Mercedes-Benz ยกระดับขีดจำกัดของซูเปอร์คาร์ SLS AMG ขึ้นไปอีกขั้นด้วยการมอบหมายให้ AMG พัฒนาเวอร์ชั่นพิเศษ “Black Series” ถ่ายทอดพันธุกรรมมาจากรถแข่ง GT3 ภายใต้นิยามว่า “ที่สุดของสมรรถนะจากสนามแข่ง เพื่อประสบการณ์ขับขี่อันเร้าใจสุดขีด” เผยโฉมอย่างเป็นทางการเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SLS AMG GT Black Series ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังบล็อก V8 ความจุกระบอกสูบ 6.2 ลิตร ผลิตพละกำลัง 622 แรงม้า มากกว่าเดิม 39 แรงม้า แต่แรงบิดน้อยกว่าเดิม 11 ฟุตปอนด์ลงไปอยู่ที่ 468 ฟุตปอนด์ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 3.6 วินาที เร็วกว่าเดิม 0.1 วินาที
จากตัวเลขพละกำลังและอัตราเร่ง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เหนือชั้นกว่ารุ่นสแตนดาร์ดเท่าใดนัก แล้วอะไรคือความพิเศษของ 2014 SLS AMG Black Series คันนี้?
Mercedes-Benz และ AMG บรรยายไว้ยืดยาวว่า ขุมพลัง V8 ได้ถูกโมดิฟายด์เพิ่มเติมเพื่อให้รอบเครื่องยนต์จัดจ้านยิ่งขึ้นอยู่ที่ 8,000 รอบ/นาที จากเดิมอยู่ที่ 7,200 รอบ/นาที ด้วยการปรับเปลี่ยนแคมชาฟท์ใหม่ พร้อมกับโมดิฟายด์พอร์ทไอดีเพื่อความไหลลื่นของอากาศและปรับจูนระบบ ECU ของเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมดด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น วิศวกรของ AMG ยังทำการปรับแต่งเพลาข้อเหวี่ยง เปลี่ยนแบร์ริ่งแคมชาฟท์ ปรับระยะช่วงชัก ใช้ปั๊มน้ำมันใหม่และโมดิฟายด์ระบบหล่อความเย็นน้ำและน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์และเกียร์ทำงานอย่างราบรื่นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เครื่องยนต์ V8 ยังติดตั้งบนแท่นเครื่องแบบพิเศษซึ่งอัดแก๊สเพิ่มความยืดหยุ่น AMG ระบุว่าจะช่วยถ่ายเทน้ำหนักโหลดได้ดีกว่าเดิมสำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง ขณะที่ท่อไอเสียเปลี่ยนมาใช้แบบไทเทเนียมน้ำหนักเบากว่าเพียง 17 กก.เท่านั้น อีกทั้งยังให้สุ้มเสียงที่เร้าใจกว่าเดิมอีกด้วย
การปรับแต่งตัวถังและแชสซีส์ยังเน้นลดน้ำหนัก อย่างฝากระโปรงหน้า แผงด้านหลังเบาะที่นั่ง พื้นตัวรถ ท่อทางเดินของเครื่องยนต์และห้องเกียร์ถูกผลิตขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์น้ำหนักเบาทั้งหมด นอกจากนี้ ทีมวิศวกรได้เปลี่ยนแบตเตอรี่สตาร์ทเตอร์มาเป็นลิเธียม-ไอออน ลดน้ำหนักลงได้ 7.9 กก. ทั้งหมดทั้งปวงทำให้ตัวถังของ Black Series เบากว่ารุ่นสแตนดาร์ดราว 70 กก.
ชุดเกียร์ดูอัลคลัตช์ AMG Speedshift DCT 7 สปีดถูกติดตั้งในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเดิม 1 ซม.เพื่อลดศูนย์ถ่วงของตัวรถลง ระบบการขับขี่ยังเป็นแบบสี่โหมดเหมือนเดิม แต่เพิ่มการตอบสนองให้ฉับไว้ยิ่งขึ้น โดเฉพาะในโหมด “Manual” และ “Sport Plus” การเปลี่ยนเกียร์จะรวดเร็วขึ้นและลิ้นปีกฝีเสื้อจะทำงานได้ดุดันกว่าเดิม
ในส่วนของช่วงล่างแม้จะยังเป็นโครงสร้างปีกนกคู่เหมือนเดิมแต่ถูกปรับเซ็ทใหม่เพิ่มความเหนียวแน่น ขณะที่พวงมาลัยก็ถูกอัพเกรดความเฉียบคมยิ่งขึ้นอีกด้วย ฐานล้อคู่หน้าและหลังขยายให้กว้างขึ้น 2 ซม.และ 2.3 ซม.ตามลำดับพร้อมกับปรับตำแหน่งเหล็กกันโคลง ซึ่ง AMG เคลมว่าช่วยเพิ่มความปราดเปรียวมากขึ้นถึง 50% ขณะที่ระบบเบรกเป็นแบบคาร์บอนเซรามิกน้ำหนักเบาและประสิทธิภาพสูง
นอกจากระบบวิศวกรรมแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกยังโดดเด่นสะดุดตาสไตล์ AMG เช่นเดิมด้วยชุดแต่งรอบคัน สปอยเลอร์หลังและดิฟฟิวเซอร์รีดอากาศที่กันชนท้าย ส่วนล้ออัลลอยเป็นแบบ 10 ก้านขนาด 19 นิ้วที่ด้านหน้าหุ้มยาง 275/35 R19 และ 20 นิ้วที่ล้อคู่หลังสวมทับด้วยยาง 325/30 R20 ของ Michelin Pilot Cup 2
ในห้องโดยสารดุดันสไตล์รถแข่งด้วยหนังพรีเมียมสีดำ “designo” พร้อม Alcantara ที่มีให้เลือกทั้งสีดำและแดง พวงมาลัยแบบตัดตรงที่ด้านล่างหุ้ม Alcantara เช่นกัน กระชับมือและให้ความรู้สึกเรซซิ่งขนานแท้
ระบบเครื่องเสียงเต็มพิกัดของแบรนด์ Bang & Olufsen BeoSound กำลังขับ 1,000 วัตต์ผ่านลำโพง 11 ตัว ลูกค้ายังสามารถถอดระบบมัลติมีเดีย COMAND ออก แล้วใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ปิดไว้แทนได้ เพื่อที่จะสร้างบรรยากาศแบบรถแข่งอย่างแท้จริงและสามารถลดน้ำหนักตัวรถลงได้อีก 6 กก.
ความคิดเห็น