BMW กำลังอยู่ในช่วงเวลาเฉลิมฉลองการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าครบรอบ 40 ปีเต็ม ซึ่งเปิดฉากครั้งแรกที่การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ปี 1972 BMW ประกาศเปิดตัวรถไฟฟ้าต้นแบบสองคันในชื่อรุ่น 1602 Electric มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบตะกั่ว-กรด (lead-acid) 12 โวลต์และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 43 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม.ในเวลา 8 วินาที ความเร็วสูงสุด 100 กม./ชม. สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 30 กม.จากการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง
ในปี 1975 BMW แนะนำ LS Electric ที่มาพร้อมระบบคืนกำลังไฟขณะเบรกและตัวชาร์จไฟออนบอร์ดติดรถ ใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์จำนวน 10 ตัวและมอเตอร์ไฟฟ้าให้พละกำลังสูงสุด 23 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม.ในเวลา 11.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 65 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 30 กม.
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ยักษ์ใหญ่จากบาวาเรียเริ่มต้นพัฒนา 325iX Electric ที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียม-ซัลเฟอร์ ซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดราวสามเท่าตัว 325iX ถือเป็นรถไฟฟ้าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 30 แรงม้า ใช้เวลา 9 วินาทีในการเร่ง 0-50 กม./ชม. ท็อปสปีดอยู่ที่ 100 กม./ชม. พัฒนาการอันก้าวกระโดดคือการสามารถขับเคลื่อนได้ระยะทางถึง 150 กม.จากการชาร์จไฟเต็มแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง
ผลพวงจากการพัฒนา 325iX Electric ทำให้ BMW ต่อยอดไปสู่รถพลังงานไฟฟ้าที่มีความสำคัญอีกหนึ่งรุ่น นั่นคือรถต้นแบบ E1 เปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 1991 ใช้โครงสร้างอลูมิเนียมและตัวถังพลาสติกน้ำหนักเบา ติดตั้งแบตเตอรี่โซเดียม-ซัลเฟอร์ให้พละกำลังสูงสุด 43 แรงม้า มีอัตราเร่งดีขึ้น 0-50 กม./ชม.ในเวลา 6 วินาที ความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 120 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทางไกล 150 กม.
หลังจากนั้นไม่นาน BMW เปิดตัว 325 รถพลังงานไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียม-นิกเกิล คลอไรด์ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงม้าสูงสุด 61 ตัว ทำอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม.ภายใน 6 วินาที ความเร็วสูงสุดขยับขึ้นไปที่ 135 กม./ชม. ขับขี่ได้ระยะทาง 150 กม./ชม.
สำหรับในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา BMW แนะนำ MINI E และ BMW ActiveE ผลิตจำนวนจำกัดมีเป้าหมายเพื่อสะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาของบริษัท และเป็นการปูทางสู่การผลิตรถพลังงานไฟฟ้าครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์อย่าง BMW i3 ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2013 ถึงต้นปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ควรจับตามองอย่างใกล้ชิด
ความคิดเห็น