หากคุณเป็นคนที่กำลังมองหารถเอนกประสงค์สักคัน โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องมีรูปร่างบึกบึน พาลุยสมบุกสมบันได้ กำลังเครื่องมีมาให้ใช้แบบเหลือเฟือกับการใช้งาน และราคาไม่แพง อยู่ในเกณฑ์ล้านต้นๆ สิ่งที่ดูจะเข้าท่า คือ รถยนต์ PPV สักคันที่ดูจะลุยได้มากกว่าและเครื่องเครื่องยนต์ที่แรงกว่าในราคาไล่ๆกันกับ SUV เพราะ SUV เครื่องยนต์แรงๆ นั้นต้องมีล้านกลางๆ แต่ถ้า Scope Target ให้เล็กลงอีก เหลือแค่เครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น ทางเลือกดูจะเหลือน้อยเต็มที จนแทบจะคิดไม่ออก แต่ทว่า มันยังมีรถยนต์ตามที่ว่านี้อยู่ ซึ่งดีในแบบที่คุณต้องการทั้งสมรรถนะช่วงล่าง ห้องโดยสารภายในดูหรูและสบาย รวมถึงเป็นรถเครื่องยนต์เบนซินที่แรงที่สุดในตลาด PPV รวมถึง SUV อีกด้วย และที่สำคัญราคาย่อมเยาว์กว่าเพื่อน จนรถค่ายอื่นอาจต้องทบทวนราคาเสียใหม่ รถคันนั้น คือ Mitsubishi Pajero Sport V6
รูปลักษณ์ภายนอก เจ้า Mitsubishi Pajero Sport V6 คันนี้ ภายนอกนั้น ก็เหมือนกันกับตัว 4WD GT เครื่องยนต์ดีเซลแทบทุกเม็ด ต่างกันตรงสัญลักษณ์ V6 MIVEC ที่มีมาให้ด้านหลังฝากระโปรงท้าย และสัญลักษณ์ V6 ที่บริเวณแก้มหน้าทั้ง 2 ข้าง ส่วนรายละเอียดที่มีมาให้เหมือนกันนั้น ได้แก่ กระจังหน้าโครเมียม, กระจกมองข้างโครเมียม พร้อมไฟเลี้ยวในตัว, มือเปิดประตูโครเมียม ไฟหน้าเป็นโปรเจคเตอร์ แบบ HID พร้อมปรับลำแสงอัตโนมัติ, ระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้า, โป่งข้าง, ราวหลังคา, สปอยเลอร์ และล้ออัลลอยขนาด 17” ลาย 6 ก้านคู่
รูปโฉมภายใน สำหรับในรุ่น V6 MIVEC นี้นั้น ได้ทำการการหยิบยกออปชั่น ภายในมาจากตัว 2WD GT แต่สำหรับตัวนี้ ภายในจะเป็นสีดำ ไม่ใช่สีเบจอย่างในตัวเครื่องดีเซล ซึ่งทำให้ดูสวยงามดุดัน สไตล์สปอร์ตเพิ่มขึ้น สำหรับภายในก็ยังให้ความสบายและหรูหราเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น เบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า พวงมาลัยที่ติดปุ่ม Cruise Control มาให้ แต่ดันไม่ติดปุ่ม Multifunction มา ด้านหลังพวงมาลัยมีก้าน Paddle Shift ไว้เปลี่ยนเกียร์ เครื่องเสียงที่มาพร้อมระบบนำทาง Mitsubishi G9 เป็นตัวเดียวกับที่พบใน Lancer EX และ Space Wagon ซึ่งใช้โปรแกรมนำทางของ Speednavi รองรับระบบ Infotainment ทั้ง DVD, USB, iPhone, Bluetooth เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ รวมถึงเชื่อมต่อกับกล้องมองภาพด้านหลัง เวลาเข้าเกียร์ R ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ดูใช้งานง่าย และมีช่องปรับอากาศเผื่อไปถึง ผู้นั่งตอน 2 และ 3 ตรงบริเวณแถว 2 จะมีจอ LED ขนาด 10” ให้ผู้โดยสารตอนหลังได้รับชม DVD ได้อีกด้วย ลำโพงนั้นมีมาให้แบบ 4+2 แผงบังแดดด้านคนขับมีกระจกพร้อมที่เสียบบัตรไว้ให้ และเพิ่มความเก๋ไก๋ ในประตูทุกบานจะมีไฟส่องสว่างข้างประตู ติดให้ด้วย
เครื่องยนต์ เบนซิน V6 SOHC 24 วาล์ว ขนาด 2998cc พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC ซึ่งควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วไอดี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ในรอบสูง โดยเครื่องยนต์ 6 สูบ V นี้ มีเสื้อสูบเป็นชิ้นส่วนอลูมีเนียม ช่วยให้มีน้ำหนักเบา และระบายความร้อนได้ดีขึ้น ด้านพละกำลังนั้น มีแรงม้าสูงสุดที่ 219แรงม้า@6250rpm กับแรงบิดสูงสุด 281Nm@4000rpm ดูจากแรงม้าแล้วถือว่าเป็น PPV ที่แรงที่สุดในตลาดบ้านเราเลย แต่กับแรงบิดนั้น ยังน้อยกว่าเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 L อยู่ดี ซึ่งดูไปแล้วไม่รู้ว่าจะเหมาะสมไหมกับการนำเครื่องยนต์ V6 เบนซิน มาลงในตัวถัง Pajero Sport นี้ เพราะม้ามาให้ใช้เยอะจริง แต่แรงบิดน้อยกว่าเครื่องยนต์ดีเซลชัดเจน แต่การขับแบบทั่วๆไป น่าจะเน้นไปทางแรงบิด ที่รอบต้นๆ มากกว่า ซึ่งจุดนี้ทาง MMTH คงคิดแผนการตลาด “เหล้าใหม่ ในขวดเก่า” เพื่อหวังดึงความสนใจจากลูกค้า SUV มาส่วนหนึ่ง รวมถึงการเติมเต็มช่องว่างของรถยนต์ PPV ที่ต้องการเครื่องยนต์เบนซิน อีกด้วย
ระบบส่งกำลังและการควบคุม ระบบเกียร์เป็นลูกเดิมที่ใช้ในตัวเครื่องยนต์ดีเซล เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS II พร้อม Sportronic ให้เปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง โดยสามารถโยกที่แป้น +- หรือ ก้าน Paddle Shift ได้ แต่มีจุดที่ต่างกันอยู่นั่นก็คือ อัตราทดเกียร์เฟืองท้าย ที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้น ด้านการควบคุม พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฮโดรลิกผ่อนแรง แบบทั่วๆไป ดังเช่นที่พบในกระบะและ PPV ไม่ใช่พวงมาลัยไฟฟ้า
ระบบกันสะเทือนและเบรก ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบ อิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone) คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ 3 Link Torque Arm คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งเป็นการหยิบยกช่วงล่างนี้มาจาก Triton แต่น่าจะมีการเปลี่ยนสปริง ทำให้ค่าความแข็งออกมาต่างกัน ซึ่งส่งผลให้ Pajero Sport นิ่มนวลกว่า Triton ชัดเจน ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังแบบดรัมเบรก ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับตัวดีเซล ไม่ได้มีการเปลี่ยนเป็นดิสก์ 4 ล้อ ใดๆ ทั้งสิ้น
ระบบความปลอดภัย มีมาให้แบบมาตรฐานทั่วไป ได้แก่ Immobilizer key, ระบบเบรก ABS และ EBD, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบสัญญาณกันขโมย, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กล้องมองภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด, ขาแป้นเบรกยุบตัวได้หากเกิดการชน, แกนพวงมาลัยยุบตัวได้หากเกิดการชน โครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE Body สำหรับด้านเทคโนโลยี ช่วยการทรงตัว รวมถึงระบบช่วยเหลือในการขับขี่ต่างๆ ยังไม่มีใน Pajero Sport ไม่ว่าจะตัว ขับ 2 หรือ 4 ตัว GT หรือ GLS ก็ตาม ซึ่งจุดนี้อาจยังเป็นรองแก่ รถ SUV, PPV จากค่ายอื่นๆ แต่มีระบบ ETACS (Electronic Time and Alarm Control System) ซึ่งเป็นระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยอัจฉริยะมาให้ ซึ่งเป็นสไตล์ของทาง Mitsubishi ได้แก่
• สัญญาณเสียงเตือนและไฟกระพริบเมื่อปิดประตูไม่สนิท เมื่อมีการออกรถ
• ใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ เมื่อเปิดที่ปัดน้ำฝนและมีการขับที่ความเร็วเกินกว่า 60km/h ระบบจะปรับเป็นจังหวะที่ 1 ให้อัตโนมัติ
• ระบบล๊อค และปลดล๊อครถด้วยรีโมท จากระยะไกล
• สัญญาณเตือนลืมปิดไฟหรี่หน้า
• ระบบตัดการทำงานไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟหน้ารถนั้นจะดับเองเมื่อดับเครื่องยนต์และเปิดประตู
• ระบบหน่วงเวลาปิดไฟในห้องโดยสาร หลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว
• ระบบหน่วงเวลาเลื่อนเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้า ภายหลังดับเครื่องแล้วจะยังทำการเปิด-ปิดได้อีก 30วินาที
ซึ่งระบบ ETACS ตัวนี้เป็นตัวเก่า เพราะใน ETACS ของรถรุ่นใหม่ อย่าง Lancer EX และ Mirage จะมีฟังก์ชั่นเพิ่มมา ได้แก่
• กุญแจรีโมทพร้อมระบบควบคุมกระจกมองข้าง พับและกางอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้รู้ได้ทันทีว่าได้ทำการล๊อครถแล้วหรือยัง
• ระบบสัญญาณไฟเลี้ยว เพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเล็กน้อย ไฟจะกระพริบอยู่ถึง 3ครั้ง
• ระบบล๊อคประตูซ้ำอัตโนมัติ หากมีการปลดล๊อคประตูและไม่มีการเปิดประตูภายใน 30วินาที
ขับทดสอบ Pajero Sport V6 กรุงเทพฯ-บึงฉวาก
ในการขับรถทดสอบครั้งนี้ ขอขอบคุณ Mitsubishi Motors (ประเทศไทย) เป็นอย่างมากที่ได้เอื้อเฟื้อรถมาให้ทดสอบ โดยคันที่ได้มานี้เป็น Mitsubishi Pajero Sport V6 สีน้ำเงิน Dark Blue กับเส้นทางที่ใช้วิ่งครั้งนี้เป็นระยะทางกว่า 500กม. โดยมีการวิ่งใช้งานแบบรถครอบครัว โดยในช่วงเกือบ 100กม.แรก วิ่งใช้งานในตัวเมือง ที่มีการจราจรคับคั่งพอสมควร แล้วจึงวิ่งออกจาก กทม.ไปบางบัวทอง ถ่ายรูปที่วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (เล่งเน่ยยี่ 2) ก่อนที่จะวิ่งออกไปยังบึงฉวากจังหวัดสุพรรณบุรี รวมระยะทางที่ใช้ในการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองทั้งหมดเป็นระยะ 320.2กม. แต่เนื่องจากไม่ทราบระยะทางที่ทาง Mitsubishi ได้เติมน้ำมันออกจากปั๊ม และวิ่งกลับมายังสำนักงานใหญ่ว่าเป็นระยะทางเท่าไร จึงขออนุญาติตีระยะทางคร่าวๆ บวกเพิ่มเข้าไป 3 กม. จึงรวมเป็นระยะทางทั้งหมด 323.2กม. เติมน้ำมันกลับเข้าไปเอาแค่หัวจ่ายตัดได้ 41.79L คิดอัตราสิ้นเปลือง = 7.73 กม./ลิตร ซึ่งชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้คำนวณ คือ แก๊สโซฮอล์ 95 โดยที่การขับขี่ในช่วง เกือบ 100กม.แรก การจราจรคับคั่ง และมีการใช้งานแบบรถครอบครัว ในส่วนขาที่วิ่งไปสุพรรณบุรี มีผู้โดยสารทั้งหมด 3 คนรวมผู้ขับ ใช้ความเร็วคงที่ เปิด Cruise Control ความเร็ว 100-110กม./ชม. ตัวเลขในการทดสอบนี้ จึงค่อนข้างครอบคลุมกับการใช้งานจริง ซึ่งไม่ได้ปั้นตัวเลข และเป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะถ้าไม่มีการใช้งานแบบครอบครัวและ รถติดในกทม. ควรที่จะมีสัก 8 ปลายๆ ถึง 9 กม./ลิตร
เมื่อเซ็นต์เอกสารรับกุญแจมา พบว่าลูกกุญแจเหมือนกันกับ Lancer EX ของผมเป๊ะ เพียงแต่ไม่มีปุ่มกดเปิดฝากระโปรงหลัง ซึ่งดูด้อยราคาไปเลยเมื่อเทียบกับรถราคาค่าตัวหลักล้าน จึงไปซื้อกรอบกุญแจ Filp Key มาทำเองราว 5-6 ร้อยบาท เพื่อให้ดูดีเทียบเท่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ สมัยนี้ ถ้าใครไม่ชอบดอกกุญแจดูโบราณนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน (ที่จริงทาง MMTH น่าจะทำรูปแบบเป็น Flip Key ออกมาได้แล้ว เพราะค่ายอื่นเดี๋ยวนี้ก็เป็นกุญแจ Flip Key กันเกือบหมด) และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบกลิ่นอายใกล้เคียงกัน นั่นคือ หน้าจอเครื่องเสียงพร้อมระบบนำทาง อย่าง Mitsubishi G9 ที่ผมคุ้นเคย ซึ่งเล่นเอาผมแทบตกใจ เพราะการเซ็ตคลื่นวิทยุ 3 ช่องท้าย สถานีเดียวกันกับที่ผมเซ็ตไว้ในรถผมเป๊ะ ซึ่งเจ้าจอ G9 ขนาด 7” นี้เชื่อมต่อกับกล้องมองภาพด้านหลัง เมื่อเวลาเข้าเกียร์ R ระบบจะตัดภาพมาที่กล้องมองหลังทันที ช่วยให้การถอยหลังกะระยะไม่ยากเย็นอีกต่อไป และรองรับ USB, iPhone และการเชื่อมต่อ Bluetooth กับโทรศัพท์ และมาพร้อมกับระบบนำทางของ Speenavi สำหรับพวงมาลัย 3 ก้านนี้ ดูคุ้นเคยใน lancer EX อีก ที่มาพร้อม Cruise Control และ Paddle Shift แต่งงว่าทำไม ไม่มี Multifunction ให้ใช้ควบคุมเครื่องเสียง G9 ซึ่งถ้าต้องการก็คงต้องไปเบิกของเอา แล้วหาช่างข้างนอกติด ราว 2-3พันบาท เมื่อนั่งลงบนเบาะก็ได้ทำการปรับเบาะซึ่งเป็นแบบไฟฟ้า ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ดูดีมาก มาดูบนแผงหน้าปัดบ้าง มันช่างดูโบราณเสียจริง เป็นแบบบิดก้านเปิดไฟแล้วไฟตรงมาตรวัดถึงขึ้น ซึ่งมีสีออกเป็นสีแดงดูไม่ค่อยสบายตานัก และไม่สามารถกกดดูอะไร ได้นอกจากการเซ็ต Trip A, B กล่องเก็บ CD ขั้นกลางระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารมีขนาดใหญ่มาก พร้อมมีถาดกั้นอีกชั้น ก่อนเปิดไปเจอช่องเก็บของขนาดมโหฬารด้านล่าง และยังเป็นที่เท้าแขนในตัวอีกด้วย หัวเกียร์ก้านใหญ่บะเริ่มเทิ่ม ดูจะจับโยกได้ไม่ค่อยจะถนัดนัก ไม่รู้จะทำใหญ่ไปไหน เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ อยู่ในตำแหน่งที่ดี บิดใช้งานง่าย ถัดลงมาเป็นช่องเก็บของ 1Din ซึ่งที่จริงน่าจะเป็นช่องเครื่องเสียง และถัดลงมาด้านใต้ จะพบที่จุดบุหรี่ และปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศตอนหลังซ่อนอยู่ ทำเอาตอนแรกผมหาปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศตอนหลังไม่เจอเลย ซึ่งช่องปรับอากาศในตอน 2 และ 3 นั้น จะควบคุมการเปิดปิดและความแรงที่ตอน 2 เท่านั้น สำหรับผู้โดยสารตอน 2 จะได้รับความบันเทิงในการชมภาพยนต์ DVD และ เพลง จากหน้าจอ LED ขนาด 10” ที่สามารถพับเปิดออกมาได้อีกด้วย และอีกสิ่งที่ผมชื่นชอบ คือ ช่องเก็บแว่นตรงไฟส่องแผนที่ แต่ที่ไม่ชอบคือ เมื่อปรับเบาะให้ต่ำสุดแล้ว และยกพวงมาลัยสูงสุดก็แล้ว จังหวะถอนเท้าจากคันเร่งมาเหยียบเบรก หัวเข่ายังคงยกแล้วติดคอนโซลพวงมาลัย รวมถึงไฟเลี้ยว ไม่ใช่ระบบ ETACS ที่เพียงแตะเล็กน้อยแล้วจะกระพริบให้ 3 ครั้ง และสำหรับเจ้า Pajero Sport นี้ มีจุดเด่นอีกจุด นั่นก็คือ การปรับเบาะที่ทำได้หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองทุก Life Style ไม่ว่าจะเป็นจัดเบาะแบบ 7 ที่นั่งปกติ, พับเบาะแถว 3 ลงเป็น 50:50, พับเบาะทั้งแถว 2 และ 3 เป็น 60:40, หรือพับแถว 2 ลงด้านเดียวเป็น 55:45 , ปรับแบบเอนแบนราบ และแถมด้วยช่องเก็บของด้านท้ายหลังเบาะแถว 3 ที่มีฝาปิดสำหรับเก็บอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้รถคันนี้สะดวกสบาย ต่อการใช้งานแทบทุกรูปแบบ
ทัศนะวิสัย เมื่อปรับเบาะลงต่ำสุดด้านหน้าก็มองเห็นชัดเจนดี ยันไปถึงฝากระโปรงหน้า ทำให้การกะระยะทำได้ไม่ยากนัก เสา A, B, C pillar ไม่ค่อยจะบังเป็นปัญหาเท่าใดนัก แต่เสา D ค่อนข้างหนาทีเดียว ซึ่งก็จะทำให้มีมุมอับทางด้านหลังค่อนข้างเยอะหน่อย สำหรับกระจกมองหลังเป็นแบบลดแสงสะท้อนให้ช่วยเพิ่มความสบายตาได้มากขึ้น และกระจกมองข้างที่บานใหญ่ดีมองได้ชัดเจน ตามสไตล์กระบะและ PPV
ด้านพละกำลังในการขับเคลื่อน เครื่องยนต์ MIVEC V6 3.0L SOHC 24วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุดในกลุ่ม 219ตัว@6250rpm แต่แรงบิดไม่ได้มากนัก 281Nm@4000rpm ในจังหวะออกตัวนั้น ถ้าขับแบบปกติ ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังขับรถที่แรงที่สุดในกลุ่ม SUV/PPV อยู่ จะต้องขับแบบกระแทกกระทั้นเค้นม้าออกมากันหน่อย ถึงจะรับรู้ได้ เพราะถ้าขับแบบปกติทั่วๆไป ดูจะเป็นรถแบบเนิบๆ ด้วยซ้ำ มันทำให้รู้สึกว่าเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร ยังจะดูมีกำลังมากกว่า จากแรงบิดที่มีสูงกว่าและมาที่รอบต่ำกว่า ซึ่งอาจจะดูเหมาะกับการใช้งานทั่วๆไปมากกว่า ซึ่งขับไม่ใช้รอบเครื่องสูง แล้วก็ถึงเวลาลองสมรรถนะเครื่อง V6 แบบจริงๆจังๆ กันบ้าง กดคันเร่งแบบจมมิดเท้า รอบลากไปถึง 6000 ก่อนตัดขึ้นเกียร์ ซุ่มเสียงการเปิดของ MIVEC ออกแผดกร้าว ไม่ได้ทุ้มๆ แต่ก็ฟังดูเร้าใจมากเหมือนกัน แต่ไม่ได้แรงขนาดกระชากสะใจอย่างที่คิดนัก (คงเป็นเพราะความอวบอั๋นของน้องปลาคันนี้) ความเร็วช่วงกลางๆถึงปลาย มีมาให้เรื่อยๆ กำลังไม่ตก ถึงแม้อัตราเร่งจะดูไม่ปรู๊ดปร๊าดนัก Top Speed ที่ทำได้ 185กม./ชม.ที่เกียร์ 4 ซึ่งถ้าขึ้นเกียร์ 5 ความเร็วตกลงเหลือ 175กม./ชม. สำหรับอัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. ทำได้ที่ 8.43 วินาที ซึ่งทั้งหมดถามว่าแรงสมราคาคุ้มค่ากับการที่ต้องเลือกเครื่องยนต์เบนซินบล๊อกใหญ่ขนาดนี้หรือไม่ ถ้าเอาความเห็นโดยส่วนตัว ชอบเครื่องยนต์ดีเซลมากกว่า เพราะแรงบิดมาไวกว่า ไม่ต้องใช้รอบเครื่องสูง รวมถึงความประหยัดน้ำมันกว่า ถ้าคุณเลือกเครื่องเบนซินบล๊อกขนาดนี้แล้วต้องมาเค้นรอบเพื่อเอากำลัง ต้องมาแลกกับอัตราสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ นอกเสียจากเอารถมาใช้เดินทางไกลและขับที่ความเร็วสูง ซึ่งกำลังเครื่องใหญ่ จะช่วยให้รถวิ่งไต่ความเร็วมาเรื่อยๆ ไม่ลดลงแบบน่าเกลียด แต่ก็ต้องถามอีกว่าจะขับใช้ความเร็วสูงขนาดนั้นบ่อยๆ หรือเปล่า สรุปอีกครั้งกับเครื่องยนต์ V6 นี้ กำลังในช่วงความเร็วรวมถึงรอบสูง ไหลมาเทมาเรื่อยๆ ไม่มีตก แต่อัตราเร่งยังไม่ถึงขั้นจี๊ดจ๊าดนัก อาจเนื่องจากการแบกน้ำหนักตัวมากถึง 1.845 ตัน จึงทำให้อัตราเร่งที่ได้ยังไม่ประทับใจนัก รวมถึงอัตราบริโภคน้ำมันที่เอาเรื่องทีเดียว
ด้านความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ได้ทำการวัดที่ 3 ค่า ดังนี้ 80กม./ชม.=1900rpm 100กม./ชม.=2200rpm 120กม./ชม.=2600rpm กับระบบเกียร์อัตโนมัติ Invecs II 5 Speed มาพร้อม Sportronic และมีก้าน Paddle Shift มาให้ การเปลี่ยนเกียร์นั้นทำได้ Smooth ดีทีเดียว เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นจากค่ายอื่น เกียร์ตอบสนองได้ค่อนข้างไว และไหลลื่นต่อเนื่องดี โดยที่เมื่อขับอยู่ที่โหมด D อยากมาเล่นที่ S ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเอื้อมมือไปโยกคันเกียร์ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว แตะไปที่ Paddle Shift ด้านใดด้านหนึ่ง เกียร์จะเข้ามาที่โหมด S ให้ทันที และหากต้องการปรับกลับมาที่ D ก็ให้แตะที่ก้าน + ด้านขวามือค้างไว้ 2วินาที ก็จะปรับกลับมาที่ D อีกครั้ง
ด้านพวงมาลัยเป็นแบบ แร๊ค แอนด์ พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ซึ่งเป็นแบบไฮโดรลิก ไม่ใช่แบบไฟฟ้า ในจังหวะขับออกตัวหนักตึ้งเอาเรื่องทีเดียว ขับในตัวเมืองคงไม่ Happy นัก เพราะมันหนักทุกช่วงความเร็วจริงๆ แต่ถ้าขับออกชานเมืองหรือใช้ความเร็วสูง ถือว่าค่อนข้างหนักแน่นให้ความมั่นคงดี ความหนืดค่อนข้างสัมพันธ์กับความเร็ว รวมถึงมีระยะฟรีพวงมาลัยน้อยมาก ซึ่งก็เป็นข้อดีสำหรับการขับทางไกล เพราะเจ้า Pajero Sport นี้ไม่มีสวิทช์เครื่องเสียงมาให้ ซึ่งถ้าไม่ไปติดเพิ่มเอา ก็คงต้องเอื้อมมือซ้ายไปจิ้มกดเอา ดังนั้น การที่พวงมาลัยมีระยะฟรีต่ำมาก จะเป็นผลดีในส่วนที่มันจะไม่ Sensitive นัก ยังพอประคองมือเดียวเอาอยู่ได้ ด้านการตอบสนอง ในจังหวะหักเลี้ยวยังไม่ฉับไวเฉียบคมนัก ยังสู้พวกพวงมาลัยไฟฟ้าไม่ได้ และเป็นสไตล์บุคลิกของรถที่ไม่ได้ออกแนว Sport ไว้ซิ่งตอบสนองว่องไวทันใจอยู่แล้วด้วย
ระบบเบรกนั้น สำหรับรถ PPV ซึ่งดึงช่วงล่างมาจากกระบะทั้งดุ้น ส่วนใหญ่ระบบเบรกก็ยังคงเป็นแบบ หน้าดิสก์แบบมีช่องระบายความร้อน และหลังเป็นดรัม เพื่อความทน และอาจจะไม่จุกจิกนัก โดยทั่วไปแล้วนั้น ฟีลลิ่งที่มีมาให้พบ ก็มักจะเป็นแบบกระบะจัดเต็ม คือ ไม่มีความนุ่มนวล แถมด้วยอาการไหล มักเอาไม่อยู่เท้า แต่ครั้งแรกที่ได้ขับเจ้า Pajero Sport นี้ มันให้ความแตกต่าง ที่แทบจะลบภาพความคิดรถ PPV จะมีฟีลลิ่งเบรกเช่นนั้นเสียหมด เพราะน้ำหนักเบรกไม่ได้อ่อน เหมือนพวกกระบะ ที่บางทีกดแล้วหน้าจิกทิ่ม ตอบสนองไวเท้าเกิน กดแล้วหนืดๆเท้า น้ำหนักกำลังดี ถ้าเพิ่งมาขับก็ไม่ทำให้เบรกแล้วหัวทิ่มในครั้งแรก รวมถึงความนุ่มนวลทำได้ดีในระดับ SUV เลยทีเดียว รวมถึงการกดแป้นเบรกแล้ว หยุดม้าได้ตามเท้าสั่ง ไม่ค่อยมี Fade ให้เห็นเหมือนกับกระบะ จะออกแนวรถยนต์เก๋งมาเลย เบรกนั้นสั่งแล้วไว้ใจได้ ซึ่งถือว่าน่าประทับใจกว่าที่คิดไว้มาก
ระบบกันสะเทือนช่วงล่าง ด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น (Double Wishbone) คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง หลังแบบ 3 Link Torque Arm คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง เป็นตามแบบของเจ้ากระบะ Triton ยกมาจับใส่เลยก็ว่าได้ แต่ ฟีลลิ่งนั้น ไม่ได้ดูแย่อย่างที่คิด มันดีกว่าที่คาดไว้พอสมควรเลย ค่อนข้างนุ่มนวลดีเกือบจะเท่ากับ SUV ในขณะเจอทางขรุขระมันดูดซับแรงได้ค่อนข้างดีกว่าที่คิดไว้ ซึ่งถือว่าทำได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของ PPV เลยก็ว่าได้ แต่ถ้าขับลุยทางขรุขระ หลุมบ่อกันเป็นเวลานานก็เล่นเอา เวียนหัวได้เหมือนกันโดยเฉพาะคนนั่งตอนหลัง เนื่องจาก Compression และ Rebound (ความหนืดของการยุบตัว และ คืนตัวของโช้ค) ค่อนข้างน้อย ทำให้ระยะยุบน้อยและคืนตัวเร็ว จึงมีอาการกระเด้งกระดอน เหมือนกระบะ ถ้าเซ็ตออกมาให้ เยอะกว่านี้ ระยะยุบมากขึ้น ก็จะซับแรงได้มากขึ้นอีกหน่อย และคืนตัวช้าหน่อย ก็จะไม่กระเด้งกระดอนมากนัก ซึ่งในจุดนี้ SUV ยังทำได้ดีกว่า ฟีลลิ่งจึงออกมานุ่มนวลกว่าหน่อย เมื่อลองเข้าโค้งบนทางด่วนที่ความเร็วเกินปกติสักเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นเสียงยางดังเอี๊ยดออกมา พบว่าเหมือนรถจะมีอาการท้ายออกอยู่หน่อยๆ ไม่ถึงกับมาก ซึ่งออกจะเป็นธรรมดาชาติของรถขับ 2 ล้อหลัง ที่มักเกิด Over Steer ได้ แต่อาการไม่ได้รุนแรงอะไรมาก สามารถควบคุมได้อยู่สบายๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ควรที่จะนำรถ PPV ที่ยกสูงขนาดนี้ไปเทโค้งกันแรงๆ ยิ่งไม่มีระบบช่วยควบคุมการทรงตัวด้วยแล้ว อาจหมุนกันได้ หรือดีๆ ไม่ดี สูงมากพลิกคว่ำขึ้นมา ภาพข่าวออกมาคงไม่สวยนัก ควรพึงระลึกไว้ว่า ต่อให้เครื่องแรงอย่างไร น้องปลาก็ยังเป็นรถเอนกประสงค์ใช้งานครอบครัวอยู่วันยังค่ำ
สรุป Mitsubishi Pajero Sport V6 เปรียบเหมือน เหล้าใหม่ในขวดเก่า เพียงนำเครื่องยนต์บล๊อกใหญ่ V6 มาประจำการแทน เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล และเปิดตัวขายเพื่อต่ออายุให้กับ Pajero Sport โฉมปัจจุบันออกไปอีกหน่อย โดยนำสเป็กออปชั่นหยิบยกมาจาก ตัว GT 2WD ของเครื่องดีเซล ถ้าเทียบกับส่วนต่างราคาของ GT 2WD ดีเซล กับ GT V6 1,179,000- กับ 1,295,000- ส่วนต่าง 116,000 ได้เครื่องยนต์เบนซินที่ทำงานนิ่งไม่สั่นเหมือนดีเซล และมีพละกำลังเครื่องมากกว่า ดูจะไม่แพงเกินไปนัก (ใช่ผมก็คิดเช่นนั้นนะ) แต่กับอัตราสิ้นเปลืองที่ เล่นสูบเลือดแบบดิบๆ โหดๆ อันนี้ ก็ต้องถามว่ามันคุ้มกันกับที่ต้องเสียไหม หรือจะมองว่าเอาไปติดแก้ส! ฟังดูไม่เลว เข้าท่าแฮะ ซึ่งต้องไปติดถังโดนัท และแทนที่ด้วยล้ออะไหล่ คงไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการติดถังแคปซูล ซึ่งพื้นที่ด้านหลังจะเสียไป และต้องเจาะยึดโครงสร้าง ดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่การที่ติดถังโดนัท ซึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ใต้ท้องรถ คงอาจทำให้ใครหลายคนคิดว่ามันจะปลอดภัยดีไหม (ซึ่งรวมถึงผมด้วย) ก็คงเป็นหน้าที่ของท่านที่จะตัดสินใจเลือกศูนย์บริการแก้สกันแล้วล่ะ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่คิดจะตามหารถ PPV ลุยๆ สักคัน แต่ต้องเป็นเครื่องเบนซินเท่านั้น ทางเลือกดูจะแคบมากๆ และถึงจะมีตัวเลือก ยังไง Pajero Sport V6 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน แต่เสียดายจุดเดียวจริงๆ ที่ Pajero Sport ทุกรุ่นไม่มีระบบช่วยการทรงตัว และป้องกันล้อหมุนฟรี (ซึ่งตรงนี้อาจทำให้ ทาง MMTH ทำราคาได้ถูกกว่าชาวบ้านเขา) แต่สำหรับผมและหลายๆ คนก็คงไม่พึงเห็นความสำคัญว่าจะได้ใช้งานเจ้า ESP หรือ TCS มากสักเท่าไรนัก สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับน้องปลายักษ์คันนี้ ก็คือ อัตราสิ้นเปลืองที่มากที่สุดในกลุ่ม ถ้าคิดจะเอาไปติดแก้สแล้วล่ะก็ คันนี้ล่ะใช่เลย!
Mitsubishi Pajero Sport V6 มีเพียงรุ่นเดียว คือ 3.0 GT ราคา 1,295,000 บาท มาพร้อมกับสี ทั้งหมด 6 สี ได้แก่ น้ำเงิน Dark Blue, น้ำตาลทอง Quartz Brown, บรอนซ์เงิน Cool Silver, เทาดำ Eisen Gray Mica, ดำ Pyreness Black, ขาวมุก White Pearl
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น