที่เอื้อเฟื้อรถมาให้ได้ทดสอบขับกันถึง 1วันเต็ม รวมถึงเติมน้ำมันให้เต็มถังโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปเติมเอง รถคันที่ได้มานี้ เป็น Ford Fiesta 5Dr 1.5L Sport ซึ่งเป็นตัว top ของเครื่องยนต์ 1.5L สี Chilli Orange ซึ่งสีส้มตัวนี้มีเฉพาะในรุ่น 5Dr เส้นทางที่ใช้ทดสอบนั้นเริ่มตั้งแต่วิ่งออกจากลานจอดรถอาคาร Lake รัชดา วิ่งออกไปยังถนนพระราม3 ขึ้นทางด่วนไปลงถนนพระราม2 วิ่งออกไปทางสมุทรสงครามและแยกไปทางราชบุรี เข้าสู่อำเภอสวนผึ้งถ่ายรูป และขับกลับกรุงเทพฯ โดยวิ่งผ่านทางนครปฐมเข้าทางเส้นบรมราชนนี และเข้าตัวเมืองจนถึงปั๊มน้ำมันที่เติมคำนวณนั้น คิดเป็นระยะทางทั้งสิ้น 374.4km แต่เนื่องจากไม่ทราบระยะทางที่ทาง Ford Sale & Services ได้เติมน้ำมันออกจากปั๊มและวิ่งกลับมายังลานจอดรถอาคารเลครัชดา นั้นว่าเป็นระยะทางเท่าไร จึงขอ ตีระยะทางที่ 1.5km บวกเพิ่มเข้าไป จะได้เป็น 375.9km เติมน้ำมันไป 25.4L คิดอัตราสิ้นเปลือง = 14.8 km/L โดยที่ในการทดสอบขับครั้งนี้มีเพียงผู้ขับคนเดียว สภาพการจราจรโล่ง มีติดขัดบ้างพอสมควร ช่วงถนนพระราม2 และนครปฐมเข้าบรมราชชนนี ในการขับครั้งนี้ ไม่ได้ขับช้าหรือเน้นประหยัดมากมาย ความเร็วโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 100-130km/h และมีบางช่วงเหยียบไปถึง 150km/h ซึ่งตัวเลขที่ได้มานี้ถือว่าน่าประทับใจพอสมควร ทั้งสภาพการจราจรที่ไม่ได้โล่งตลอดมีติดขัดด้วย และการขับที่มีเหยียบๆ เล่นๆเหยียบๆ กันบ้าง ทำได้เท่านี้ถือว่า ok แล้ว
หลังจากที่ได้เซ็นต์เอกสารรับมอบกุญแจรถเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินไปยังลานจอดต้องมาหารถ ที่ชั้น 8A และเมื่อเจอรถเป้าหมาย ก็กดปุ่มปลดล๊อคที่กุญแจแบบ Flip key กระจกมองข้างพับไฟฟ้าก็กางหูออกอัตโนมัติ โอวเยี่ยมเลย! กระจกมองข้างพับไฟฟ้า ที่ทำงานเหมือนระบบ ETACS ของ Mitsubishi เพิ่มความสะดวกสบายเวลาจอดและป้องกันการโดนชนให้เกิดความเสียหายกับกระจกมองข้างอีกด้วย และระบบไฟเลี้ยว 3ครั้ง เพียงแตะก้านไฟเลี้ยว ไฟเลี้ยวจะติด 3ครั้ง ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้อีกเช่นกัน เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายใน จะเห็นไฟส่องเท้าสีออกส้มๆ ดูเป็น welcome light สวยงามดี เมื่อเข้ามานั่งแล้วก็ทำการปรับเบาะ, ปรับพวงมาลัยรวมถึงกระจกมองข้างกัน ใช้เวลานิดหน่อย เพื่อให้ได้ระยะที่เหมาะสม ทำเอายามนั้นเดินมามองกันเลยทีเดียว (คงนึกว่าเราจะมางัดรถขโมยของเค้ากันละมั้ง) ภายในเป็นโทนสีดำ เบาะเป็นวัสดุผ้า ซึ่งเบาะนั้นมีความกระชับดี ปีกเบาะบานกว้างออกหุ้มไหล่แบบ semi bucket seat ชอบเลยสำหรับผู้ชอบเล่นโค้งมันทำให้ตัวไม่หลุดออกจากเบาะ แต่ดันไม่มีพนักพิงเท้าแขนให้ซะงั้น พวงมาลัย 3ก้านแบบหุ้มหนังพวงนี้ดูดีถึงแม้จะจับไม่กระชับมากนัก ร่วมกับรอยเย็บตะเข็บที่นูนออกมา ทำให้ออกจะรำคาญมือไปหน่อย แต่มันก็มีดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร ตรงมีที่พักอุ้งมือบริเวณ 10:00น. และ 2:00น. ซึ่งให้ความสบายเวลาขับรถทางไกลๆ ได้ ทางด้านซ้ายมี multifunction ปุ่ม voice control นั้นอยู่ที่ก้านไฟเลี้ยวเลยสามารถกดและพูดสั่งงานด้วยเสียงได้ทันที บนเรือนไมล์วัดรอบอยู่ด้านซ้ายมือ, ขวาเป็นวัดความเร็ว และมีเกจ์วัดระดับน้ำมันอยู่ตรงกลาง แต่ที่น่าแปลกคือมันไม่มีวัด heat ของเครื่องยนต์ มาให้เหมือนรถคันอื่นทั่วๆไป กระจกมองข้างเป็นสวิทช์แบบปุ่มวงกลม หมุนเลือกว่าจะปรับข้างซ้ายหรือขวา และปรับตำแหน่งโดยการโยกขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวา ซึ่งดูประหยัดพื้นที่และใช้งานง่าย
วัสดุการตกแต่งภายในรวมถึงคอนโซลนั้น ทำได้ดีดูสวยงามกว่าในรถระดับเดียวกัน เครื่องเสียงนั้นเท่าที่ได้ลองฟังดูจาก CD เพลงที่ได้มีมาให้ฟังดูมีมิติดีทีเดียว คงจะได้มาจากลำโพง 6ตัวที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ตรงคอนโซลหน้ามีปุ่มล๊อคประตูอยู่ซึ่งจะติดกับปุ่มสวิทซ์ไฟฉุกเฉิน และจุดเด่นอีกอย่างตรงคอนโซลหน้าคือ จะพบปุ่มกดเลขโทรศัพท์ ซึ่งสามารถใช้ในการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ผ่านทาง Bluetooth รวมถึงเลือก Track เพลงได้อีกด้วย ด้านเหนือปุ่มทั้งหมดของคอนโซลหน้าคือจอ MID ซึ่งใช้แสดงโหมดเครื่องเสียงรวมถึงข้อมูลสถานะต่างๆ ของตัวรถ ช่องเชื่อมต่อ USB กับช่อง power outlet อยู่ข้างๆ กัน ตรงบริเวณคันเกียร์ลงมา และทางขวามือของช่อง USB จะเป็นช่อง Aux in ถัดลงมานั้น จะเป็นช่องวางแก้วน้ำได้ 2ใบและข้างๆ จะเป็นเบรกมือ ซึ่งตำแหน่งเบรกมือนั้นดูจะชิดแนบกับลำตัวไปหน่อย ทำให้เวลาดึงก้านเบรกมือจะติดกับปีกเบาะ น่าจะสลับตำแหน่งของ ที่วางแก้วกับเบรกมือน่าจะดีกว่า และถัดลงไปอีกเป็นช่องวางของซึ่ง ทางผู้เขียนใช้วางมือถือ smartphone แต่รู้สึกว่าตำแหน่งวางของมันเหลื่อมไกลออกไปทางข้างหลังอีกเช่นกัน ด้านทัศนะวิสัยในการขับขี่นั้น เมื่อปรับเบาะให้ต่ำสุดจะมองด้านหน้าไม่ถนัดเลย จึงต้องปรับเบาะให้มีความเหมาะสม ทัศนะวิสัยด้านหน้านั้นมองชัดเจนดี เนื่องจากเสา A pillar นั้นไม่หนาแต่ว่าจะมีช่องกระจกอยู่ตรงกลางๆ เล็กๆ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมยังทำให้มีพื้นที่บดบังองศาในการเลี้ยวมากขึ้น แต่มุมมองในการกลับรถไม่ถูกบดบังเท่าไรเพราะช่องกระจกเล็กๆในด้านซ้ายนี้นั่นเอง กระจกมองข้างที่เรียวรีสวยรูปทรงใบไม้ ดูจะมองลำบากเอาเหมือนกัน ทั้งขอบด้านบนที่ลาดลงมา และตรงปลายหลังจุดไข่ปลาจะเป็นเลนส์นูนออกมาเพื่อขยายภาพ แต่สำหรับคนที่ไม่ชินมามองกระจกแบบนี้จะรู้สึกว่าลำบากเอาเหมือนกันกะระยะไม่ค่อยจะถูก คงต้องใช้เวลาขับกันไปสักพักกว่าที่จะชินกับมัน เมื่อมองผ่านกระจกมองหลังไปยังกระจกประตูท้ายนั้น จะรู้สึกว่ามุมมองนั้นแคบไปนิด ถ้าเบาะตอนหลังมีการเลื่อนพนักพิงศรีษะขึ้นก็อาจมีการบดบังมุมมองกันเพิ่มอีกนิดหน่อย ในส่วนเสา C เชื่อมมายังตัวโครงรถด้านท้ายนั้น จะมีช่องกระจกเล็กๆ มันดูจะไม่ช่วยอะไรได้เลย ก็ไม่รู้จะมีไว้ทำไมเหมือนกัน มาถึงการนั่งตอนหลังกันบ้าง พื้นที่ leg room นั้นมีเหลือเล็กน้อย พอที่จะให้เปลี่ยนอริยายถ ได้ไม่มากนัก ถ้าคนที่มีส่วนสูงราว 180cm ไปพื้นที่ leg room อาจจะเหลือน้อยมากจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ดีนัก เมื่อเปิดประตูท้ายขึ้นพบพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดพอสมควรแก่การเดินทางเป็นครอบครัวไปเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนได้ เมื่อเปิดพรมด้านใต้ขึ้นพบล้ออะไหล่หุ้มยาง ขนาด 175/65/R14 Continental
ด้านการขับขี่นั้น ต้องขอบอกว่ามันเป็นรถ B car ที่ขับสนุกมากคันหนึ่งเลย ถึงแม้เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงหน้านั้นเป็นเครื่องยนต์ 4สูบ 1.5L Duratec Ti-VCT ซึ่งมีเรี่ยวแรงไม่มาก เพียง 109แรงม้า@ 6300rpm และแรงบิด 140Nm@4300rpm การตอบสนองต่อคันเร่งนั้น ยังให้ความรู้สึกที่ดูจะช้าและแข็งเกินไป ECU ดูไม่ฉลาดเท่าไร คือจังหวะที่เราต้องการจะเร่งแซงนั้นเมื่อทำการกดคันเร่งรอบเครื่องกวาดเสียงเครื่องดัง แต่ความเร็วไม่ค่อยขึ้นตามจนถึงช่วงเกียร์ที่ถูกต้องเหมาะสมจึงเริ่มรู้สึกถึงแรงดึงเล็กน้อยที่เริ่มมีมาแล้ว รวมถึงเมื่อต้องการที่จะเปลี่ยนเกียร์ จังหวะที่เท้าอยู่ที่คันเร่งและถอนคันเร่งออกเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่รถทั่วไปรอบเครื่องจะ drop ลงแสดงถึงการเปลี่ยนเกียร์แล้ว แต่สำหรับเจ้า Fiesta นี้เมื่อถอนคันเร่งเล็กน้อยรอบเครื่องจะยังค้างอยู่ก่อนแล้วค่อย Drop ลงซึ่งก็อาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือจะช่วยให้กรณีที่เราต้องการที่จะใช้รอบเครื่องต่อเพื่อเร่งแซงนั้นก็จะได้ใช้รอบเครื่องได้อย่างต่อเนื่อง แต่ข้อเสียคือเกียร์จะเปลี่ยนขึ้นช้าไปหน่อยคือจะเปลี่ยนเกียร์ที่รอบสูงขึ้นอีกด้วยส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองนั้นสูงขึ้นไปอีก และอีกอย่างที่สัมผัสได้คือในจังหวะออกตัวนั้น มันจะดูอืดๆ ยังไงชอบกล คือรู้สึกว่าแรงบิดมันมาค่อนข้างช้าต้องรอบราวๆ 2500+ ซึ่งถ้าขับในเมือง ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้รอบสูงมากนัก แรงบิดควรที่จะมาเร็วกว่านี้ จะช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ลง เนื่องจากไม่ต้องกินกำลังเครื่องสูงมากนัก เมื่อทำการทดสอบอัตราเร่งช่วง 80-120km/h แบบกระแทกคันเร่งจนมิดนั้นจังหวะ Shift up เกียร์อยู่ที่ประมาณ 6200rpm ซึ่งเป็นช่วงที่ range ที่ให้แรงม้าสูงที่สุด จับเวลาได้ที่ 8.97วินาที โดยความคิดเห็นส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าตัว ECU นั้นฉลาดกว่านี้อีกหน่อยในจังหวะ kick down ลงในจังหวะแรกที่เริ่มจับเวลา เกียร์นั้นควรจะ shift down ลงอีก เพราะในตอนแรกนั้นรอบเครื่องกวาดขึ้นเรื่อยๆ แต่ความเร็วไม่ค่อยไหลเลย จนถึงรอบเครื่องที่ถูกต้องเหมาะสมความเร็วถึงเริ่มไหลขึ้นอย่างต่อเนื่องดี ซึ่งคิดว่าน่าจะทำเวลาได้ดีกว่านี้อีก เรื่องเสียงภายในห้องโดยสารนั้นเจ้า Fiesta มันถือว่าเงียบมาก ทำได้ดีมาก ในช่วงความเร็ว 120km/h มันยังคงเงียบอยู่ผู้โดยสารนั้นสามารถนอนหลับได้อย่างสบาย เมื่อขับถึงความเร็ว 140-150km/h อาจเริ่มมีเสียงลมบ้างแต่ก็ยังถือว่าไม่มากนัก
ด้านความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ที่ได้ 3 ค่า ได้ดังนี้ 80km/hr=2000rpm 100km/hr=2500rpm 120km/hr=3000rpm ถือว่ามีอัตราทดเกียร์ที่สูงทีเดียว ระบบเกียร์ PowerShift 6speed ซึ่งเป็น เทคโนโลยี dual cluth ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วดี เมื่อดูเข็มไมล์วัดรอบเครื่อง จะเห็นได้ว่าจังหวะเปลี่ยนเกียร์นั้น เข็มดีดกลับลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับรถเกียร์อัตโนมัติ ตัวอื่นๆ ทำให้แรงบิดนั้นยังคงมาได้อย่างสม่ำเสมอไม่ขาดหายนัก แถมข้อดีอีกอย่างของเกียร์ลูกนี้คือ ระบบ Hill Launch Assist มันทำหน้าที่ได้ดีในจังหวะที่เราจะออกตัวจากตีนสะพาน รู้สึกไม่ต้องมาเกร็ง กลัวว่าจังหวะออกตัวรถจะไหล จากที่แต่ก่อนขับรถคันอื่นต้องระวังว่าจะไหลเวลาจอดคาตีนสะพาน บางทีถึงขนาดเอาเท้าซ้ายเหยียบเบรกไว้เลย ปล่อยซ้ายปุปขวากระแทกคันเร่งทันที ยิ่งถ้าเกียร์ M/T ด้วยแล้ว ถ้าเลี้ยงคลัชไม่ดียิ่งเสียวเข้าไปใหญ่ การที่มี Hill Launch Assist ถือว่าช่วยเพิ่มความสบายไปได้มาก แต่จังหวะเปลี่ยนเกียร์ของ PowerShift นี้นั้น มันไม่ได้ให้ความนุ่มนวลมากนัก ยังรู้สึกว่าความนุ่มนวลจะยังสู้พวก CVT ไม่ได้อยู่ดี และเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มี ระบบเปลี่ยนเกียร์ + - มาให้ลองโยกกันเล่น คงจะขับกันสนุกน่าดู
ระบบเบรกเป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ของเจ้า Fiesta คันนี้ ให้ feeling ในการเบรกที่ลึกเกินไป คือ แป้นเบรกต้องลงน้ำหนักในการเบรกที่ค่อนข้างมากทีเดียว คือเบรกสไตล์นี้ แต่ละคนอาจมีความชอบแตกต่างกัน แต่สำหรับผมจะชอบขับแบบเลียเบรก ขับดูด ปล่อยไหล คนขับสไตล์นี้คงจะไม่ชอบเบรกที่เซตมาลึกขนาดนี้ เพราะจะเอารถไม่อยู่ และให้ความรู้สึกว่าเบรกได้ไม่นุ่มนวลอีกด้วย แต่ระยะในการเบรกนั้น ถ้าลงน้ำหนักที่เหมาะสม มันก็ถือว่าเป็นรถที่มีเบรกแบบหลังดรัมที่ทำได้ดีคันหนึ่ง แต่น่าเสียดายสำหรับผมที่คาดหวังว่าน่าจะพบความนุ่มนวลในเบรกจาก Ford ได้ดีกว่านี้
พวงมาลัยพาวเวอร์แบบผ่อนแรงไฟฟ้า EPAS with Pull Drift Compensation Technology (ระบบช่วยชดเชยน้ำหนักการดึงพวงมาลัย) handling พวงนี้ให้น้ำหนักที่เบาดีแต่ไม่ถึงกับหวิว ในจังหวะสาววงเลี้ยวก่อนจะเคลื่อนตัว แต่เมื่อล้อมีการเคลื่อนออกตัวไปแล้วจะสัมผัสได้ถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่มีแรงตึงหนักขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อขับที่มีความเร็วสูงขึ้นน้ำหนักของพวงมาลัยนั้นมันให้น้ำหนักที่พอมือดีเลย มีระยะฟรีที่ต่ำ และเมื่อลองขับปล่อยมือที่ความเร็วราวๆ 140-150km/h มันยังนิ่งดีแต่ไม่รู้สึกว่าระบบ Pull Drift Compensation นั้นทำงานอยู่ มันแทบจะไม่ช่วยอะไรเอาเสียเลย เพราะต้องคอยประคองพวงมาลัยให้กลับมาตอนที่พวงมาลัยนั้นเริ่มที่จะกินไปทางขวา แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วมันก็ถือว่าเป็นพวงมาลัยที่ทำได้ดีเยี่ยม ต้นๆ ของ B car อยู่ดี
ช่วงล่างของเจ้า Fiesta นี้มันเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดของ B car แล้ว มันทำหน้าที่ได้ดีมากๆ ไม่ผิดหวังจริงๆ ความหนึบแน่นเหมือนตุ๊กแกของมัน ตอนเทโค้งซ้ายที่สะพานวนเปลี่ยนเส้นทาง ณ ความเร็วสูง ราวๆ 100km/h+ จนเสียงยางดังเอี๊ยด การทำงานของระบบ ESP เข้ามามีส่วนช่วย ในการเบรกล้อที่ข้างหลังซ้าย รวมถึงล้อหน้าทั้ง 2ข้าง ไม่ทำให้รถนั้นแถออกไปกินเลนข้างๆ และเมื่อลองหักเปลี่ยนเลนแบบหักไปและหักกลับทันทีที่ความเร็ว 110km/h นั้น ทำได้น่าประทับใจยิ่งตัวถังรถไม่มีการโคลงเคลงยวบลงให้เห็น มันทำให้ทุกครั้งที่ขับเจ้า Fiesta แล้วเจอโค้งนั้น อยากจะกดคันเร่งเข้าใส่ไปสาดโค้งมันแทบทุกครั้งไป ถึงแม้ช่วงล่างนี้มันจะหนักแน่นแต่มันก็ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวลในแบบที่คนไทยเราชอบไม่ได้กระด้างจนเกินไปนัก กับล้อขอบ 16” แก้มยางเตี้ยเพียง 50 ยังทำได้นุ่มนวลกว่าเพื่อนๆ อีกหลายค่ายเสียด้วย
สรุป Ford Fiesta 1.5L Ti-VCT PowerShift ถือเป็นรถ B car ที่มีความน่าสนใจมากคันหนึ่ง ในด้านสมรรถนะ มันเป็นรถที่ขับสนุกเป็นอันดับต้นๆในรถพิกัดเดียวกัน ทั้ง handling ที่ทำได้ดี, ช่วงล่างที่เป็นที่หนึ่ง, เกียร์ PowerShift ที่เปลี่ยนเกียร์รวดเร็ว แต่ก็น่าผิดหวังในเรื่องการตอบสนองของคันเร่งกับเบรกที่ลึกและไม่นุ่มนวล ในด้านระบบช่วยในการขับขี่ที่หาไม่ได้ในรถระดับเดียวกัน อย่าง ESP, Hill Launch Assist, Pull Drift Compensation และ Voice control สำหรับข้อด้อยของมันนั้น คือ เรื่องของ option ภายในที่ดูออกจะน้อยไปสักหน่อย เช่น พนักพิงวางแขน, เบาะหนัง, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, cruise control สิ่งเหล่านี้ที่ไม่มาให้ รวมถึงมาตรวัด heat เครื่องยนต์ก็ไม่มีและเบรกหลังแบบดรัม ที่ยังต้องอายพวกจักรยานเสือภูเขาที่เป็นดิสก์หน้า-หลัง แต่ก็ยังถือว่า ok สมกับคำพูด Ford ที่ว่า “รถระดับโลกโดยคนไทย” ซึ่งผู้ที่กำลังมองหารถยนต์คันแรกนั้น ยังพอมีเวลาที่จะเลือกดูพิจารณาเจ้า Fiesta 1.5 นี้กันต่อไป เพราะว่าทางภาครัฐ นั้นได้ยืดขยายเวลาการรับมอบรถยนต์คันแรกกันออกไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ให้เสร็จสิ้นภายในวันสุดท้ายของปีนี้
สำหรับราคาจำหน่าย Ford Fiesta 1.5L มีดังนี้
รุ่น Sedan 4 ประตู
1.5L Trend 6-Speed PowerShift AT ราคา 644,000 บาท
1.5L Sport 6-Speed PowerShift AT ราคา 689,000 บาท
รุ่น Hatchback 5 ประตู
1.5L Trend 6-Speed PowerShift AT ราคา 654,000 บาท
1.5L Sport 6-Speed PowerShift AT ราคา 699,000 บาท
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น