รีวิว 2012 Honda Civic 2.0 EL Navi ขับทดสอบ 3 วัน กว่า 600 กิโลเมตร Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว 2012 Honda Civic 2.0 EL Navi ขับทดสอบ 3 วัน กว่า 600 กิโลเมตร

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 13 November 2555

หลังจากเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสทดลองขับ All-New Honda Civic 1.8 E Navi แบบเบาๆสั้นๆ ไปเป็นที่เรียบร้อย มาในคราวนี้ได้มีโอกาสลองขับ All-New Honda Civic แบบเต็มๆกันอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เป็นตัว 2.0 ซึ่งได้อยู่ด้วยกันยาวถึง 3 วัน เนื่องจากทาง Honda ประเทศไทย ได้ให้รถมาเพื่อขับเดินทางไปยังเพชรบุรี เพื่อร่วมทดสอบรถยนต์ 1.2 ลิตร ซีดานใหม่ ที่ Honda จะเปิดตัวในเร็วๆนี้ จึงได้ถือโอกาสทำ Test Drive เพื่อ Review ไปด้วยเลยทีเดียว กับ “progressive soul” All-New Honda Civic 2012

ครั้งนี้ต้องขอขอบคุณทางทีม PR ของ Honda Automobile ประเทศไทย อีกครั้ง ที่ได้เชิญชวนให้ไปร่วมทดสอบรถยนต์ 1.2 ลิตร ซีดานใหม่ รวมถึงได้เอื้อเฟื้อ รถคันนี้มาให้ใช้เป็นเวลาร่วม 3 วัน ให้ใช้เพื่อเดินทางไปยังเพชรบุรี สำหรับรถคันที่ได้มานี้เป็น Honda Civic 2.0 EL Navi สีขาว Frosty White Metallic ซึ่งได้นำมาวิ่งเป็นระยะทางเกือบ 600กม. โดยได้เติมน้ำมัน ที่ระยะการวิ่ง 512.5กม. เติมน้ำมันเข้าไป 41.77ลิตร อัตราสิ้นเปลือง = 12.27กม./ลิตร ถือว่าทำได้ดีเกินคาด เนื่องจากในการขับทดสอบในทริปนี้ไม่ได้เน้นขับแบบประหยัดน้ำมันแต่อย่างใด มีการเหยียบกดลองอัตราเร่งสมรรถนะ เป็นส่วนมาก ส่วนในช่วงที่ขับแบบเรื่อยๆ ชิลๆ ใช้ความเร็วเฉลี่ย 110-130กม./ชม. กับน้ำมันที่ใช้เป็นชนิดแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเลชจะออกมาดีขนาดนี้ เพราะตอนแรกคาดไว้ ยังไงก็ไม่น่าออกมาเกิน 11กม./ลิตร เพราะจากสไตล์การขับที่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง รวมถึงทดลองอัตราเร่งแบบสมบุกสมบัน

DSC_1018_resize

เมื่อได้รับกุญแจมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นกุญแจอัจฉริยะแบบ Keyless ก็เดินไปที่รถ แค่เอื้อมมือไปที่มือจับประตูทางฝั่งคนขับ หรือผู้โดยสารตอนหน้า ประตูจะทำการปลดล๊อคเองอัตโนมัติ ให้ความสะดวกสบายไม่ต้องมาล้วงควานหากุญแจให้ลำบากกันเปล่าๆ เมื่อเข้ามาในรถ ภายในนั้นดูเหมือนกับตัว 1.8 E Navi แต่ต่างที่เบาะของ 2.0 จะเป็นสีดำ แต่ในรุ่น 1.8 ทุกรุ่นเบาะจะเป็นสีเบจหมด เมื่อเข้ามานั่งเรียบร้อยก็ทำการเหยียบเบรกพร้อมกดปุ่ม Push Start ทางฝั่งซ้ายของพวงมาลัย แล้วจึงปรับเบาะซึ่งเป็นแบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง ซึ่งเบาะหนังตัวนี้นั้นดูจะนั่งค่อนข้างสบาย เพราะตัวเบาะไม่ได้มีดีไซน์โอบกระชับ มีปีกหุ้มโอบไหล่มาก เน้นแบบขับสบาย เสียมากกว่าการขับแบบสปอร์ต และเมื่อปรับเบาะ, กระจกมองข้าง, กระจกมองหลัง, พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทางเรียบร้อย ก็มาปรับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า ระบบปรับอากาศของ Honda นั้นเย็นสะใจ จริงๆ โดยปกติ ผมขับรถคันอื่นทั่วๆ ไปจะปรับไปที่ 25 องศา แต่ใน All New Civic นี้ต้องปรับไปที่ 27 องศา เลยทีเดียว เพราะเย็นมากๆ เมื่อลองโยกคันเกียร์ลงมาที่ R ประตูจะทำการล๊อคเองอัตโนมัติ แต่สัมผัสได้ว่าคันเกียร์ ก้านจะยาวไปไหนไม่ทราบ ถ้าเอาเลื่อยมาเลื่อยออกได้ คงทำไปแล้ว และพลาสติกตรงคอนโซลเกียร์ ดูจะก๊องแก๊งไปหน่อย กระจกมองข้างก็ดูเล็กๆ ไปนะ ในส่วนของออปชั่น ต่างๆ ภายในจะไม่ขอพูดซ้ำ เพราะได้พูดไปแล้ว จะมีเพิ่มเติมจากตัว 1.8 E Navi ก็คือ ก้าน Paddle Shift ที่ติดมาให้ตรงพวงมาลัย ซึ่งเป็นก้านสั้นๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม พอให้ใช้นิ้วแตะลงไปได้เพียงสัก 2 นิ้วก็เพียงพอแก่การ Shift Gear และปุ่ม VSA Off ที่อยู่ด้านขวาของพวงมาลัย รวมถึง i-Side Airbags ถุงลมด้านข้างคู่หน้าที่เพิ่มเติมมาให้

DSC_0988_resize

สำหรับมุมองทัศนะวิสัย ก็ยังคงให้ความรู้สึกเช่นเดิม ตั้งแต่แรก คือ กระจกมองข้างมันช่างสั้นจริงๆ มุมมองเลยแคบสั้นตามไปด้วย สำหรับมุมมองด้านอื่นๆ นั้นก็ พอมองได้ ไม่เป็นปัญหานัก แต่ก็ไม่ถึงกับโปร่งเกินไป เนื่องจากทรงของรถค่อนข้าง Slope ลาดลง มุมมองกระจกด้านข้างทั้ง 4 บาน รวมถึงด้านหลังก็ เลยอาจจะดูมีพื้นที่ให้มองดูไม่มากนัก

ด้านพละกำลังเครื่องยนต์ เป็นแบบ SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ความจุ 1997cc ให้กำลังม้าสูงสุด 155ps@6500rpm กับแรงบิด 190Nm@4300rpm ซึ่งใน 2.0 FD ตัวเก่า เป็นระบบ DOHC (แคมคู่) ซึ่งจากความคิดเห็นโดยส่วนตัว ก็ยังคิดเหมือนเดิมว่า ที่ปรับกลับมาใช้ SOHC (แคมเดี่ยว) เพราะน่าจะให้ในเรื่องของการประหยัดน้ำมันที่ดีกว่า และการตอบสนองในรอบต่ำที่ดีกว่าด้วย ซึ่งเมื่อได้มาลองขับเจ้า FB 2.0 คันนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่ผมคิดไปเองว่า มันเป็นจริง เพราะมันเป็นรถยนต์ญี่ปุ่นขุมพลัง 2.0 ที่แรงจัดจ้านมีการตอบสนองต่อคันเร่งที่ดีมาก น่าจะเป็นที่สุดของรถญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ กดเป็นมาไม่ต้องรอรอบ จังหวะกระแทกคันเร่ง เพื้อเค้นเอาพละกำลัง ลากรอบกันจัดจ้านไปถึงราว 6500rpm ค่อยตัดขึ้นเกียร์ ความเร็วมาไวไหลขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือเรียกได้ว่า รถยนต์บ้านธรรมดาๆ ที่สามารถขับใช้งานทั่วๆไป ทั้งการเร่งแซงรถบนถนน (ถ้าไม่ได้เอาไปซัดแข่งกับใคร) มันมีมาให้อย่างเพียงพอเลย ไม่ต้องถึงขนาดต้องไปทำระบบอากาศกรอง ท่อ หรือใดๆ เพิ่มก็เอาอยู่ (ขอย้ำ! ถ้าใช้งานทั่วไป ไม่เอาไปซัดแข่งกับใครนะ) ในส่วนการทดสอบอัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. ทำได้ใน 8.08 วินาที ซึ่งใกล้เคียง CR-Z ในโหมด Normal เลย เยี่ยม! ในส่วน Top Speed ไม่มีโอกาสได้ทดลองเนื่องจากเส้นทางจราจรไม่เอื้ออำนวย 185กม./ชม. ต้องยกก่อนแล้ว ซึ่งน่าจะไปได้ 200กม./ชม. สบายๆ

สำหรับการเก็บเสียงนั้นดูไม่ค่อยดีนักความเร็ว 100กม./ชม. ขึ้นไปเริ่มมีเสียงเข้ามาให้ได้ยิน ต่อไปก็ทดสอบอัตราเร่งจากเครื่องวัด OBD II Bluetooth กันดูบ้าง ได้ค่าต่างๆ ดังนี้ 0-100กม./ชม. ได้ที่ 11.2 วินาที 1/4mile ได้ใน 17.4 วินาที ที่ความเร็ว 113กม./ชม. แรงม้าสูงสุดออกมาที่ 143.4hp@2645rpm และแรงบิด 284.7ปอนด์-ฟุต @2645rpm

- หมายเหตุ ค่าอัตราเร่งที่ได้จาก OBD นี้ วัดโดยรอในช่วงที่ถนนโล่งจึงเริ่มวิ่งออกจากไหล่ทางเข้าไปในเลนปกติ

DSC_1008_resize

ในส่วนค่าแรงม้า กับแรงบิด ได้จากการการเก็บสถิติจากเครื่องวัด ในช่วงตลอดเวลาที่วิ่งจากกรุงเทพฯ ไปยังสนามแข่งรถแก่งกระจาน

ด้านความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ได้ทำการวัดที่ 3 ค่า ดังนี้ 80กม./ชม.=1700rpm 100กม./ชม.=2100rpm 120กม./ชม.=2500rpm เกียร์ 5AT Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold System ลูกนี้ ให้การตอบสนองไหลลื่นมาดีอย่างต่อเนื่อง จังหวะเร่งมาอย่างแรง ถอนคันเร่งขึ้นเกียร์เดินรอบต่อ เกียร์ไม่ห้อย และไม่ได้รู้สึกกระชากมากมาย เหมือนอย่างที่พบใน Jazz มันทำได้นุ่มนวลไม่แพ้ CVT เลย แต่การตอบสนองของเกียร์รวดเร็วทันใจกว่ามาก ช้ากว่าเกียร์แบบ Dual Clutch ไม่มากนัก ไม่ว่าเวลาที่ต้องการกำลังแบบเร่งด่วนจากการ Kickdown เกียร์จะลดลงให้อย่างรวดเร็วไม่ต้องให้รอกันจนใจหาย ว่าแซงพ้นไหมจนหัวใจแทบวาย สำหรับโหมดการขับในโหมด D สามารถที่จะเปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายดาย เพียงกดที่ก้าน Paddle Shift ก็สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์เองได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเลื่อนคันเกียร์มาที่ S หรือถ้าอยากลากรอบ แบบไม่ตัดก็ต้องโยกมาที่โหมด S เอา ซึ่งอัตราทดทั้ง 2 โหมดนั้นเท่ากัน แต่จากที่ลองขับดูจะพบว่า ถ้ากดคันเร่งมาเร็ว และทำการจะขึ้นเกียร์โดยกด Paddle Shift แล้วมักติดที่เกียร์ 4 ขึ้น 5 เกียร์มักจะไม่ขึ้นให้ เพราะเหมือนจะรู้ว่าเราต้องการกำลังเครื่องอย่างต่อเนื่อง จึงต้องทำการถอนคันเร่งออกก่อนเล็กน้อย จึงขึ้นเกียร์ได้ โดยรวมแล้วการทำงานผสานกันระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ ใน All New Civic นี้นั้น ทำได้ดีมาก น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

DSC_1000_resize

ด้าน Handling ของพวงมาลัย นั้นดูค่อนข้างเหมือนเดิม คือ เบาดี สาวคล่องตัว ไม่เมื่อยล้า แต่ไม่ถึงกับเบาหวิวไร้น้ำหนัก เหมือนอย่างพวก Jazz เมื่อความเร็วสูงขึ้นก็ยังให้น้ำหนักที่พอดีมือ ยังไม่หนักมาก และพวงมาลัยยอมรับว่าค่อนข้างตอบสนองได้ฉับไวดี ในการหักเลี้ยวเข้าโค้ง แต่ถ้าไม่ได้ขับแบบสปอร์ตซิกแซก ไปมานัก อยากให้น้ำหนักมากกว่านี้ หนืดๆ กว่านี้หน่อย และในจังหวะเลี้ยว หรือกลับรถ พวงมาลัยคืนตัวค่อนข้างไว อาจจะต้องประคองมือเล็กน้อย ถ้าปล่อยมือทิ้งเลย รถส่ายแน่

เบรก เป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ โดยที่คู่หน้าเป็นแบบมีช่องระบายความร้อน ในส่วนฟีลลิ่งของแป้นเบรกยังคงเป็นสไตล์ ของ Honda อยู่ กดแป้นเบรกยังไงก็ยังรู้สึกไม่หนึบแน่นอยู่เท้านัก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นย่ำแย่ ขนาดเบรก Jazz กับ City เบรกอยู่กลางๆ ระหว่าง Honda City กับ Honda CR-V ซึ่งถ้าคนชอบขับแบบจี้ เบรกกระชั้นชิด ก็ต้องระวังกะระยะการเบรกให้ดีๆ แต่ถ้าขับแบบทั่วๆ ไปการลงน้ำหนักเท้าแบบปกติ ก็ไม่ได้แย่ ใช้งานขับขี่แบบปกติได้อยู่สบายๆ

Screenshot_2012-10-30-08-27-43

ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สัน สตัรท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ มัลติลิงค์ อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งช่วงล่างด้านหลัง ในตัว FD เป็น อิสระปีกนก 2 ชั้น มาในตัว FB นี้พัฒนาเพิ่มขึ้น ให้เท่าเทียมกับรถคู่แข่งในตลาดที่ขึ้นชื่อเรื่องช่วงล่าง หลายๆค่าย ทั้ง Ford Focus, Mazda 3, Mitsubishi Lancer EX ซึ่งในด้านความรู้สึกเกาะถนน ให้ความไว้ใจได้พอสมควร เทโค้งบนทางด่วนยาวๆ ด้วยความเร็วประมาณ 100กม./ชม. แต่ไม่ยักมีเสียงยางไถลออกมาให้ได้ยิน และยังไม่มีอาการหน้าดื้อออกมาให้เห็นแบบชัดเจน อาจเป็นผลจาก VSA ช่วย ตัวรถไม่ค่อยโคลงมาก เนื่องจากเซ็ตช่วงล่างออกมาแข็งพอสมควรกับรถ Compact Car ในส่วนของความนุ่มนวลของช่วงล่างนั้น ต้องขอบอกตามตรงเลยว่า มันแทบจะหาไม่มีกับพื้นถนนเมืองไทย มันค่อนข้างกระด้างมากพอสมควร การซึมซับแรงกระแทก ยังทำได้ไม่ดีนัก เวลาเจอทางที่ไม่เรียบ เช่น เนิน หรือพื้นที่ขรุขระ ต่างๆ มันแสดงออกมาโดยตรง ไม่อ่อนแรง หรือเก็บซึมซับความอดทนต่อแรงกระแทกกระทั้นเหล่านั้น คือ เรียกว่า รับมายังไง ระบายออกอย่างนั้น ชัดเจน ไม่ตอแหล ไม่เก็บอาการ ซึ่งจะว่าไปส่วนหนึ่งอาจเป็นที่ ล้ออัลลอย ขอบ 17” กับแก้มตามมาตรฐาน ที่ 45มม. ส่งผลให้ความนุ่มนวลในรถระดับนี้ดู จะหาได้ยากหน่อย ยิ่งคนชอบแต่ง ไปเปลี่ยนช๊อคอัพ ลงแม็ก 18” แก้ม 40 ละก็ ไม่เจ็บก้น ก็อาจมีท้องไส้ปั่นป่วนกันล่ะ กับพื้นถนนที่ โครตแย่ อย่างบ้านเรา อย่างว่าล่ะ ต่างประเทศเขา ขับได้เพราะถนนมันไม่แย่ขนาดบ้านเรานิ เอาล่ะครับ ทำใจถ้าอยากหล่อ อยากสวยก็ต้องอดทนต่อความลำบากกันได้ ซึ่งผมคนนึง คงไม่ทนด้วย อยากให้เป็นแก้มขนาด 50 ติดรถมาจากโรงงานมากกว่า

สรุป All New Honda Civic 2.0 ยังคงสไตล์เดิม ทั้งความจัดจ้านของเครื่องยนต์ แต่เน้นในเรื่องความประหยัดมากขึ้น ทั้งโหมด Econ และการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 อีกด้วย รวมถึงคงความสบายทั้งออปชั่นภายในต่างๆ ที่มีมาให้ และลูกเล่น จากจอ MID ที่เล่นกันไม่ครบ ในส่วนช่วงล่างที่พัฒนาขึ้นเป็นมัลติ ลิงค์ ในการยึดเกาะถือว่าทำได้ดี แต่ทำไมมันรู้สึกกระด้างจัง กับเบรกที่ยังคงเป็นสไตล์ Honda ที่ยังไม่อยู่เท้านัก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ถือว่าเป็นรถยนต์ Compact เครื่อง 2.0 ที่ชอบมากคันหนึ่ง ด้านการตอบสนองของคันเร่ง และเกียร์ที่ทำงานได้รวดเร็วฉับไว กำลังมีให้ใช้ทั้งรอบต่ำและสูง เป็นฟีลลิ่งการขับที่ยอดเยี่ยมแบบที่ผมอยากให้รถของผมเป็นเช่นนี้ แต่อย่าลืมต้องแลกกับช่วงล่าง ที่ไม่นุ่มนวลนัก กับเบรกที่ไม่ชอบเอาเสียเลย ซึ่งถึงยังไง มันก็เป็นรถที่ยอดขาย สวนกระแสกับคำพูดที่โดนดูถูกในเรื่องของความสวยงามภายนอกกันไปแล้วตั้งแต่ช่วงที่เปิดตัวแรกๆ ถึงอย่างไรมันก็เป็นรถยอดนิยมคันหนึ่งในตลาดบ้านเราอยู่ดี เพราะเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับแบบสบายๆ อัตราบริโภคไม่เข้าขั้นรุนแรง กับ สมรรถนะเครื่องยนต์ที่ขึ้นชื่อของ Honda อยู่แล้ว เป็นอะไรที่ผสานความลงตัวได้ยอดเยี่ยมทีเดียว สรุปครั้งสุดท้าย ถ้าคิดต้องการรถยนต์ 2.0 ตัว Top ในตลาดที่มีกำลังเครื่องให้ใช้ยามที่ต้องการจะเรียก และเป็นรถตลาดที่อะไหล่ ศูนย์บริการ หาง่าย แต่งสวย ของแต่งเพียบ จะนั่งขับแบบหล่อๆ ชิลๆ แอร์เย็น พร้อมด้วยของเล่นภายในที่มีให้เพียบพร้อม คุณก็ไม่ควรพลาดกับ All-New Civic 2.0 คันนี้

Screenshot_2012-10-30-08-56-34

Honda Civic 2012 มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ ขาว Frosty White Metallic, ขาว Taffeta White, เงิน Alabaster Silver Metallic, เทา Polished Metal Metallic, ดำ Crystal Black Pearl, น้ำตาล Urban Titanium Metallic

สำหรับราคาทั้ง 5 รุ่นย่อย มีดังนี้ 1.8 S MT ราคา 773,000 บาท 1.8 S AT ราคา 828,000 บาท 1.8 E AT 909,000 บาท 1.8 E Navi ราคา 964,000 บาท 2.0 EL AT Navi ราคา 1,124,000 บาท

Screenshot_2012-10-30-08-09-10

ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ