เมื่อย้อนนึกไปถึงสมัยที่ได้หัดขับรถยนต์ครั้งแรก ทุกๆคนอาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนอาจเริ่มจากรถยนต์เก๋งคันเล็กๆ หรือบางคนอาจจะเริ่มจากรถกระบะ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้หัดขับรถยนต์คันแรกเป็น Premium MPV บ้าง ซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้น เพราะรถที่ผมได้ขับเป็นคันแรก นั่นคือ Honda Odyssey Generation แรก ตัว Top นำเข้าจากญี่ปุ่น ขับเคลื่อน 4WD ซึ่ ณ ตอนนั้นถือว่าโชคดีมาก ที่ทางบ้านได้รถมาก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษี ซึ่งทำให้ราคาตัวรถจะเพิ่มไปอีกเป็นแสนบาทเลยทีเดียว กับราคา ณ เวลานั้นได้มาราวๆ 1.6 ล้านบาท แต่ในโฉมปัจจุบันนั้นราคาได้ทะลุไปไกลแพงกว่ารุ่นแรก เป็นล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับสิ่งที่ผมประทับใจมากจนลืมไม่ลง ก็คือ ช่วงล่างอันยอดเยี่ยมนุ่มนวล แบบที่ขับรถยนต์ญี่ปุ่นคันอื่น ก็หาความนิ่มนุ่ม นั่งสบายไม่ได้เท่านี้ (ถ้าไม่ใช่รถยุโรปนะ) รวมถึงห้องโดยสารภายในที่ใหญ่โตโอ่อ่า นับตั้งแต่ Honda Odyssey ได้ถือกำเนิดมา จนมาถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลานานร่วม 15 ปีแล้ว มันได้เปลี่ยนโฉมจนมาถึงรุ่นปัจจุบัน ซึ่งถือเป็น Generation ที่ 4 แล้วคุณงามความดีในเรื่องความนุ่มนวลของช่วงล่าง และความสบายระดับ Premium MPV นั้นจะดีมากขึ้นเพียงใด กับค่าตัวที่แพงขึ้นร่วมล้าน คงต้องเชิญตามสัมผัสดูกับ Honda Odyssey 2012 คันนี้
รูปลักษณ์ภายนอก นับตั้งแต่ Honda Odyssey Gen1 จนมาถึง Gen2 ดูจะไม่มีอะไรที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากนัก จวบจนมาถึงตัว Gen3 ได้พลิกโฉมภาพลักษณ์นั้นต่างกันไปลิบลับ จากรถที่ดูอวบอ้วนเทอะทะ เหมือนรถคนแก่ กลับเป็นรถที่ดูเพรียวตัวขึ้นรูปทรงสปอร์ตขึ้นทั้งดีไซน์กันชนหน้า-หลัง, ไฟหน้า-ท้าย รวมถึงท่อไอเสียคู่ ซึ่งดูๆไปแล้ว มันจะให้อารมณ์สปอร์ตยิ่งกว่ารถยนต์ Sedan หลายๆคันเสียอีก สำหรับในตัว Gen4 นี้นั้น ก็ได้ดีไซน์พัฒนาต่อจาก Gen3 ให้ดูสวยงามขึ้นไปอีก ในส่วนของกันชนหน้า ดูดีขึ้นหน้าไม่ตัดเหมือนตัว Gen3 ซึ่งผมมองครั้งแรกนึกถึงหุ่น R2-D2 ในเรื่อง Star Wars ทันที แต่มาในตัวนี้มันดูดีขึ้นมาก ในส่วนของไฟท้ายได้เปลี่ยนจากทรงสามเหลี่ยม เป็นไฟ LED แบบทรงสี่เหลี่ยมพาดยาวมาถึงฝากระโปรงหลัง ซึ่งดูให้อารมณ์สปอร์ตมากๆ และเมื่อรวมกับท่อไอเสียคู่ทางด้านท้ายแล้ว ดูลงตัวมาก ซึ่งต้องขอติกับการดีไซน์ท่อไอเสียแบบหลบซ่อนของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากทาง Honda ไม่ว่าจะเป็น CR-Z หรือ Civic FB มันทำให้รถดูไม่ดุ ดูไร้เรี่ยวแรงเหมือนไม่มีพละกำลัง แต่ใน Odyssey นี้แสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่แฝงอยู่ภายในถึงแม้จะอยู่ในคราบ MPV ก็ตาม เมื่อมองเลยมาถึงด้านบนพบคิ้วสปอยเลอร์ พร้อมไฟเบรกอยู่ด้านบนซึ่งดูขนาดกำลังดีไม่ใหญ่จนเกินไป เสริมความสปอร์ตและรับกับหลังคาที่เทลาดลงทางด้านหลังเป็นอย่างดี นอกนั้นก็จะมีเส้นสายตรงบริเวณด้านท้ายของรถตรงแถวฝาถังน้ำมัน ซึ่งทำให้ดูมีเหลี่ยมคมขึ้นเพิ่มมิติให้ดูดียิ่งขึ้น แต่ก็แอบเสียดายที่ไม่เป็นโป่งนูนออกมาอย่างชัดเจน เพราะรถที่มีโป่งนั้นจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งมีพลังดูบึกบึน เหมือนกับคนที่มีมัดกล้ามใหญ่ๆ ไม่ได้ดูผอมลีบ สำหรับในส่วนของอุปกรณ์ภายนอกนั้น ต้องขอบอกก่อนว่ารุ่นที่ทาง Honda Automobile นำมาจำหน่ายนี้เป็นรุ่น JP ซึ่งมีเพียงรุ่นเดียว คือการนำ Option ของ Odyssey ตัวนอก Version ธรรมดายกมา และมีปรับแปลงบ้างเล็กน้อย ซึ่งไม่ใช่ตัว Luxury ดังนั้น Option ต่างๆ ก็จะมีให้น้อย ไฟหน้านั้นเป็นแบบโปรเจ็คเตอร์ แต่ไม่มีที่ฉีดน้ำล้าง แถมยังเป็นแบบ Halogen อีกไม่ใช่ HID ไฟตัดหมอกก็ไม่มีมาให้ กระจังหน้านั้นเป็นโครเมียมโครมดำ มือจับประตูเป็นโครเมียม กระจกมองข้างพับไฟฟ้าและมีไฟเลี้ยวในตัว สำหรับล้อแม็กเป็นขนาด 16” หุ้มด้วยยาง Yokohama Aspec ขนาด 215/60 16” ถ้าได้ซักขอบ 17” คงจะสวยขึ้น เพราะขนาด 16” ดูซุ้มล้อจะโล่งไปนิด
รูปโฉมภายใน จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Option นั้นถูกตัดไปเยอะ วัสดุภายในนั้นจึงเป็นผ้า แถมด้วยเบาะปรับแบบมือโยกที่มาพร้อมที่วางแขนแบบพับได้ พวงมาลัย 3ก้านหุ้มหนัง ปรับระดับได้ 4ทิศทาง มีเพียงปุ่ม Cruise Control ติดมาให้ แต่ไม่มีปุ่ม Multifunction ไว้ควบคุมเครื่องเสียง และไม่มี Paddle Shift ให้เล่น มีปุ่มเซ็ตทริปกับดูมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองหลบอยู่ทางซ้ายมือของพวงมาลัย และมีปุ่ม Econ mode ให้มาทางขวามือ บริเวณคอนโซลหน้าแผงข้างประตูถูกตกแต่งด้วยลายไม้ แผงบังแดดคู่หน้า มาพร้อมกับกระจกแต่งหน้าและมีไฟส่องสว่างให้ แต่เสียดายที่ไม่มีช่องเก็บแว่นตาให้บริเวณไฟส่องแผนที่ด้านหน้า สำหรับระบบปรับอากาศนั้นเป็นแบบอัตโนมัติ 3ตอน สำหรับหน้าจอเครื่องเสียงเป็นตัวเดียวกันกับ Civic และ CR-Z หน้าจอขนาด 5” พร้อมระบบ Navi ในตัว มาพร้อมกับลำโพงทั้งหมด 6ตัว ที่คั่นระหว่างเบาะคู่หน้าเป็นโต๊ะอเนกประสงค์แบบพับได้ ในเบาะแถว 2 สามารถพับได้ แบบ 40:20:40 ซึ่งพับแบบ 20 ลงมาเป็นที่เท้าแขนพร้อมที่วางแก้ว และในเบาะแถว 3 พับได้แบบ 50:50 โดยควบคุมโดยสวิทช์ไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกสบาย
เครื่องยนต์ ขนาด 2.4 ลิตร DOHC 4สูบ 16วาล์ว กับระบบ i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 180แรงม้า@6500rpm กับแรงบิด 218Nm@4500rpm รหัส K24 ซึ่งเป็นบล๊อกเดียวกันกับ Accord และ CR-V แต่มีอัตราส่วนกำลังอัดที่ต่างกับตัว CR-V ใน Odyssey และ Accord จะอยู่ที่ 10.5:1 แต่ CR-V จะน้อยกว่าอยู่ที่ 10.0:1 และแรงม้าของ CR-V 2.4 นั้นจึงถูกทอนลงไป 10ตัว ซึ่งคงต้องรอชมกันกับเครื่องยนต์ Honda ว่าจะมีการขยับตามไปเล่นไซส์ 2.5 ลิตร เหมือนอย่างคู่แข่งที่ปรับความจุขึ้นไปกันหมดแล้วไหม แต่ถึงอย่างไรก็อาจไม่มีความจำเป็นมากนัก เพราะเครื่องยนต์ของ Honda ได้ชื่อเรื่องความแรงจัดจ้านขับสนุกอยู่ดีแล้ว คงต้องมาลุ้นดูกันต่อในปีหน้ากับการเปิดตัว All New Honda Accord ว่าจะมีเครื่องยนต์บล๊อกใหม่เข้ามาหรือไม่ หรืออาจจะมีต Hybrid เพิ่มมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้นำไปใช้ในตัว Honda Odyssey ใน Generation ที่ 5 กันต่อไปอีกด้วย
ระบบส่งกำลังและการควบคุม เกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ 5 Speed 5AT grade logic control ที่พบในรถยนต์รุ่นอื่นๆของ Honda เช่นเคย ซึ่งดูจะให้การตอบสนองได้ดีกว่าเกียร์ CVT ถึงแม้ความนุ่มนวลจะไม่เท่าก็ตาม ด้านพวงมาลัยแน่นอนว่าต้องเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ซึ่งมากับวงเลี้ยวที่มีรัศมีอยู่ที่ 5.4เมตร
ระบบเบรกและระบบกันสะเทือน ระบบเบรก เป็นดิสก์เบรก 4ล้อ คู่หน้าเป็นแบบมีช่องระบายความร้อน ขนาดจานเบรก 300มม. สำหรับจานเบรกของ Odyssey นี้ถือว่าเป็นจานที่มีขนาดใหญ่ จึงมักเป็นที่นิยมของบรรดา Civic ที่อยากใส่จานขยายทั้งหลาย ซึ่งไม่ต้องการแปลงอะไรมากมาย และยังให้ความหนึบได้ดีกว่า ในส่วนของระบบกันสะเทือนที่เป็นจุดขายของเจ้า Odyssey มาแต่ไหนแต่ไร เป็นแบบอิสระ 4ล้อ ปีกนกคู่ ดับเบิลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งคู่หน้า-หลัง ซึ่งการที่ใช้ช่วงล่างอิสระทั้ง 4ล้อ ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซับแรงและความนุ่มนวลดีกว่ารถยนต์ทั่วไป ที่เป็นแบบคานแข็ง ทางด้านหลัง และเป็นแบบปีกนกชั้นเดียวทางด้านหน้า ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างมาก จึงไม่แปลกที่ Honda Odyssey นั้นขึ้นจะโดดเด่นในเรื่องช่วงล่างความนุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไร
ระบบความปลอดภัย มีมาให้เพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS, EBD ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS, ถุงลมด้านข้างคู่หน้า I-Side Airbags, ม่านถุงลมด้านข้าง เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ กุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย แต่กลับไม่มีระบบ VSA ที่ช่วยในการทรงตัวมาให้
ขับทดสอบระยะทางกว่า 600กม. เส้นทาง กรุงเทพ-มวกเหล็กสระบุรี
สำหรับการขับรถทดสอบในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณพี่ PR Honda Automobile อีกครั้ง ที่เอื้อเฟื้อรถมาให้ทางเราได้ทดสอบกันมาโดยตลอด สำหรับในครั้งนี้เป็นรถยนต์ Honda Odyssey รุ่นล่าสุด ซึ่งได้นำมาทำตลาดเพียงรุ่นเดียว คือ JP ซึ่งได้เปิดตัวไปพร้อมกับรถยนต์นำเข้าอีก 2 รุ่น คือ CR-Z และ Stepwagon Spada สำหรับคันนี้เป็นรถของทางการตลาด เป็นสีเทาเมทัลลิก Polished Metal Metallic กับระยะทางที่ใช้เดินทางทั้งหมดเกือบ 700กม. แต่ในช่วงคำนวณ อัตราสิ้นเปลืองวิ่งไปทั้งหมด 324.7กม. แต่ขอบวกระยะทางอีก 2กม. เพื่อคิดเป็นระยะจากปั๊มน้ำมันกลับมาที่ Honda สำนักงานใหญ่ อุดมสุข เติมน้ำมันกลับเข้าไป 28.865 ลิตร คิดอัตราสิ้นเปลืองได้ 11.32กม./ลิตร น้ำมันที่ใช้เป็นน้ำมันแก้สโซฮอล์ 91 โดยในช่วงประมาณ 150กม.แรก วิ่งใช้งานในตัวเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งการจราจรมีทั้งปานกลางและติดบ้างพอสมควร หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าออกไปยัง มวกเหล็ก สระบุรี ซึ่งตลอดการเดินทางนั้นมีผู้โดยสารอีก 1 คน กับกระเป๋าสัมภาระอีกเล็กน้อย สไตล์การขับขี่ใช้โหมด Econ ตลอด และในช่วงวิ่งทางโล่งรักษาความเร็วเฉลี่ย 90-100กม./ชม. ซึ่งกับตัวเลขที่ได้นี้ ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่คาดไว้ในใจ อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ กับเครื่องยนต์ที่จัดจ้านขับเอามันได้ และมีม้าถึง 180ตัว
เมื่อเซ็นต์เอกสารรับรถเสร็จ ทางพี่ทีมงานก็ได้ เดินมาส่งที่รถพร้อมสตาร์ทกุญแจให้ แต่เมื่อเห็นกุญแจ โอว! ทำไมมันช่างเหมือนกับกุญแจของ Jazz อย่างกับแกะ อย่างน้อยไม่มีระบบ Keyless ให้ก็ทำเป็น Flip key แบบ Civic หน่อยก็ยังดี เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็ทำเอาอึ้งไปอีกเล็กน้อย เพราะสิ่งแรกที่เห็นเบาะนั้นเป็นวัสดุผ้า และเมื่อขึ้นมานั่งจะปรับเบาะก็ดันเป็นแบบมือโยกอีก ก่อนที่จะกดเปิดเครื่องปรับอากาศด้วยปุ่ม Auto แล้วจึงปรับกระจกมองข้าง, มองหลัง เรียบร้อย ปลดเบรกเท้า เตรียมเข้าเกียร์เดินทางกันได้ โดยปกติแล้วเมื่อเข้ามาที่เกียร์ R หน้าจอเครื่องเสียงก็ควรที่จะตัดภาพมาที่กล้องด้านหลังแต่คันนี้ไม่ การไม่มีกล้องมองหลัง เวลาถอยก็เหนื่อยเอาเรื่องเพราะ รถยาวเกือบ 5 เมตร แถมไม่มีกระจกมองหลังที่ช่วยในการกะระยะถอยให้อย่าง Odyssey Gen1 ของผมอีก ทางที่ดีไปหาติดกล้องเองข้างนอกเอาไม่กี่พันบาทแก้ไขแทนละกัน เมื่อขับไปสักพักอยากจะปรับเสียงจากหน้าจอเครื่องเสียง พอหันมามองที่พวงมาลัย ไม่มี Multifunction ทางด้านซ้าย มีแต่ Cruise Control ให้ทางด้านขวาเท่านั้น ทำเอาเซ็งต่ออีก ที่ต้องมาเลือกจิ้มเอาจากหน้าจอเครื่องเสียง แต่ให้ตายสิ มันไกลมือจนเกินเอื้อมเลย ต้องยืดกันสุดแขนแถมด้วยเอื้อมตัวเอี้ยวสันหลังออกมาเพื่อจะได้กดถึง ซึ่งแผงสวิทช์เครื่องปรับอากาศตรงคอนโซลกลาง รวมถึงปุ่มสวิทช์ฉุกเฉินนั้นตำแหน่ง ก็ไกลเกินเอื้อมที่จะใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย แผงหน้าปัดโทนสีฟ้าตรงกลางเป็นมาตรวัดความเร็ว ซึ่งบริเวณขอบนอกจะมีแถบสีเพื่อแสดงนิสัยการขับขี่ เป็นเส้นเล็กๆ อยู่ทั้ง 2ด้านซ้าย-ขวา ทางด้านซ้ายจะเป็นวัดรอบเครื่องยนต์ แบบครึ่งเสี้ยว และด้านขวา จะเป็นเกจ์น้ำมัน และเกจ์บอกความร้อนเครื่องยนต์ และที่ลืมไม่ได้ ปุ่ม Econ Mode ทางด้านขวามือ แต่ไม่มีปุ่ม VSA off เพราะรถคันนี้ไม่มีระบบช่วยการทรงตัว หันกลับมาที่พวงมาลัย 3 ก้านทรงอวบอั๋นที่ดูทรงจะแปลกตาไปสักหน่อย ทางด้านหลังก็ไม่มี Paddle Shift เอาไว้ให้กดเล่น เพราะไม่มีโหมด S มาให้ สำหรับเบาะตอนหน้า ระหว่างผู้ขับกับผู้โดยสาร ขั้นด้วยโต๊ะอเนกประสงค์แบบพับได้ พร้อมที่วางแก้ว กับช่องเก็บของซึ่งดูจะใช้ได้ไม่เต็มพื้นที่นัก เบาะตอน 2 สามารถพับได้พร้อมที่เท้าแขนและวางแก้ว และไฮไลท์อยู่ที่เบาะตอนท้ายที่สามารถพับได้ด้วยปุ่มปรับไฟฟ้า ไม่ต้องมาโยกพับกันให้เมื่อยตัวเหมือนรุ่นก่อนๆ อีกต่อไป สำหรับเครื่องปรับอากาศตอนหลัง มีทั้งตอน 2 และ ตอน 3 ซึ่งฝังอยู่ด้านบนของผนัง เป็นแบบวงกลม 2 วงขนาดไม่ใหญ่มาก แตกต่างกับในตัว Odyssey Gen1 ที่มีเพียงตอน 2 และยังดูดีกว่าด้วยช่องแอร์ที่มีให้ถึง 4 ช่องแบบเหลี่ยมดูจะให้ความเย็นได้สะใจกว่า แต่ถ้ามีผู้นั่งตอน 3 ก็คงต้องมาขอแอร์จากผู้นั่งตอน 2 ด้วยซึ่งอาจได้รับความเย็นไม่เต็มที่เท่าแบบที่มีมาให้ 3 ตอน
ในส่วนของวิสัยทัศน์การขับขี่ ด้านหน้าตรงกระจกบานหน้าค่อนข้างโปร่ง แต่การกะระยะจากกันชนหน้า เนื่องจากฝากระโปรงที่ดูลาดลง อาจทำให้กะลำบากหน่อย แต่ก็ไม่เท่าตัว Gen1และ2 ที่มีความลาดชันมากกว่า สำหรับเสา A คู่หน้าไม่ดูหนามาก จึงไม่บังในจังหวะกลับรถมากนัก สิ่งที่ดูจะเป็นปัญหาที่สุด คือ กระจกมองข้างที่ดีไซน์ออกมุมเหลี่ยมๆ กับกรอบกระจกมองข้างพลาสติกที่ยื่นออกมาค่อนข้างมาก ทำให้มุมมองนั้นยากลำบากขึ้นไป เพื่อแลกกับความสวยงาม ซึ่งเวลาจะเปลี่ยนเลน ต้องมีการเอี้ยวตัวเพื่อหาองศามองมุมกระจกมองข้างที่ชัดเจนก่อนเปลี่ยนเลน ซึ่งลำบากพอสมควร และกระจกบานหลังที่พื้นที่การมองด้านหลังไม่มากนัก เนื่องจากหลังคาตอนท้าย Slope ลาดลง นอกนั้นในมุมมองตัวรถทางด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะกระจกตอน 2 บริเวณเสา B ก็ยังไม่ดูเป็นอุปสรรคนักมองได้ปกติดี ในส่วนช่องมองกระจกด้านหลังเสา C ถึงแม้จะ มีพื้นที่ไม่มากแต่ก็ยังพอมองเห็นได้ในจังหวะเลี้ยวรถ หรือกลับรถ
สำหรับความสามารถของเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร DOHC 4สูบ 16วาล์ว กับระบบ i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 180แรงม้า@6500rpm กับแรงบิด 218Nm@4500rpm จากที่กล่าวไปข้างต้น ว่ามันก็คือเครื่องยนต์รหัส K24 ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ Accord และ CR-V นั่นล่ะ แต่อาจมีการปรับอัตราส่วนกำลังอัดให้ต่างกันไปตามความเหมาะสม สำหรับเครื่องยนต์ตัวนี้มีความจัดจ้านอยู่แล้ว ซึ่งการถูกยกมาประจำการใน Honda Odyssey Sport MPV คันนี้ ทำให้มันมีอัตราเร่งและความเร็วที่สู้กับรถยนต์ Sedan ได้อย่างสบายๆ ในขณะการขับขี่แบบปกติ จะเริ่มสัมผัสถึงแรงบิดได้ ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงประมาณ 2500rpm ขึ้นไป ดูจะมีพละกำลังมากทีเดียว เมื่อเหยียบกระแทกคันเร่งลงไป รอบกวาดขึ้นพร้อมเสียงคำรามของเครื่อง i-VTEC ฟังดูเร้าโสตสัมผัส รวมถึงแรงดึงที่มาให้สัมผัสกันที่แผ่นหลังแบบพอสมควร ไม่น้อยจนเกินไป มาลองทดสอบอัตราเร่ง 80-120กม./ชม. ทำได้ใน 8.25 วินาที ถือว่าทำได้ดีทีเดียวกับรถที่มีน้ำหนักเกินตันครึ่ง และใกล้เคียงกับเครื่อง Boxer ของ Subaru Outback มากๆ เร็วกว่ากันเสี้ยววินาที แต่เจ้า Odyssey นี้มีน้ำหนักตัวที่มากกว่า 65กก. และเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสทดสอบอัตราเร่ง และ Top Speed ดูในช่วงอื่น เนื่องจากสภาพอากาศ และเส้นทางการจราจร นั้นไม่เอื้ออำนวย ในช่วงวันที่ขอรถมาทดสอบ
ด้านความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ได้ทำการวัดที่ 3 ค่า ได้ดังนี้ 80กม./ชม.=1600rpm 100กม./ชม.=2000rpm 120กม./ชม.=2350rpm ซึ่งถือว่ามีอัตราทดเกียร์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ต่ำมาก หรือสูงเกินไป กับเกียร์ 5AT Grade Logic ที่อยู่ในรถยนต์ Honda หลายรุ่น แต่แปลกที่ในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นนั้น รู้สึกได้ว่ามีการกระตุก ไม่ว่าจะขับแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือขับแบบเอาอัตราเร่งจะกระตุกแบบรู้สึกได้ว่าเปลี่ยนเกียร์ขึ้นแล้ว ซึ่งในรุ่น Civic และ CR-V ไม่มีให้เห็น รวมถึงรถที่ใช้เกียร์ CVT อย่าง Brio ก็ยังไม่พบอาการนี้เช่นกัน มันทำให้คิดไปเปรียบเทียบกับเกียร์ของ Jazz และ City ที่จะมีการกระชากอย่างชัดเจนให้สัมผัสได้ แต่ยังดีที่ Odyssey ไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น จนทำให้ผมนึกถึงอาการกระตุกในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ของ Odyssey Gen1 ที่ผมเคยขับ มันก็ยังคงอยู่มาถึง Gen ปัจจุบัน เพียงแต่น้อยกว่าเท่านั้น แต่ในด้านการตอบสนองต่อคันเร่งนั้นทำได้ดีเช่นเคย กด Kick Down ปุป รอบตวัดมาให้ใช้ทันที และเมื่อเหยียบแช่ รอบกวาดขึ้นไปถึงราว 6500rpm ก่อนที่จะตัดขึ้นเกียร์ ซึ่งมีความจัดจ้านใช้ได้ทีเดียว แต่เสียดายที่ไม่มีโหมด S มาให้เล่นคู่กับ Paddle Shift มีเพียง 1 2 D และตรงคันเกียร์จะมีปุ่ม D3 ให้กดเอาไว้ใช้เป็นปุ่ม Overdrive แทน
ด้าน Handling ของพวงมาลัยไฟฟ้า น้ำหนักนั้นไม่ได้เบามือนัก ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ มีน้ำหนักอยู่พอสมควร เวลาสาวมือจอด ถ้าหมุนไปมามากๆ ก็ทำเอาเมื่อยมือได้เหมือนกัน สำหรับระยะฟรี และความหนืด ของพวงมาลัยที่ความเร็วสูงขึ้นนั้น ระยะฟรีมีพอสมควร ไม่มากจนเกินไป น้ำหนักค่อนข้างแน่นมั่นคง เชื่อใจได้ที่ความเร็วสูง รวมถึงจังหวะคืนพวงมาลัย จากการหักเลี้ยว พวงมาลัยไม่คืนตัวเร็วเหมือน CR-V ซึ่งทำให้เวลาคืนพวงมาลัยแบบปล่อยพรวด รถจะไม่มีอาการดีดดิ้นส่ายออกมามากอย่าง CR-V สำหรับความไวของพวงมาลัยนั้นไม่ได้เป็นพวงมาลัยที่ไว คมมากนัก เพราะเน้นขับสบายมั่นคงมากกว่า
สำหรับระบบดิสก์เบรก 4ล้อ ด้านหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน ฟีลลิ่งเบรกนั้นยัง ไม่นุ่มนวลนัก เซ็ตออกมาค่อนข้างแข็ง (CR-V ทำได้นุ่มนวลกว่า) เหยียบเบรกในตอนแรกที่ยังกะน้ำหนักไม่ชินเท้า ทำเอาหน้าทิ่ม รวมถึงสไตล์ของแป้นเบรก ยังเป็นสไตล์เดิมของ Honda คือเบรกแบบเลียๆ ค่อยๆแตะ จะเบรกไม่อยู่เท้า แต่ถ้าลงน้ำหนักเท้าค่อนข้างหนักลึก ในจังหวะเดียว จะสั่งหยุดได้ ดั่งเท้าสั่ง หนึบแน่นดีกว่า Honda รุ่นอื่นๆ อย่างแน่นอน
ช่วงล่างแบบอิสระ 4ล้อ ดับเบิลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง ดูจะเป็นจุดเด่นที่สุดของรถคันนี้ที่พึงหาความประทับใจได้แบบไม่ผิดหวัง ความนุ่มนวลนั้นเทียบเท่ารถยุโรป การซึมซับแรงกระแทกจากหลุมบ่อเนินทางขรุขระ ไม่มีให้ท้องไส้ปั่นป่วน ถ้ามีคนแก่นั่งไปด้วยไม่มีบ่นแน่นอน การเข้าโค้งก็เทได้แบบเนียนๆ รถไม่มีโคลงเคลงยวบยาบ แม้ช่วงล่างจะออกแนวนิ่มนุ่มนวล แบบสุภาพชน จากการดีไซน์ของตัวถังที่ไม่ได้สูงเหมือนตัวก่อนๆ ทำให้ จังหวะการเข้าโค้งนั้น รถไม่ดูคลอน ให้หวิวน่ากลัวกัน เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงเตี้ยลง ต้องขอขอบคุณช่วงล่างอิสระ 4ล้ออีกครั้ง ที่มอบความนุ่มนวล แบบที่หาไม่ได้ในรถยนต์ Honda รุ่นไหนอีกแล้ว รวมถึงรถยนต์ญี่ปุ่นแทบทุกคันที่เคยได้ขับมาผมว่าช่วงล่าง Odyssey นี่เยี่ยมสุดๆแล้วล่ะ
สรุป Honda Odyssey จากเดิมที่ผมเคยขับสมัย Gen1 ซึ่งดูมาดคนขับแล้ว น่าจะ Look แนวลุงแก่ๆ ผู้สูงอายุ ที่ดูเป็นคนรักครอบครัว คงดูไม่ค่อยเท่ห์นักกับวัยรุ่นที่จะต้องมาขับรถ MPV ขนาดใหญ่ และรูปทรงที่ดูเรียบๆ แต่ออกจะล้าสมัยไปซะแล้ว แต่พอตัว Gen3 เป็นต้นมารู้สึกภาพลักษณ์นั้นจะเปลี่ยนไป กลายเป็นรถสปอร์ต MPV ที่ดูสวยงามล้ำสมัยที่สุดของรถญี่ปุ่น ซึ่งดูไม่ใช่ลุงแก่อีกต่อไปแล้ว แต่ดูเป็นคนที่มีความทันสมัยรักความสปอร์ต แต่ก็ยังคงเป็น Family man ด้วยเช่นกัน สำหรับตัว JP รุ่นเดียวคันนี้ที่ถูกนำเข้ามาจำหน่ายทำตลาดเองโดย Honda Automobile ประเทศไทย กับราคาตั้งที่สูงพอสมควร แต่มันคงจะอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้มากกว่านี้ หากนำ Option อื่นๆ (ที่ควรจะมี) มาจับใส่ เพราะระดับราคาสูงขนาดนี้ แต่กลับ ไม่มีเทคโนโลยีอะไรมาให้เลย นอกจากเบาะแถว 3 พับด้วยไฟฟ้า ซึ่ง Option อื่นๆ นั้นดูจะด้อยกว่า Sub Compact ตัว Top เสียอีก ในจุดนี้มันทำให้ลูกค้านั้นคิดว่าพวกเขาได้เสียตังในราคาที่จับต้อง Mercedes หรือ BMW ได้ แลกกับ Honda Odyssey คันนี้ มันเป็นรถ Premium จริงๆ หรือ? ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไป จุดเด่นของรถคันนี้ อยู่ที่ช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม นุ่มนวล แต่ก็ยังคงยึดเกาะได้อย่างมั่นใจ นี่ล่ะดูจะเป็นจุดขายของรถคันนี้ ดังนั้นลูกค้า ที่คิดจะซื้อ Sport MPV คันนี้คงจะต้องมีโจทย์ ที่ไม่ใช่ ความหรูหรา ในระดับรถยุโรป เพราะถ้าคิดเช่นนั้น ไปซื้อ C-Class เลยจะได้แบรนด์กว่า หรือ นั่งสบายในแบบรถ Van, Wagon เช่นนั้น Step wagon ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่ามาก Odyssey คันนี้ มันมีไว้ตอบโจทย์ให้กับ คนที่รักในความสปอร์ต ทั้งภายนอก รวมถึง สามารถขับขี่ได้สนุกเร้าใจ ทั้งกำลังเครื่องยนต์ และช่วงล่างยอดเยี่ยมขั้นเทพ ที่ไม่ลืมความนุ่มนวลนั่งสบายภายในห้องโดยสาร และที่สำคัญ ต้องสามารถพาคนทั้งครอบครัวไปด้วยกันได้ในรถเพียงคันเดียว นั่นล่ะ คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์คันนี้ แต่ถ้ารถคันนี้ จัดเต็มยก Option ตัว Luxury มา ไม่ว่าจะเบาะหนังปรับไฟฟ้า, ไฟตัดหมอกหน้า พร้อมไฟหน้าแบบ HID มากับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และเซ็นเซอร์ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กล้องมองหลัง, ระบบ Keyless และ Push Start , VSA&TCS, Sunroof จะว่าไปก็เยอะเหมือนกันนะ ถ้าทั้งหมดนี้มีมาให้ ผมมองว่า ราคา 2.557ล้านบาทคันนี้ มันจะไม่ได้ดูแพงเกินไป และลูกค้าน่าจะให้ความสนใจมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
Honda Odyssey ที่ทาง Honda Automobile ประเทศไทย ได้นำเข้ามาทำตลาด มีเพียงรุ่นเดียว คือ JP กับสีตัวถังที่มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ขาวมุก (Premium White Pearl), เทาเมทัลลิก (Polished Metal Metallic), ดำมุก (Crystal Black Pearl) สนนราคาสุทธิ 2,557,000บาท
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น