ในช่วงที่น้ำมันมีราคาแพงเช่นนี้ (ที่จริงมันก็แพงมานานแล้ว ) ทำให้รถยนต์ Eco Car ในบ้านเรานั้น ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และ ไม่นานมานี้ทางค่าย Honda ก็ได้เริ่มเปิดตัว Honda Jazz Hybrid ไปเมื่อราว 2 เดือนก่อน ซึ่งถือเป็นการต่ออายุให้แก่ Jazz โฉมปัจจุบัน ที่ถือเป็นรถยอดนิยม ซึ่งมียอดขายท่วมท้น ในกลุ่มรถ Sub-Compact โฉม Hatchback ก่อนที่จะเผยโฉม All-New Jazz กันใหม่ ในปีหน้า 2013 สำหรับ Jazz Hybrid นั้นใช้เทคโนโลยีไฮบริด ระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า IMA ที่เป็นแบบเดียวกับ Honda Insight และ Honda CR-Z สปอร์ตคูเป้ระบบไฮบริดนี่เอง ต้องขออภัยที่เกริ่นนอกเรื่องกันไปเยอะ เพียงแต่ต้องการจะสรุปให้ฟังว่า Honda CR-Z ถือเป็นรถยนต์สปอร์ตไฮบริดรุ่นแรกของทางค่าย Honda รวมถึงเป็นคันแรกของประเทศไทยอีกด้วย เมื่อราว 2 ปีก่อน โดนนำเข้ามาโดยบริษัทรถยนต์นำเข้า ด้วยความที่เป็นรถยนต์นำเข้านั่นเอง จึงทำให้มีราคาสูง และพบได้แบบนานทีปีหน ราวกับคุณจะได้เห็น Supercar บนท้องถนนอย่างนั้น และ สำหรับหลายๆ คนที่คิดว่าความแรง กับความประหยัดน้ำมันนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ความคิดนั้นถือว่าถูกต้อง เพราะยิ่งแรงยิ่งซด มันเป็นปกติที่ใครๆก็รู้กันอยู่ แต่ถ้าพวกเขายังมีความคิดว่า ความสปอร์ตกับความประหยัดนั้นมาด้วยกันไม่ได้ และไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในรถคันเดียวกัน เจ้า CR-Z นี้ จะเป็นรถคันที่พิสูจน์โจทย์นั้นให้เอง ว่าทั้งความสปอร์ตขับสนุก และ ประหยัดน้ำมัน สามารถทำได้ในรถคันเดียว จริงหรือ? คงต้องตามไปพบคำตอบนี้กันล่ะ
รูปโฉมกายภายนอก CR-Z ถือเป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู ที่มีดีไซน์สวยงามโฉบเฉี่ยวลงตัวมากคันหนึ่ง ทั้งเส้นสายตั้งแต่กระจังหน้าผ่านไปยังฝากระโปรงหน้า จนถึงประตูด้านข้างไปจบที่โป่งหลัง โดยเฉพาะโป่งหลังนี้ ทำให้รถดูมีมิติสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่อาจจะดูไม่บาลานซ์นักเมื่อเทียบกับแก้มหน้า เพราะอาจทำให้ดูหน้าลีบไปหน่อย และ โป่งหลังไซส์ขนาดนี้เมื่อเทียบกับล้อขอบ 16” แล้วดูเล็กไปเลย ที่จริงแล้วในส่วนของตัวถัง Chasis นั้นอิงโครงสร้างมาจากตัว Insight แต่มีการดีไซน์แตกต่างออกไปให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ระยะล้อกว้างขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ทรงตัว ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ หลอด HID ที่มีทั้งดีไซน์สวยงามมีไฟ LED เรียงด้านล่างโคมหน้า และ เบ้าโปรเจคเตอร์สีฟ้าที่บ่งบอกแสดงความเป็นไฮบริด ไฟท้ายทรงสามเหลี่ยม LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ภายใน ไฟตัดหมอกคู่หน้า สำหรับด้านบนของรถนั้น มีเสาอากาศหลังแบบครีบเหมือนที่พบในรถยุโรป ใบปัดน้ำฝนหลังที่กระจกบานหลังทำให้รถดูเท่ขึ้นมาก และ สปอยเลอร์หลังที่ติดอยู่กับประตูท้ายช่วยในการไล่เลียงอากาศพลศาสตร์ อีกทั้งรับกับส่วนท้ายรถที่ลาดลง จึงทำให้ด้านท้ายดูสวยงามมาก ที่ชายกันชนด้านล่างมีการดีไซน์ที่สวยงาม และยังช่วยในด้านการจัดเรียงอากาศอีกด้วย ล้ออัลลอย 5ก้านคู่ ขอบ 16” พร้อมยาง Run Flat สมรรถนะสูงของ Bridgestone Potenza ทำให้คุณวิ่งได้อย่างมั่นใจ สำหรับออปชั่นบางอย่างในบ้านเราอาจเปลี่ยนไปจากตัวนอก เช่น ไม่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ หลังคาไม่ใช่กระจก กุญแจเป็นแบบบิดสตาร์ท ไม่ใช่แบบ Push Start ถ้าหากเดิมๆ นั้นยังไม่สวยดุพอ ทาง Honda ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งเสริมหล่อจากทาง Modulo ให้คุณได้เพิ่มเติมความหล่อขึ้นไปได้อีกขั้น
รูปโฉมภายใน ห้องโดยสารภายในสไตล์สปอร์ตโทนสีดำดูสวยงาม รวมถึง Cockpit ที่ดีไซน์ล้ำอนาคต มากับเครื่องเสียงแบบหน้าจอ พร้อมระบบนำทางเนวิเกเตอร์ และเครื่องเล่นดีวีดี รวมถึงมี USB Port ไว้เชื่อมต่อรองรับ Iphone ได้อีกด้วย เบาะนั่งด้านหลังพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ ซึ่งกว้างพอที่จะวางถุงกอล์ฟลงไปได้ เบาะคู่หน้าเป็นทรง Semi Bucket Seat วัสดุผ้า ให้ความกระชับในการขับขี่ และเข้ากับภายในสไตล์สปอร์ต พวงมาลัย 3ก้าน ที่มีระบบควบคุมเครื่องเสียง (Multifunction) อยู่ทางด้านซ้าย และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ทางด้านขวา รวมถึงด้านล่างขวายังมีปุ่มสำหรับควบคุมหน้าจอ MID อีกด้วย ทางด้านขวามือมีปุ่มปรับโหมดการขับขี่ที่ให้คุณเลือกได้ 3 โหมด Sport/Normal/ECON รวมถึงปุ่มปิดระบบ VSA อยู่ด้วย ระบบปรับเป็นอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบไล่ฝ้ากระจกหน้า และหลัง มาตรวัดเรืองแสงสีฟ้าสวยงามดูสบายตา มาพร้อมกับจอแสดงข้อมูล MID ที่บอกรายละเอียดต่างๆ ของรถรวมถึง การทำงานของระบบไฮบริด
เทคโนโลยีการทำงานของเครื่องยนต์แบบใหม่ IMA (Integrated Motor Assist) สำหรับในส่วนของระบบเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบไฮบริด นั้นเป็นเฉกเช่นเดียวกับที่นำมาใส่ใน Honda Jazz Hybrid ต่างกันเล็กน้อยในส่วนของสเป็ก และตัวเลข เครื่องยนต์เป็นรหัสเดียวกับ Jazz, City และ Freed ขนาดความจุ 1497cc SOCH 4สูบ 16วาล์ว i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 111PS@6000rpm กับแรงบิดสูงสุดที่ 144Nm@4800rpm + มอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีระบบควบคุมการเปิด-ปิด ของลิ้นปีกผีเสื้อแบบไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 13PS@1500rpm แรงบิดสูงสุดที่ 92Nm@500rpm ซึ่งเครื่องยนต์รองรับน้ำมันได้เพียง E10 เช่นเดียวกับไฮบริดต่างค่ายอย่าง Toyota Prius
ในส่วนการทำงานของระบบไฮบริดนั้น ถือเป็นระบบคู่ขนาน (Parallel Hybrid) คือ เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักและให้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวเสริมเอา เหมือนดั่งชื่อ IMA (Integrated Motor Assist) นั่นเอง โดยจะแบ่งช่วงการทำงานออกเป็นดังนี้
• ช่วงออกตัว จะใช้เครื่องยนต์ทำงานเป็นหลัก และให้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริม
• ช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำคงที่ จะเข้าสู่ EV Mode ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอย่างเดียว
• ช่วงเร่งแซง มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานผสานกับเครื่องยนต์ ช่วงเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งแซง
• ช่วงเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงานและดึงพลังงานที่สูญเสียไปมาเก็บเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ไฮบริด
• ช่วงรถจอดหยุดนิ่ง เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงาน เข้าสู่ Idling Stop ทำให้ประหยัดน้ำมันและลดมลพิษอีกด้วย
และสำหรับระบบ Idling Stop นี้ได้เคยพูดกันไปแล้วใน Honda Jazz Hybrid ซึ่งต้องขอพูดอีกครั้ง เผื่อใครที่ยังไม่ได้อ่าน ระบบการทำงานของ Idling Stop จะทำงานเมื่อเหยียบเบรกจนรถหยุดนิ่ง และเท้าต้องเหยียบเบรกอยู่ตลอด ไฟ Auto Stop ตรงหน้าปัดเรือนไมล์จะติดขึ้น ระบบจะตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ และเครื่องยนต์ โดยที่ระบบนี้จะตัดการทำงานได้ถึง 90 วินาที แต่ส่วนใหญ่ไม่ถึง เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิภายในรถเปลี่ยนไป ระบบคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ จึงต้องติดขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิไว้
ระบบกันสะเทือนและระบบเบรก ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชั่นบีม H shape ดูๆแล้วสเป็กของช่วงล่างนั้น ยังคงดูด้อยกว่ารถในกลุ่มยุโรปแบบชัดเจน เพราะรถยุโรปส่วนใหญ่เป็นแบบ Multi-Link ไปเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Volkswagen Scirocco หรือ Mini Cooper ก็ตาม แต่สำหรับ เจ้า CR-Z นี้ ปีกนกด้านล่าง เป็น Forged Aluminum ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงไปได้มาก และให้ความแข็งแกร่ง และยืดหยุ่นได้ค่อนข้างดี ในส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม ก็จริง แต่ได้พัฒนาปรับปรุงแขน ให้แข็งแกร่งขึ้น แถมยังเพิ่มความกว้างของล้อมากขึ้น ซึ่งช่วยในการยึดเกาะ และยังเพิ่มพื้นที่ด้านบนเพื่อที่จะบรรทุกเจ้าแบตเตอรี่ไฟฟ้าอีกด้วย ส่วนระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบช่องระบายความร้อน
ระบบส่งกำลังและการควบคุม เกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันต่อเนื่อง CVT มัลติเมติก 7 Speed มาพร้อมกับก้าน Paddle Shift ที่พวงมาลัยให้คุณได้กดสั่งงานได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง S เพราะมันไม่มีมาให้ มีเพียง D เท่านั้น ด้านการควบคุมพวงมาลัยเป็นแบบ แร็ค แอนด์ พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) ซึ่งมีรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5 เมตร เท่ากับ Honda City แต่กว้างกว่า Honda Jazz ซึ่งมีรัศมีวงเลี้ยวน้อยกว่าเล็กน้อย ที่ 4.9 เมตร
ระบบความปลอดภัย ครบครันด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON (G-force Control) ที่มาพร้อมกับถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า Dual SRS, ถุงลมด้านข้างอัจฉริยะ i-Side Airbags, ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) ระบบเบรก ABS และ EBD, กล้องส่องภาพด้านหลัง, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA, เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง, เข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง, กุญแจ Immobilizer, ระบบสัญญาณกันขโมย, กระจกพับไฟฟ้านิรภัยด้านคนขับ
Honda CR-Z Sport Hybrid ตัวจริง ขับสนุกก็มันส์ ขับประหยัดก็ทำได้
สำหรับการขับทดสอบในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Honda Automobile ประเทศไทย สำนักงานใหญ่ ที่เอื้อเฟื้อรถมาให้ทดสอบ คันที่ได้มานี้ คือ Honda CR-Z สีขาวมุก สำหรับเส้นทางในการวิ่งทั้งสิ้น เป็นระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร โดยนับตั้งแต่รับรถออกจาก Honda สำนักงานใหญ่ อุดมสุข และมีการวิ่งในตัวเมืองกรุงเทพฯ และนครปฐม ก่อนที่จะวิ่งออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปทางสายตะวันออก สู่จังหวัดระยอง โดยวิ่งบนทางด่วนบูรพาวิถี ไปลงยังชลบุรี แล้ววิ่งเส้นเลี่ยงเมืองไปยังจังหวัดระยอง สู่หาดแม่รำพึง ซึ่งการจราจรส่วนใหญ่คล่องตัว มีติดในตัวเมืองกรุงเทพฯเล็กน้อย ระยะทางที่วิ่งในตัวเมืองกรุงเทพฯ ช่วงแรกนั้นราว 100กม. นอกนั้นในช่วงที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดระยองวิ่ง เปิด Cruise Control ที่ความเร็ว 100กม./ชม. เป็นส่วนใหญ่ และเมื่อเข้าสู่ตัวเมืองชลบุรี และตัวเมืองระยอง ส่วนใหญ่ใช้ความเร็วคงที่ 60กม./ชม. โดยใช้โหมด ECON สลับกับ Normal ระยะทางที่ใช้ในการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองทั้งหมด คือ 404.4กม. ใช้น้ำมันไป 19.98 ลิตร คิดอัตราสิ้นเปลืองได้ 20.24กม./ลิตร
หมายเหตุ ในการวิ่งทดสอบครั้งนี้ มีผู้ขับน้ำหนัก 58กก. และผู้โดยสารอีกคนน้ำหนัก 62กก. พร้อมกระเป๋าสัมภาระอีกราว 7กก.
สำหรับตัวเลขที่ได้นี้ถือว่าทำได้ดีในระดับรถยนต์ Eco car และทำได้ใกล้เคียงกับ Jazz Hybrid เลย ถือว่าค่อนข้างตรงกับที่คาดคะเนไว้ในใจ ซึ่งสำหรับอัตราสิ้นเปลืองนี้ยังเป็นรอง Toyota Prius อยู่เล็กน้อย
เมื่อได้รับกุญแจมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กุญแจนั้นเป็นแบบ Flip Key ก็ได้เดินมาที่รถ ตัวรถจริงนั้น มันช่างดูสวยงามยิ่งกว่าในโบรชัวร์มาก (หรืออาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้เห็นตัวจริงมันบนถนนด้วย ก็เป็นได้) เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยสาร พบว่าภายในนั้นนอกจากจะดูสปอร์ตแล้ว ยังออกแบบให้ดูล้ำสมัยอีกด้วย ตรงบริเวณ Cockpit เบาะนั่งเป็นแบบ Semi Bucket Seat วัสดุผ้า ให้การโอบกระชับไหล่ เมื่อยามเทโค้ง แต่นั่งแล้วไม่ถึงกับอึดอัด เพราะยังมีพื้นที่ให้ขยับลำตัวได้อยู่บ้าง เสียดายที่ด้านข้างลำตัวนั้นไม่มีที่สำหรับเท้าแขนมาให้ หลังจากเข้ามาในรถแล้วก็ทำการเปิดเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ซึ่งมีไฟสีฟ้าสวยงามดูสบายตาเช่นเดียวกับหน้าปัด แล้วจึงปรับกระจกมองข้าง, ปรับพวงมาลัย รวมถึงปรับเบาะ ซึ่งน่าเสียดายอีกที่เป็นปรับแบบมือ ไม่ใช่ไฟฟ้า ในส่วนของเครื่องเสียงพร้อมระบบนำทาง และเครื่องเล่นดีวีดี จอ Touch Screen ขนาด 7” เครื่องนี้ มาพร้อมกับลำโพง 6 ตัว ซึ่งให้คุณภาพของเสียงระดับปานกลาง ไม่ได้ดูใสไพเราะนัก และในส่วนของระบบนำทางนั้น เสียงนำทางของตัวเนวิเกเตอร์เป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งการใช้งานระบบนำทางนั้น ค่อนข้างจะดูลำบากสักหน่อย ไม่ค่อยมีความละเอียด ไม่มีภาพแสดงการบอกแยก หรือเส้นทางเลี้ยว จะแสดงเพียงเส้นนำทางสีชมพูเท่านั้น หากไม่ได้เซ็ตที่หมายเอาไว้ จะดูเส้นทางที่ขับขี่ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ด้ามคันเกียร์ที่ดูสวยงามนี้ แต่จับแล้วกลับไม่กระชับถนัดมือนัก ช่องวางแก้วมีให้มากถึง 3 ตำแหน่ง ด้านหลังแขน 1 ตำแหน่ง และ ด้านหน้าคันเกียร์อีก 2 ตำแหน่ง สำหรับในเบาะตอนหลังนั้นอยากจะบอกว่า “ถ้ามันแคบซะขนาดนี้ อย่ามีเลยเสียดีกว่า” เพราะมันทำไว้ให้เด็กอนุบาลนั่งได้เท่านั้น ถ้าเป็นเด็กประถมโตขึ้นหน่อย ก็อึดอัดกันแล้ว ขณะที่ผมลองไปนั่งดูพบว่าไม่สามารถนั่งแบบปกติได้ ต้องตะแคงตัวและก้มหัวลง เนื่องจากหลังคานั้นลาดลง ถ้าต้องนั่งในขณะที่มีการขับขี่จริง คงได้อ้วกแตกเวียนศรีษะเป็นแน่ ในส่วนของเบาะหน้านั้นก็นั่งได้ไม่ลำบากนัก ยังพอมีพื้นที่ Leg Room อยู่ และ Head Room ยังพอเหลือให้บ้างไม่มากนัก
ด้านมุมมองทัศนวิสัย มุมมองในด้านหน้ารถค่อนข้างโปร่ง มองเห็นได้ชัด ในส่วนกระจกมองข้างนั้น เป็นทรงสี่เหลี่ยม ไม่ได้โค้งมน จึงมีมุมอับค่อนข้างน้อย มองได้ง่ายกว่าพวกกระจกทรงเรียวๆ แหลมๆ ทางด้านกระจกมองหลัง ในส่วนนี้จะมองค่อนข้างยาก เพราะประตูบานหลังเป็นกระจกซึ่งโดนแยกเป็นสองชั้น โดยมีเส้นของโครงประตูตัดพาดผ่าน ทำให้มองได้ค่อนข้างลำบาก และจุดบอดสำคัญเลย คือ มุมเสาด้านข้างของตัวรถ ที่บดบังตั้งแต่เบาะผู้โดยสารไปจนถึงประตูท้ายรถ ซึ่งรูหน้าต่างเล็กๆ ตรงเบาะด้านท้ายนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์เลยก็ว่าได้ เวลาจะกลับรถ หรือเลี้ยวรถออกจากซอย ต้องระวังให้มากๆ เพราะเมื่อรวมกับเบาะนั่งด้านคนขับตรงพนักศรีษะแล้วนั้น จุดนี้ถือเป็นจุดอับที่อันตรายมากๆ ทีเดียว ต้องระวังให้ดี
ในด้านการขับขี่สมรรถนะของเครื่องยนต์ผสานเทคโนโลยีไฮบริด แบบ Parallel ขนาดเครื่องยนต์ความจุ 1.5 ลิตร SOHC เป็นเครื่องยนต์รหัสเดียวกับที่ประจำการอยู่ภายใต้กระโปรงของ Jazz, City และ Freed ร่วมกับการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า IMA ทำให้พละกำลังที่ได้ออกมานั้น ไม่ได้ดูขี้เหล่อย่างที่คิด ทำได้ดีเกินคาด เพียงพอต่อการขับขี่ใช้งานทั่วๆไป การตอบสนองต่อคันเร่งในโหมด Normal ทำได้ดี กดคันเร่งไม่ต้องแรงก็พุ่งแล้ว การตอบสนองต่อคันเร่งในช่วงออกตัวถือว่าทำได้น่าประทับใจ เหมาะกับการขับขี่ในตัวเมืองทั่วๆไป มันไม่ได้ดูออกตัวอืดให้น่ารำคาญใจ เหมือนรถบ้านหลายๆ คัน เมื่อลองกดปุ่ม ECON ดูบ้าง บนมาตรวัด จะมีโลโก้ใบไม้โชว์ขึ้นมา การตอบสนองต่อคันเร่งช้าลง คันเร่งรู้สึกแข็งขึ้น เนื่องจากโหมดนี้จะไปลดการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อลง รวมทั้งลดการทำงานของแอร์คอมเพรสเซอร์ ซึ่งถ้าต้องการขับแบบชิลๆ เรื่อยๆ ไม่รีบ โหมดนี้คงเหมาะที่สุดสำหรับคุณ และช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิงที่สุดด้วย แต่พละกำลังของเครื่องยนต์ก็จะลดลงเพราะถูกดึงมาใช้เพียงนิดเดียวเท่านั้น และสุดท้ายเมื่อลองกดปุ่ม Sport ดู จะพบว่ามันทำงานตรงกันข้ามกับ ECON เลย น้ำหนักคันเร่งเบากว่า ทั้ง 2 โหมด การตอบสนองของคันเร่งไวดีมาก กดนิดเดียวก็พุ่ง โดยที่ไม่ต้องลงน้ำหนักมาก โหมดนี้ ลิ้นปีกผีเสื้อจะเปิดรับอากาศมากขึ้นกว่า โหมดอื่น ทำให้ได้รับการขับขี่ที่เร้าใจเมื่อต้องการเร่งแซง หรือสมรรถนะของเครื่องยนต์แบบเต็มกำลัง
ได้เวลาทดสอบในส่วนของสมรรถนะกำลังเครื่องยนต์ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า IMA นี้ดูบ้าง เริ่มจากการทดสอบอัตราเร่งกันกับเจ้า Sport Hybrid คันนี้ว่าจะทำตัวเลขอัตราเร่ง 80-120กม./ชม. ได้ดีแค่ไหน โดยได้ทำการทดสอบ 2 โหมด คือ Normal และ Sport โดยในโหมด Normal ทำได้ 8.00 วินาที และเมื่อกดปุ่ม Sport ทำได้เร็วขึ้นอีก เกือบวินาที ได้ตัวเลข 7.10 วินาที สำหรับเจ้า CR-Z นี้ ถือเป็นรถที่ทำอัตราเร่งได้ดีที่สุดตั้งแต่ที่ได้ทำการทดสอบมาเลย และต่อมาสำหรับการทดสอบในส่วนของ Top Speed ในขณะที่ถนนโล่ง สามารถทำได้ที่ 183กม./ชม. ตามตัวเลขบนหน้าปัด โหมด Normal ก่อนที่ถนนจะหมดทางให้วิ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วคาดว่าน่าจะไปต่อได้อีก ราว 190+ นิดๆ แต่ไม่น่าถึง 200กม./ชม. เพราะดูจากกำลังเครื่องแล้ว ในช่วง 170+ ขึ้นไปตัวเลขไต่ขึ้นช้ามาก น่าจะใกล้หมดแรงเต็มทน แถมท้ายด้วยการที่ได้ขับเจ้า CR-Z คันนี้ พบว่ามีคนมาเล่นด้วยเยอะจริงๆ
สำหรับด้านความสัมพันธ์รอบเครื่องที่ได้นั้น ได้ทดลองความเร็วที่ 3 ค่า ได้ดังนี้ 80กม./ชม.=1500rpm 100กม./ชม.=1900rpm 120กม./ชม.=2300rpm รอบที่ได้นั้นถือว่าค่อนข้างต่ำกว่ารถรุ่นอื่นอยู่เล็กน้อย แม้กระทั่ง Jazz Hybrid ก็ยังสูงกว่านี้ ซึ่งอาจเป็นผลจากการซอยเกียร์เพิ่มเป็น 7 Speed ในส่วนระบบส่งกำลังที่ใช้เป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 Speed แปรผันต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่าง Smooth ต่อเนื่อง ขับขี่แบบใช้งานปกติทั้งในโหมด Normal และ ECON ก็ทำได้ดีในรูปแบบเกียร์ CVT ที่ให้ความนุ่มนวล แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นโหมด Sport ไฟที่หน้าปัดเปลี่ยนเป็นสีแดง ทำให้สามารถลากรอบเกียร์ CVT ได้มากยิ่งขึ้น รอบจัดขึ้น จึงขับขี่ได้อย่างสนุกเร้าใจกว่าเดิม นอกจากนั้นยังมีก้านเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย ให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้ตามที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในโหมดใด เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วกดลงไปที่แป้น + 2วินาที เพื่อเปิดโหมดการใช้งานแบบ Manual บริเวณมาตรวัดจะมีไฟบอกตำแหน่งเกียร์ขึ้น หลังจากนั้นคุณก็สามารถที่จะกด Shift +- ได้ตามใจสั่งทันที ยิ่งถ้านำไปเล่นตอนทางโค้งที่คดเคี้ยว หรือ การขับขี่แบบมุดในสภาพการจราจรปานกลางแล้ว ร่วมกับการใช้งานในโหมด Sport นี้คุณจะได้สัมผัสถึงอรรถรส ในการขับขี่ที่แสนจะสนุกของรถคันนี้อย่างแท้จริง แต่สำหรับรถคันนี้ในจังหวะที่ขับขี่แบบเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป ในจังหวะที่เราต้องการจะขึ้นเกียร์แล้ว เมื่อทำการถอนคันเร่ง โดยปกติรถคันอื่น ทั่วๆ ไปมักจะขึ้นเกียร์ให้ แต่กับเจ้า CR-Z นั้นไม่เป็นเช่นนนั้นถ้าไม่ถึงรอบที่เหมาะสมของมัน ถอนคันเร่งไปก็ยังไม่ขึ้นเกียร์ให้ สร้างความรำคาญให้พอสมควรจนบางทีต้องมา กดปุ่ม + เพื่อขึ้นเกียร์เอาแทน
ดิสก์เบรก 4 ล้อ แบบหน้าดิสก์เบรกระบายความร้อน คันนี้ถือว่าเป็นรถยนต์ Honda ที่เซ็ตเบรกออกมาได้ดีในแบบที่ผมค่อนข้างพึงพอใจเลยทีเดียว การเบรกในตอนแรกที่ยังกะน้ำหนักเท้าไม่ได้นั้น เล่นเอาเบรกหน้าทิ่มกันยกใหญ่ แต่ขับไปสักพักเริ่มกะน้ำหนักได้แล้ว รู้สึกว่าเบรกนั้นทำได้ดีทีเดียว กดแล้วหยุดสั่งได้ดั่งใจ แตกต่างจาก Honda รุ่นอื่นๆ อย่างค่อนข้างชัดเจน แต่ว่าฟีลลิ่งเบรกนั้นยังไม่นุ่มนวลเท่าใดนัก ถ้าใครไม่ได้เปลี่ยนแม็ก หรือโมดิฟายปรับแต่งใดๆ เพิ่มเติม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนเบรกให้ใหญ่ขึ้น เพราะเบรกเดิมๆ นี้ก็เพียงพอต่อการขับขี่แบบปกติแล้ว
ด้านพวงมาลัย 3 ก้านพวงนี้ ขนาดดูจะเล็กกว่า เพื่อน ร่วมค่ายรุ่นอื่นๆ อยู่พอสมควร ซึ่งข้อดีของมัน คือ การที่ให้การตอบสนองในการหักเลี้ยวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวกว่า ไม่ต้องสาวพวงมาลัยเป็นวงกว้างมาก สำหรับ Handling ของพวงมาลัยนั้น ค่อนข้างให้ฟีลลิ่งคล้ายกับ Honda Civic แต่โดยรวมเจ้า CR-Z มันทำได้ดีกว่า ในช่วงออกตัว หรือความเร็วต่ำนั้นมีน้ำหนักที่เบา การตอบสนองค่อนข้างทำได้ไว และเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นตึงมือพอดี เหมาะสมสัมพันธ์กันกับความเร็ว และมีระยะฟรีพวงมาลัยน้อย จับกระชับ และให้ความมั่นคงในความเร็วสูง ทำให้คุณปล่อยมือขับ หรือจับพวงมาลัยแบบหลวมมือได้ โดยที่ไม่ต้องพยายามเกร็งมือจับพวงมาลัยแน่นมากนัก แต่ถ้าต้องการที่จะหักเลี้ยวแบบกระทันหันอาจต้องระวังหน่อยเนื่องจากการตอบสนองนั้นค่อนข้างทำได้ไวพอสมควร รวมถึงเวลาที่เลี้ยวตรงทางโค้ง 90องศา หรือกลับรถ เวลาคืนพวงมาลัย อาจต้องค่อยๆประคองมือไปด้วย อย่าปล่อยมือเป็นอันขาดเชียวเพราะ พวงมาลัยจะคืนตัวไว อาจทำให้เซเสียการควบคุมได้ และเมื่อปรับไปอยู่ในโหมด Sport แล้วพวงมาลัยนั้นจะยิ่งตอบสนองการขับขี่ได้ไวยิ่งขึ้นอีก รวมถึงความหนืดของพวงมาลัยก็มากยิ่งขึ้นด้วย เพื่อตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างเร้าใจ
ช่วงล่างระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชั่นบีม H shape คันนี้ฟีลลิ่งที่ความเร็วต่ำ ถึงปานกลาง ดูเผินๆ จะคลับคล้ายคลับคลากับ Honda Civic อีกเช่นกัน คือ บนทางเรียบที่ความเร็วไม่สูงมากนั้น ช่วงล่างทำได้ค่อนข้างดี คือ ไม่แข็งถึงขั้นรถสปอร์ตตัวดุ หรือ นิ่มเกินไปแบบรถที่เน้นความสบาย แต่เมื่อทันทีที่พบเจอกับทางหลุมบ่อ หรือขรุขระ คุณจะได้รับอาการสั่นสะท้านไปทั่ว ราวกับช่วงล่างนั้นจงใจให้คุณช่วยดูดซับแรงกระแทกกระเทือนเหล่านั้นเป็นเพื่อนมัน ซึ่งอาจจะต้องการแสดงให้เห็นว่า นี่ล่ะช่วงล่างแบบสปอร์ต ต้องแข็งๆ กระด้างๆ แบบนี้ใช่ไหม? ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยพึงประสงค์จะได้รับอาการแบบนี้จากช่วงล่างของ Honda มาหลายรุ่นแล้ว แต่ทว่าก็ยังหนีไม่พ้น ในขณะที่ความเร็วสูงตั้งแต่ประมาณ 150กม./ชม. ขึ้นไป รู้สึกว่าช่วงล่างอาจจะยวบไปแล้ว เมื่อเจอทางเป็นคลื่นเป็นลอน เหมือนรถจะยวบยาบตามสภาพของพื้นถนน ไม่ค่อยจะแข็งสักเท่าไร แต่ในขณะที่ทำ Top Speed ความเร็ว 183กม./ชม. ยังรู้สึกไม่น่ากลัวนัก ไม่ถึงขั้นว่ารถมีอาการลอยๆ เหมือนจะบินได้ จึงไม่ต้องเกร็งมากนัก เมื่อลองสมรรถนะในขณะเข้าโค้งกันดูบ้าง เอาแบบเทโค้งยาวๆ ที่ไม่ลึกมากจนอาจก่อให้เกิดอันตราย ใช้ความเร็วเกือบ 100 กม./ชม. เสียงยางเสียดสีกับถนนมีเล็ดลอดมาให้ฟังเล็กๆ แบบไม่น่าเกลียด ตัวรถไม่ได้มีอาการไถลแถแสดงให้เห็น เนื่องด้วยระบบ VSA ที่ช่วยคุมการทรงตัว และรู้สึกได้ว่าหน้ารถพยายามจิกอยู่ในโค้งไม่ก่อให้เกิด Understeer มากนัก น่าจะเป็นที่โครงสร้างตัวรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำ ร่วมกับจุดยึดใต้ตัวถังรถที่ทำหน้าที่คล้ายกับค้ำโช้คหน้ารถ โดยรวมแล้วถือว่า ช่วงล่างของ เจ้า CR-Z คันนี้ถือว่าไม่ได้ดูแย่นัก ถึงแม้จะไม่ได้เข้าขั้นช่วงล่างสปอร์ตเต็มขั้นก็ตาม เกือบลืมบอกไปว่า CR-Z นี้ใช้ยาง Hi-So แบบที่รถยุโรป จำพวก BMW และ Mini Cooper ใช้กัน ก็คือ ยาง Run Flat โดยในคันนี้เป็น Bridgestone Potenza RE050 Run Flat มันมีความสามารถพิเศษ ช่วยให้คุณวิ่งได้แม้ไม่มีลมยาง เมื่อยางรั่วซึม หรือแม้โดนตะปูตำ ก็ยังวิ่งได้ต่อไปได้ จึงมีความปลอดภัยสูงกว่ายางปกติทั่วๆไป ที่จริงแล้วแทบจะไม่จำเป็นต้องมียางอะไหล่มาให้เลยก็ยังได้ เพราะคุณสามารถวิ่งต่อไป จนกว่าจะเจอร้านซ่อมยางได้อย่างสบาย
สรุป Honda CR-Z เป็นรถยนต์สปอร์ตไฮบริด ที่ทาง Honda คัดสรรทำออกมา เพื่อคนที่รักอารมณ์ขับขี่แบบสปอร์ต ร่วมกับความประหยัดน้ำมันที่ทำได้จริง ถึงแม้จะไม่แรงเข้าขั้นอย่างใจต้องการระดับสัก 200 แรงม้า แต่มันก็ให้ความสนุกในแบบที่รถบ้านหลายคันให้ไม่ได้ ไม่ว่าคุณอยากจะแรงในระดับรถเครื่องยนต์ 2.0 หรือ อยากจะประหยัดในระดับรถ Eco car ก็สามารถทำได้ในคันนี้คันเดียว กับราคาที่ทาง Honda ประเทศไทยตั้งไว้ 1.975 ล้านบาท หลายคนอาจมองว่าสูง แต่เมื่อเทียบกับหลายปีก่อนหน้านี้ ทางบริษัทนำเข้ารถยนต์เปิดราคาแพงหูฉี่ เกือบ 2.5 ล้านบาท ถือว่าทาง Honda ประเทศไทย ได้ทำราคาลงมามากแล้ว เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสสัมผัสกับรถสปอร์ตนำเข้า ราคาไม่แตะหลัก 2 ล้านได้มากขึ้น ไม่ว่าคุณจะมองหารถสปอร์ตนำเข้าจากค่ายพี่ยุ่น อื่นๆ ซึ่งล้วนแต่ราคา 2 ล้านอัพทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Toyota GT86, Mazda MX-5 หรือจะโดดไปเล่นกับ 370Z ซึ่งแพงเข้าขั้นสปอร์ตยุโรป สำหรับความคิดผม CR-Z นี้ถือว่าเป็นรถยนต์นำเข้าที่ทางค่ายนั้น นำเข้ามาทำราคาเองไม่ได้แพง เพราะถ้าตั้งต่ำกว่านี้ คงจะเป็นการลดคุณค่าของตัวมันเอง กับราคาใกล้เคียงกันนี้ คุณสามารถหาซื้อรถแรงๆ มือ2 ได้อย่าง 350Z และ Evo X แต่อย่าลืมว่ารถแรงอัตราบริโภคน้ำมันก็มากเป็นเงาตามด้วย ซึ่งเท่าที่ดูแล้วราคาในระดับนี้ที่น่าสนใจก็คงจะเป็น Volkswagen Scirocco มือ 2 เท่านั้น ที่ดูอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณลองจินตนาการภาพว่า ได้ขับรถสปอร์ตสวยๆ สักคัน ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ขับไปไหนก็มีแต่คนมอง และที่สำคัญมันพบเห็นได้น้อยกว่า รถ Supercar อย่าง Porsche หรือ GTR เสียอีก แล้วมิหนำซ้ำ รถคันนี้ขับให้ความสะดวกสบายในแบบรถบ้าน แต่ขับสนุกในแบบที่รถบ้านหลายคันให้ไม่ได้ รวมถึงประหยัดน้ำมันในระดับ Eco car และการนำรถเข้าศูนย์บริการก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะมันเป็นแบรนด์รถที่มีศูนย์บริการรองรับอยู่ทั่วทั้งประเทศ แต่อยากขอติ ในบางเรื่องเล็กน้อย อย่างออปชั่นบางอย่าง ที่ลดทอนจากตัวนอก เช่น ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, กุญแจ keyless ไฟหน้า ที่น่าจะเปลี่ยนเป็น Xenon ได้แล้ว, เบาะพับไฟฟ้า ถ้ามีมาให้จะยอดเยี่ยมมาก ซึ่งเป็นไปได้ที่ตัดลดทอนสเป็กทั้งหมดนี้เพื่อคุมราคาไม่ให้เกินหลัก 2 ล้านก็เป็นได้ แต่ทั้งหมดนี้แล้วหากคุณเป็นคนมีรสนิยม ที่ชอบรถที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อยากแรงก็ได้ ประหยัดก็ดี ศูนย์บริการเข้าง่าย แล้วคุณมีอะไรที่จะต้องลังเล กับรถสปอร์ตไฮบริด อย่าง CR-Z คันนี้อีกล่ะ
สำหรับสนนราคาของ HONDA CRZ นั้นอยู่ที่ 1.975 ล้านบาท มีรุ่นเดียวคือ JP ในส่วนสีมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ขาว พรีเมี่ยม (มุก) Premium White Pearl, แดงมิลาโน Milano Red, เทาสตอร์ม (เมทัลลิก) Strom Silver Metallic, ดำคริสตัล (มุก) Crystal Black Pearl
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น