Update: ล่าสุด Honda ประกาศชื่อรถรุ่นนี้ออกมาแล้วว่า Brio Amaze โดยมีพรีเซนเตอร์เป็น บี้ สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว
ซีดานในฝันของคุณเป็นแบบไหน? “คล่องตัว แต่กว้างสบาย” “ขับสนุก แต่ประหยัดน้ำมัน” “เป็นมิตรกับโลก แต่ความปลอดภัยครบครัน” พบสมการความสุขใหม่จากฮอนด้า เร็วๆนี้ ซีดาน 1.2 ลิตรใหม่ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ หลายๆคน คงได้เห็นโฆษณานี้ผ่านทางทีวีกันไปบ้างแล้ว ซึ่งนั่นทำให้พวกเราตีความได้ว่า ทาง Honda ใกล้จะทำการเปิดตัวรถยนต์ Eco Car ตัวถัง Sedan ใหม่! หรือ ตามกระแสที่เรียกกันว่า Brio Sedan เพื่อจะมาลุยบุกถล่มยอดขายรถยนต์คันแรก ภายในสิ้นปีนี้เป็นระลอกสุดท้าย ซึ่งการมาของ Eco Car 4 ประตู รุ่นแรกของ Honda นั้น จะเปิดตัวในไทยเป็นประเทศแรกอีกด้วย และก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้น ทาง Honda Automobile ประเทศไทย ได้มีการจัดทริปเชิญสื่อมวลชนร่วมขับทดสอบกันเป็นกลุ่มแรก ณ สนามแข่งรถแก่งกระจานเซอร์กิต ซึ่งทาง Autospinn ของเราก็ได้รับเชิญเข้าร่วมทดสอบด้วย ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้
สำหรับรายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอกนั้น รถซีดานตัวน้อยของเรานี้ ยังถูกพลางตัว จากสติกเกอร์ลายพรางตา แต่จากที่ได้มองเห็นและสัมผัส รถคันนี้เหมือนการจับ Honda Brio ออกมาผ่าบั้นท้าย Hatchback ออก แล้วแทนที่ด้วยท้ายหลังแบบใหม่ ในรูปของรถซีดาน ซึ่งดูแล้ว ช่วงฝากระโปรงหลังดูสั้นๆ แปลกๆ ไปนิด แต่ก็ให้ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร (หรือไม่มีใครคิดจะเหมือน) แต่สำหรับพื้นที่สัมภาระท้ายนั้น ถึงจะเห็น ท้ายสั้นๆ เล็กๆ อย่างนี้แต่มีพื้นที่บรรจุถึง 400 ลิตร ซึ่งถือว่าไม่ได้ขี้เหล่ และด้านมิตินั้นตัวถังซีดานคันนี้ ยาวกว่า Brio 380มม. ซึ่งส่งผลให้ตัวรถมีพื้นที่ Leg Room ที่มากขึ้น และมีน้ำหนักมากกว่าอยู่ 26 กก.
เมื่อถึงคราวที่ได้ทดลองขับและ เปิดประตูออกมา พบกับภายใน ดูจะเหมือนกับ Brio แทบทุกอย่างนะ เท่าที่จะจำได้ ทั้งแผงแดชบอร์ด โทนสี พวงมาลัย เบาะ เหมือนกันหมด ในส่วนของเบาะหลังนั้น พื้นที่ Leg Room พอมีเหลือให้นั่งได้แบบสบายๆ โดยที่ไม่ต้องอึดอัด ถือว่าทำได้ดีกับรถ Mini Size Eco Car 4 ประตูคันนี้ แต่น่าเสียดายที่ว่า เบาะตอนหลังไม่สามารถพับลง แบบ 60:40 ได้เหมือน Honda City
ในส่วนของเครื่องยนต์ เป็นบล๊อก 4 สูบ SOHC 1.2 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 90แรงม้า และแรงบิด 110Nm ซึ่งเป็นบล๊อกเดียวกับที่ใช้ใน Brio รวมถึงยังคงล๊อคความเร็วที่ 145กม./ชม. เช่นเดิม ไม่เพียงแค่เครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบเกียร์ CVT ยันระบบบังคับเลี้ยว ที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS และเบรกแบบ หน้าดิสก์ หลังดรัม ที่เป็นชุดยกเซ็ตกันมาจาก Honda Brio แต่ในส่วนของช่วงล่างนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ซึ่งอิงสเป็กเดิม นั่นก็คือ ด้านหน้าแบบ แม็คเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังทอร์ชั่น บีม H type เท่าที่ได้ฟังมาจาก ทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่น ได้บอกว่า ในส่วนของด้านหน้านั้น ค่าความแข็งของสปริงยังคงเดิม แต่ความสูงนั้นเพิ่มขึ้น แต่ที่แตกต่างจะอยู่ที่ด้านหลังจากการเซ็ตช่วงล่างหลัง ให้รองรับกับท้ายที่มีน้ำหนักมากกว่า Brio เพียงเท่านั้นที่เป็นจุดที่แตกต่าง
เมื่อถึงเวลาในการขับทดสอบ โดยให้ขับกันคนละ 3 รอบสนามเต็ม ในรอบแรกนั้นก็ได้ขับแบบเรื่อยๆ เพื่อเก็บไลน์ของสนาม และใน 2 รอบหลังก็ ลองหวดเท้าดู แต่ก็ไม่ได้ซัดเต็มอะไรมากมาย เนื่องจากเป็นรถ Eco Car ซึ่งดูจะไม่ค่อยเหมาะกับ การใช้งานในรูปแบบขับแข่งขัน หรือ ซัดกันเต็มทั้งทางตรงและโค้งนัก เท่าที่ได้ขับมาและลองสัมผัสดู โดยส่วนตัวนั้น รู้สึกว่ามันก็ เหมือนกับการขับ Honda Brio นั่นล่ะ ไม่ค่อยจับสัมผัส ความต่างได้สักเท่าไรนัก ฟีลลิงที่จับได้หลักๆอยู่ที่การทำงานของเครื่องยนต์ ในจังหวะออกตัวเร่ง และ การทำงานของเกียร์ ซึ่งเครื่องยนต์บล๊อกเล็ก แต่ก็ให้การตอบสนองต่ออัตราเร่งได้ ค่อนข้างดี ไม่ได้ขี้เหล่นัก กับการทำงานของเกียร์ CVT ซึ่งค่อนข้างไปแบบต่อเนื่องๆ ถ้าขับแบบกระแทกคันเร่ง ขยี้แบบในสนามแก่งกระจานนี้ ดูจะไม่ค่อยเหมาะกับนิสัยของเจ้าเกียร์ CVT นี้นัก ที่ต้อง Kick Down ลงกันบ่อยๆ ในส่วนของน้ำหนักแป้นเบรก ถือว่าทำได้ Ok ซึ่งโดยส่วนตัวชอบน้ำหนักของการเซ็ตเบรกของ เจ้า Brio กับ 1.2 ลิตร ซีดาน คันนี้มากกว่า เบรกของ Jazz ที่เป็น ดิสก์เบรก 4 ล้อเสียอีก เพราะกับน้ำหนักเท้าแบบผม มันสั่งหยุดได้ดีกว่า Jazz ในจังหวะที่ถึงไพล่อน แล้วกดเบรก ก่อนที่จะหักโยนพวงมาลัยเข้าโค้ง มันสามารถหยุดม้า ราว 90ตัวนี้ได้อยู่ เลยทีเดียว สำหรับพวงมาลัยนั้น ให้น้ำหนักที่เบามือดี แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นหน่อย น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นนิด ยังดูว่าเบาอยู่ การหักเลี้ยวโยนเข้าโค้ง ยังดูไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่ก็ตามประสาของพวงมาลัย Eco Car ซึ่งไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีกว่านี้มากมาย ซึ่งทำได้เท่านี้ กับการใช้งานที่ถูกล๊อคความเร็วที่ 145กม./ชม. ดูจะเพียงพอแล้วล่ะ ส่วนช่วงล่าง ถือว่าตามราคาที่คิดไว้ คือ ไม่ได้หนึบอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้ดูแย่ ถ้าเทียบกับที่คิดไว้ ถือว่า มันเกาะอยู่กว่าที่คิดด้วยซ้ำ ในจังหวะเข้าโค้งแบบหักศอก รถมีการโยนตัวมาก ตามประสาไม่แปลกใจนัก แต่อาการ Under Steer จะออกเลย เมื่อเข้าที่ความเร็วเยอะเกินไป ซึ่งต้องคอยถอนคันเร่ง เพื่อให้เอารถอยู่ในไลน์สนาม โดยรวมๆแล้ว อย่างที่ได้บอกไปว่า รู้สึกไม่ต่างจากตัว Brio จากที่เคยได้ขับมาเพียงเล็กน้อย ซึ่งถือว่าทำได้ตามที่คาดหวังไว้ ทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง แต่การเซ็ตแป้นเบรกดีกว่าที่คิด
สรุป ถึงแม้จะยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ รวมถึงชื่อรุ่น ก็ตาม แต่กระแสที่เรียกกันว่า Brio Sedan นั้น ดูจะเป็นคำนิยาม ที่ใช้แทนเจ้ารถคันนี้ได้อย่างถูกต้อง เพราะทั้งภายนอก, ภายใน ยันไปถึงข้อมูลทางเทคนิค เครื่องยนต์, เกียร์, เบรก และช่วงล่างที่เหมือนกันจนแทบจะไม่เห็นความต่าง ซึ่งสำหรับเจ้ารถ 1.2 ลิตร ซีดานใหม่ คันนี้ มันก็มีกลุ่มตลาดของมันอยู่แล้วล่ะ คือ กลุ่มคนที่ต้องการรถ Eco Car แบบ 4 ประตู ที่ไม่ใช่ Almera ซึ่งโจทย์ต่อไป คือจะทำยังไง ที่ตีกลุ่มตลาดนี้ มาจาก Almera ให้ได้ ซึ่งโดยส่วนตัว อยากให้มีการจับยัดออปชั่น ของอุปกรณ์ให้ดีกว่าตัว Brio เพราะ ในตัวของ Brio นั้นสเป็กต่ำที่สุด ใน Eco Car แล้ว ขนาดตัว Top กระจกมองข้างยังต้องใช้มือพับเลย ที่เหลือนอกจากการเติมเสริมออปชั่นเข้าไปแล้วก็ อยู่ที่ราคาว่าจะเปิดราคาแรงกว่า ตัว Hatchback อย่าง Brio มากไหม กับราคาที่ต้องอัพเพิ่มขึ้น เพื่อมาเป็นค่าความใหญ่ขึ้นของขนาดบั้นท้าย และที่เหลือก็ขึ้นกับความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งหวังว่า ทุกคนคงจะได้ไปยลโฉม เจ้าฮอนด้า 1.2 ลิตร ซีดานใหม่ คันนี้ในงาน Motor Expo ปลายปีนี้อย่างแน่นอน
ในการขับทดสอบครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ ฝ่าย PR Honda Automobile ประเทศไทย ที่ได้เชิญชวนเข้าร่วมทดสอบรถยนต์ 1.2 ลิตร ซีดานใหม่ เป็นกลุ่มแรก
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น