ดีทรอยท์ – เชฟโรเลต เปิดตัวคอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมกำหนดนิยามใหม่ให้รถสปอร์ตสมรรถนะสูง ตอกย้ำชื่อในตำนานอย่างสติงเรย์ ที่จะต้องผสมผสานเทคโนโลยี การออกแบบและสมรรถนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ
คอร์เวทท์ สติงเรย์ 2014 ไม่เพียงเป็นรถรุ่นสแตนดาร์ดที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ด้วยพละกำลังระดับ 450 แรงม้า แรงบิด 610 นิวตันเมตร คอร์เวทท์ รุ่นใหม่ยังมีอัตราเร่งเร็วที่สุดด้วย สามารถออกตัวจาก 0-96 กม./ชม.ในเวลาต่ำกว่า 4 วินาที มีประสิทธิภาพเกาะถนนอย่างเหนียวแน่นขณะเข้าโค้งโดยสามารถสร้างแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางได้สูงถึง 1จี ไม่เพียงเท่านั้น คอร์เวทท์รุ่ นล่าสุดนี้ยังมีอัตราบริโภคน้ำมันเหนือกว่ารุ่นปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 11 กม./ลิตร ประเมินโดยหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ
“คอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นใหม่ถ่ายทอดแนวคิดมาจากสติงเรย์ รุ่นแรกเมื่อปี 1963 เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะระดับผู้นำ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย การออกแบบที่ดึงดูดทุกสายตาและมอบประสบการณ์ขับขี่อันตื่นตาตื่นใจ” มาร์ก รีอัส ประธานกรรมการจีเอ็ม อเมริกาเหนือ กล่าว “คอร์เวทท์ รุ่นใหม่ล่าสุดได้ก้าวล้ำหน้าเกินกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยการผสมผสานการออกแบบ เทคโนโลยีและระบบวิศวกรรมที่ดีที่สุดในปัจจุบัน”
คอร์เวทท์ สติงเรย์ เจนเนอเรชั่นใหม่ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรุ่นก่อนหน้าเพียงสองชิ้นเท่านั้น มาพร้อมกับโครงสร้าง แชสซีส์ เครื่องยนต์และเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุด รวมถึงการออกแบบใหม่หมดทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและห้องโดยสารภายใน โดยมีความโดดเด่น ดังนี้
• ห้องโดยสารที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ อลูมิเนียมและหนังเกรดพิเศษผลิตด้วยมือ มีเบาะที่นั่งให้เลือกสองแบบ ซึ่งล้วนใช้โครงสร้างแม็กนีเซียมน้ำหนักเบาและรองรับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างเต็มที่ พร้อมกับติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเมนท์และแสดงผลการขับขี่ขนาด 8 นิ้วสองตัว
• เทคโนโลยีสนับสนุนผู้ขับขี่อันล้ำสมัย โดยเฉพาะการเลือกโหมดการขับขี่ได้ห้าโหมด (Drive Mode Selector) ที่สามารถปรับได้ถึง 12 รูปแบบรองรับทุกสภาวะการขับขี่ ขณะที่ระบบเกียร์ธรรมดา 7 สปีดรุ่นใหม่มาพร้อมระบบประสานรอบเครื่องยนต์ Active Rev Matching ซึ่งประเมินการเปลี่ยนเกียร์และควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสมเพื่อความสมบูรณ์แบบทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์
• ขุมพลังขับเคลื่อนบล็อก V8 รหัส LT1 ความจุ 6.2 ลิตร รุ่นใหม่ล่าสุด ผสมผสานเทคโนโลยีอันก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นระบบหัวฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม ระบบการจัดการเชื้อเพลิง Active Fuel Management ระบบวาล์วแปรผันต่อเนื่องและระบบเผาไหม้ที่ทันสมัย มอบพละกำลังที่เหนือกว่าโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยลง
• ใช้วัสดุน้ำหนักเบา ทั้งฝากระโปรงและแผงหลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ใช้วัสดุผสมคาร์บอนบริเวณซุ้มล้อ ประตูและบริเวณด้านท้ายรถ ขณะที่พื้นใต้ท้องรถทำจากคาร์บอน-นาโน รวมถึงการพัฒนาเฟรมอลูมิเนียมเพื่อถ่ายเทน้ำหนักมาด้านหลัง เพิ่มรักษาสมดุลของน้ำหนักตัวรถหน้า/หลังให้อยู่ที่ 50/50 เสริมอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่อยู่แถวหน้าในระดับโลก
• รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยกรอบไฟเอชไอดีและแอลอีดี พร้อมกับรูปทรงลู่ลมตามหลัก
แอโรไดนามิกที่ถ่ายทอดจากสนามแข่ง มีแรงเสียดทานอากาศต่ำ เพิ่มศักยภาพการควบคุมและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง
• แพ็คเกจสมรรถนะสูง Z51 Performance Package รองรับการขับขี่ในสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็นเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปอิเลกทรอนิก ระบบหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง ระบบเบรกประสิทธิภาพสูง ระบบหล่อเย็นเกียร์และเฟืองท้าย รวมถึงชุดแต่งแอโรพาร์ทรอบคันเพื่อเพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ในย่านความเร็วสูง
“สติงเรย์ เป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่ได้รับยกย่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์” เอ็ด เวลเบิร์น รองประธานฝ่ายออกแบบจีเอ็ม โกลเบิล กล่าว “เราตระหนักดีว่า เราไม่สามารถใช้ชื่อสติงเรย์ได้ หากรถรุ่นใหม่นี้ไม่สามารถเทียบได้กับความยิ่งใหญ่ในอดีต คอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นใหม่ได้ฉีกกรอบดั้งเดิมพร้อมกับยังคงเอกลักษณ์ในแบบของคอร์เวทท์ ที่คนทั้งโลกรู้จัก”
คอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นใหม่จะขึ้นสายการผลิตที่ศูนย์การผลิตจีเอ็ม โบว์ลิ่ง กรีน รัฐเคนตักกี้ ซึ่งได้รับการยกระดับด้วยเงินลงทุนกว่า 3,900 ล้านบาท (131 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) รวมถึงเม็ดเงินอีกราว 1,500 ล้านบาท (52 ล้านเหรียญฯ) สำหรับการสร้างโรงงานขึ้นรูปตัวถังแห่งใหม่ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีเอ็ม ดำเนินการผลิตโครงสร้างอลูมิเนียมภายในศูนย์การผลิตรถยนต์ของบริษัทฯ
“เราเชื่อมั่นว่าคอร์เวทท์ จะสะท้อนให้เห็นถึงอนาคตของรถสมรรถนะสูงสมัยใหม่ เพียบพร้อมด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า ความตื่นเต้นในการขับขี่ที่มากกว่าและอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีกว่า” แทดจ์ เจคเตอร์ หัวหน้าทีมวิศวกรของคอร์เวทท์ กล่าว “ผลลัทธ์ที่ได้คือสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมในทุกมิติ คอร์เวทท์ รุ่นปี 2014 มอบอัตราเร่งที่เร็วที่สุด การยึดเกาะถนนที่เหนียวแน่นที่สุด รองรับการขับขี่ในสนามแข่งอย่างดีเยี่ยมที่สุด มีระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและเราคาดว่าจะเป็นรถคอร์เวทท์ รุ่นสแตนดาร์ดที่มีความประหยัดน้ำมันดีที่สุดด้วย”
คอร์เวทท์ สติงเรย์ 2014 เวอร์ชั่นคูเป้จะออกจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้
ห้องโดยสารผลิตด้วยมือสุดประณีต พร้อมเทคโนโลยีขั้นสูง
• วัสดุคุณภาพชั้นเลิศ ตกแต่งด้วยอลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์
• ให้ประสบการณ์ขับขี่ที่ใกล้ชิดกับตัวรถมากยิ่งขึ้น ด้วยพวงมาลัยขนาดเล็กลงกว่าเดิมและมีเบาะที่นั่งสองรูปแบบให้เลือกใช้
• เทคโนโลยีอันล้ำสมัย ทั้งหน้าจอแสดงข้อมูลตัวรถความละเอียดสูงสองตัวและการแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า
เฮเลน เอมสลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบภายใน เผยว่า ห้องโดยสารของคอร์เวทท์ สติงเรย์ สร้างความกลมกลืนระหว่างวัสดุชั้นดี ความประณีตในการผลิตและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ช่วยเชื่อมโยงผู้ขับขี่และตัวรถให้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น
“ทุกรายละเอียดและชิ้นส่วนในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้ผู้ขับขี่เกิดความเชื่อมโยงกับคอร์เวทท์ มากขึ้น” เอมสลีย์ กล่าว “เริ่มจากการออกแบบค็อกพิทที่โอบล้อมตัวผู้ขับเหมือนกับเครื่องบินรบ ต่อเนื่องไปถึงการดีไซน์พวงมาลัยที่มีขนาดเล็กลง เบาะที่นั่งที่กระชับลำตัว หน้าจอความละเอียดสูงบ่งบอกข้อมูลการทำงานของรถ ตลอดจนการใช้วัสดุตกแต่งอย่างดีเยี่ยม”
พวงมาลัยขนาด 14.1 นิ้ว (360 มม.) ซึ่งเล็กลงนั้นช่วยเสริมความเฉียบคมและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น เชฟโรเลต ใส่ใจในรายละเอียดที่เล็กที่สุดอย่างการตัดเย็บอันพิถีพิถันที่พวงมาลัยช่วยเพิ่มความกระชับและนุ่มนวลฝ่ามือทุกการขับขี่
ไม่เพียงพวงมาลัยเท่านั้น เบาะทุกที่นั่งยังได้รับการตัดเย็บอย่างประณีตบรรจง โดยมีให้เลือกสองแบบคือเบาะแบบ GT ที่ให้ความสะดวกสบายเหมาะสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบและเบาะแบบ Competition Sport สำหรับคนรักความเร็ว ให้ความรู้สึกโอบกระชับยิ่งกว่า เหมาะกับการขับขี่แบบดุดันในสนามแข่ง
โครงสร้างของเบาะทั้งสองรูปแบบนั้นผลิตจากแม็กนีเซียมเพื่อความแข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบากว่าโครงสร้างเหล็กแบบทั่วไป อีกทั้งยังให้ความเหนียวแน่นและยืดหยุ่นไปพร้อมกันเพื่อเพิ่มความรู้สึกโอบกระชับได้ดีขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
การออกแบบรายละเอียดต่างๆในห้องโดยสารเกิดขึ้นหลังจากทีมดีไซเนอร์ได้มีโอกาสเดินทางไปทดสอบลองขับในสนามทดสอบของจีเอ็มในเมืองมิลฟอร์ด รัฐมิชิแกน โดยประสบการณ์ที่ได้จากการขับขี่รถสมรรถนะสูงเป็นที่มาของหลากหลายชิ้นส่วนที่ถูกพัฒนาไว้ในห้องโดยสาร อย่างโครงเหล็กสำหรับให้ผู้โดยสารยึดจับบริเวณคอนโซลกลางและวัสดุที่มีผิวสัมผัสนุ่มนวลที่มุมคอนโซลซึ่งช่วยลดแรงกระแทกของตัวผู้ขับขี่ขณะเข้าโค้งอย่างหนักหน่วง
การขับขี่รถสมรรถนะสูงยังสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาหน้าจอแสดงผลการทำงานของตัวรถและการแสดงผลการขับขี่บนกระจกหน้า ซึ่งแตกต่างไปตามโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้ รวมถึงโหมด Track ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรุ่น C6.R
การออกแบบห้องโดยสารที่รองรับสมรรถนะอันโดดเด่นของคอร์เวทท์ สติงเรย์ เกิดขึ้นจากการใส่ใจทุกรายละเอียดและคุณภาพการผลิตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เกิดเป็นดีไซน์ค็อกพิทที่มีความโค้งมนและไหลลื่นต่อเนื่องจากแผงคอนโซลไปถึงแผงประตูอย่างสวยงามลงตัว
คอร์เวทท์ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมกับวัสดุหนังชั้นดี ให้ผิวสัมผัสนุ่มมือในแบบยนตรกรรมหรูหรา พร้อมกับมีวัสดุอื่นๆ ให้เลือกใช้ ทั้งหนังประเภท Napa อลูมิเนียม คาร์บอนไฟเบอร์และหนังกลับ
โดยสารมีคุณภาพดีที่สุด ทุกชิ้นส่วนได้รับการตกแต่งอย่างดีเยี่ยม อาทิแผงควบคุมบริเวณคอนโซลที่ใช้เครื่องจักรตัดเย็บเพื่อความเที่ยงตรงสมบูรณ์สลับด้วยงานแบบหัตถกรรมเพื่อเพิ่มรายละเอียด
บริเวณใต้ช่องปรับอากาศของผู้โดยสารยังมีหน้าจอแอลซีดีขนาดเล็กสำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ ซึ่งถูกติดตั้งให้ห่างจากแผงควบคุมหลักแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจในทุกรายละเอียด
“เพื่อให้ห้องโดยสารมีคุณภาพสูงสุด เราได้ทุ่มเทเวลาทำงานในสายการผลิตคอร์เวทท์ร่วมกับทีมพนักงานที่ทำงานอยู่ในศูนย์การผลิตโบว์ลิง กรีน” ไรอัน วอห์น ผู้จัดการฝ่ายออกแบบภายใน กล่าว “ด้วยความร่วมมือระหว่างพนักงานฝ่ายออกแบบ ฝ่ายวิศวกรรมและฝ่ายการผลิต เราจึงสามารถรักษาความสมบูรณ์แบบของงานดีไซน์ไว้ได้ พร้อมกับช่วยยกระดับกระบวนการผลิตและสามารถสร้างห้องโดยสารที่เราเชื่อมั่นว่ามีคุณภาพระดับโลก”
เทคโนโลยีสุดล้ำตอบสนองทุกการขับขี่
• โหมดการขับขี่ Driver Mode Selector ปรับการทำงานตัวรถได้ถึง 12 รูปแบบ
• สามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอแสดงผลการขับขี่และการแสดงผลบนกระจกหน้าได้ตามต้องการ
• จอระบบสัมผัสลางคอนโซลมาพร้อมเทคโนโลยีตรวจจับภาษากาย
แก่นแท้แห่งเทคโนโลยีในห้องโดยสารของคอร์เวทท์ สติงเรย์ คือการเลือกโหมดการขับขี่ Driver Mode Selector ซึ่งเอื้อให้ผู้ขับสามารถปรับการทำงานของตัวรถให้เข้ากับสภาวะการขับขี่และสภาพถนนได้ โดยมีทั้งหมดห้าโหมดคือ Weather, Eco, Tour, Sport และ Track
“คอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นใหม่เหมือนมีรถสามรูปแบบในคันเดียว มีทั้งความสะดวกสบายและการใช้งานในแบบรถจีที การเชื่อมต่อผ่านระบบอินโฟเทนเมนท์เหมือนรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงอัตราเร่ง การเกาะถนนและการเบรกในสไตล์รถแข่ง” ฮาร์แลน ชาร์ลส์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ กล่าว
“เราต้องการให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดขับขี่ผ่านระบบ Driver Mode Selector ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานตัวรถทุกด้านให้สอดคล้องกับสภาวะการขับขี่ได้อย่างง่ายดาย เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ไม่ว่าคุณจะขับฝ่าสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหรือผ่านเส้นทางคดเคี้ยวอย่างในสนามแข่ง Laguna Seca”
การเลือกโหมดขับขี่ทำได้อย่างสะดวกง่ายดายเพียงปรับหมุนสวิทช์ที่อยู่ใกล้กับคันเกียร์ เริ่มจากโหมด Tour ถูกเซ็ทสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน โหมด Weather ออกแบบมาสำหรับการเพิ่มความเชื่อมั่นขณะขับกลางสายฝนหรือหิมะ โหมด Eco เน้นความประหยัดเชื้อเพลิง โหมด Sport สำหรับการขับอย่างเร้าใจ และโหมด Track ดีไซน์มาเพื่อการขับอย่างดุดันในสนามแข่งโดยเฉพาะ
“นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการพัฒนา เราใช้เวลาทดสอบขับคอร์เวทท์ อย่างหนักในสนามแข่ง ประสบการณ์ที่ได้รับทำให้เกิดเป็นหลายชิ้นส่วนในห้องโดยสาร อย่างการแสดงผลในโหมด Track” วอห์น กล่าว “ที่ความเร็ว 193 กม./ชม. สายตาของคุณจะพบกับภาพที่เหมือนอยู่ในอุโมงค์ ซึ่งคุณต้องมีสมาธิในการเข้าโค้งที่อยู่เบื้องหน้า ดังนั้นคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าเพลงต่อไปที่กำลังจะเล่นนั้นคือเพลงอะไร”
การแสดงผลการขับขี่มีทั้งหมด 12 รูปแบบตามการใช้งานในแต่ละโหมดการขับขี่ ดังนี้
• การปรับเปลี่ยนมาตรวัด: โหมด Tour, Eco และ Weather จะแสดงข้อมูลการเดินทาง ระบบเครื่องเสียงและระบบนำทาง ขณะที่โหมด Sport โชว์ข้อมูลแบบดั้งเดิมเน้นให้อ่านง่าย ส่วนโหมด Track จะแสดงผลแบบรถแข่งคอร์เวทท์ เรซซี่ง C6.R พร้อมกับการจับเวลาต่อรอบในสนามแข่งด้วย
• ระบบควบคุมคันเร่งอิเลกทรอนิก ETC (Electronic Throttle Control): ปรับเปลี่ยนลิ้นคันเร่งตามโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้เพื่อยกระดับการตอบสนองให้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น
• แป้นเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ: เพิ่มความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์
• ระบบการจัดการเชื้อเพลิง Active Fuel Management: ในโหมดขับขี่ปกติ เครื่องยนต์ LT1 จะใช้งานบล็อก V8 เต็มรูปแบบและจะสลับไปใช้งานแบบ V4 หรือเพียงสี่ลูกสูบเมื่อขับขี่รอบเดินเบา ขณะที่โหมด Eco เครื่องยนต์จะทำงานเพียงสี่สูบตลอดเวลาเพื่อเพิ่มความประหยัดเชื้อเพลิงจนกว่าผู้ขับขี่จะกดคันเร่งเมื่อต้องการพละกำลังเพิ่มเติม
• ท่อไอเสีย (ระบบระบายไอเสียแบบแอคทีฟ): ระบบนี้ช่วยปรับหน่วงเวลาควบคุมวาล์วไอเสียด้วยระบบอิเลกทรอนิกเพื่อเพิ่มสุ้มเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V8 โดยขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่
• เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปอิเลกทรอนิก (รุ่น Z51): ปรับเปลี่ยนการทำงานของเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป รักษาสมดุลระหว่างการบังคับเลี้ยวและเสถียรภาพการทรงตัวในสภาวะการขับขี่ที่แตกต่างกัน โดยจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในโหมด Sport และ Track
• พวงมาลัย: ปรับเปลี่ยนระบบบังคับเลี้ยวตามโหมดการขับขี่เพื่อให้ผู้ขับสามารถควบคุมพวงมาลัยอย่างแม่นยำตามต้องการ
• ระบบกันสะเทือนแม่เหล็ก Magnetic Ride Control: ปรับเปลี่ยนความหนืดช็อกอัพตามสภาพถนน ทั้งการเน้นความสะดวกสบายหรือการรองรับสมรรถนะขั้นสูงสุด
• ระบบช่วยออกตัว Launch control: มีทั้งในโหมด Sport และ Track ทั้งระบบเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ ช่วยให้การออกตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด
• ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว StabiliTrak: ผู้ขับสามารถเลือกโหมด Sport และ Track เพื่อปรับตั้งการทำงานของระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวสำหรับการทำความเร็วในสนามแข่ง ขณะเดียวกัน ยังสามารถปลดการทำงานได้อย่างสิ้นเชิงเพื่อควบคุมตัวรถได้อย่างเต็มที่
• ระบบป้องกันการลื่นไถล: ในโหมด Weather ระบบป้องกันการลื่นไถลจะควบคุมแรงบิดเครื่องยนต์สำหรับการขับขี่ในสภาพอากาศเลวร้าย
• ระบบการจัดการสมรรถนะการขับขี่ Performance Traction Management: มีในโหมด
Sport และ Track โดยสามารถปรับแรงบิดและการทำงานของเบรกได้ห้าระดับสำหรับการขับในสนามแข่ง
หน้าจอดิสเพลย์แสดงผลการทำงานของตัวรถมีทั้งหมดสามตัว ประกอบด้วยหน้าจอขนาดแปดนิ้วสองตัวและแสดงผลแบบสีขึ้นบนกระจกหน้าอีกหนึ่งตัว มอบข้อมูลการทำงานตามที่ผู้ขับขี่ต้องการและสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้แตกต่างไปตามแต่ละโหมดการขับขี่ได้
หน้าจอแปดนิ้วทั้งสองตัวมอบทัศนวิสัยอันยอดเยี่ยมแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างจ้า ด้วยความสว่างระดับ 650 แคนเดลาต่อตารางเมตรของหน้าจอที่อยู่บริเวณมาตรวัดและ 1,000 แคนเดลาต่อตารางเมตรสำหรับหน้าจอที่ติดตั้งบริเวณคอนโซลหน้า ถือว่ามีความสว่างมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์เวลานี้ หน้าจอบนคอนโซลยังรองรับการสั่งงานแบบสัมผัสพร้อมระบบตรวจจับภาษากาย อีกทั้งสามารถปรับตำแหน่งให้ต่ำลงได้เพื่อเปิดใช้ช่องเก็บของและช่องยูเอสบีสำหรับการชาร์จอุปกรณ์ต่างๆหรืออัพโหลดข้อมูล
คอร์เวทท์ สติงเรย์ ยังมาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนท์อันทันสมัย รองรับเชฟโรเลต มายลิงค์ (Chevrolet MyLink) และวิทยุแบบไฮเดฟ รวมถึงระบบเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมออนสตาร์ (OnStar) พร้อมแผนที่แบบสามมิติ นอกจากนี้ยังมีระบบเชื่อมต่อยูเอสบีบนคอนโซลกลาง ช่องแจ็คเชื่อมต่อเครื่องเสียงและช่องเอสดีการ์ดเพื่อการเชื่อมต่ออย่างไร้ที่ติ
ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียมมาพร้อมลำโพง 10 ตัว รวมถึงตู้เพาเวอร์แอมป์ซับเบสบ็อกซ์และซับวูฟเฟอร์สองตัว ทั้งนี้ ลำโพงแต่ละตัวนั้นมาพร้อมแม่เหล็กแรร์เอิร์ธที่ช่วยยกระดับคุณภาพเสียง ลดน้ำหนักตัวรถและมีขนาดเล็กลง
ทุกเส้นสายภายนอกของคอร์เวทท์ สติงเรย์ เน้นความสง่างามและสมรรถนะ
• การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ผนวกพันธุกรรมของคอร์เวทท์จากสนามแข่ง
• โดดเด่นด้วยแผงไฟเดย์ไลท์แอลอีดีสีขาว ดวงไฟหน้าแบบเอชไอดีและกรอบไฟท้ายแบบแอลอีดี
• ฝากระโปรงหน้าและแผงหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์แบบถอดเลื่อนได้ ช่วยรักษาน้ำหนักหน้า/หลังอย่างสมดุล
เคน พาร์คินสัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายออกแบบจีเอ็ม โกลเบิล เปิดเผยว่า รูปลักษณ์ภายนอกอันดุดันและท้าทายของคอร์เวทท์ สติงเรย์ มาพร้อมความสง่างามและรองรับทุกการใช้งาน
“การพัฒนาคอร์เวทท์ รุ่นใหม่ด้วยความฝันของดีไซเนอร์ทุกคนนั้นไม่ใช่งานที่ง่ายดาย” พาร์คินสัน กล่าว “เป้าหมายของเราคือการสร้างดีไซน์อันโดดเด่นที่รวบรวมเทคโนโลยีอันก้าวล้ำหน้าเข้าไว้ด้วยกัน ขณะเดียวกันยังต้องยกระดับสมรรถนะในทุกสภาวะตั้งแต่การทดสอบในอุโมงค์ลมไปถึงในสนามแข่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือคอร์เวทท์ สติงเรย์ ยนตรกรรมพิเศษสุดที่กำหนดนิยามใหม่พร้อมกับรักษาหลักการพื้นฐานที่ทำให้คอร์เวทท์เป็นคอร์เวทท์ในทุกวันนี้”
คอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นใหม่ซึ่งไม่มีการถ่ายทอดดีไซน์จากรุ่นก่อนหน้าแม้แต่ชิ้นเดียว มาพร้อมความโดดเด่นด้วยสัดส่วนฝากระโปรงหน้าที่ค่อนข้างยาว การออกแบบเสาหลังคาในห้องโดยสารชวนให้คิดถึงค็อกพิทของเครื่องบินรบ ขณะที่กรอบไฟท้ายเป็นแบบดวงคู่ นักออกแบบได้สร้างสรรค์คอร์เวทท์ สติงเรย์ด้วยการผสมผสานสองคำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ “อวกาศ” และ “ธรรมชาติ”
“หากเราต้องการใช้คำว่าสติงเรย์ สำหรับรถคอร์เวทท์ รุ่นใหม่ เราต้องแน่ใจว่ารถรุ่นนี้จะต้องมีรูปลักษณ์ภายนอกอันน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง เหมือนกับที่สติงเรย์ รุ่นแรกเคยสร้างความตื่นตะลึงมาแล้วเมื่อปี 1963” ทอม ปีเตอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบภายนอก กล่าว “รูปลักษณ์ดังกล่าวถ่ายทอดมาจากเครื่องบินรบและตัวปลากระเบน (Stingray) ซึ่งความงามภายนอกมาพร้อมประสิทธิภาพ สามารถแหวกอากาศหรือน้ำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คอร์เวทท์ สติงเรย์ ก็เหมือนกับอากาศยานและสิ่งมีชีวิต เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความงามและการใช้งาน”
ระบบการส่องสว่างเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของการดีไซน์คอร์เวทท์ สติงเรย์ ตอกย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ด้านหน้าตัวรถโดดเด่นด้วยแผงไฟเดย์ไลท์แอลอีดี ฝังอยู่ในกรอบไฟหน้าโครเมียมดำที่บรรจุดวงไฟโปรเจคเตอร์เอชไอดี ขณะที่ไฟเลี้ยวอยู่ที่มุมรถเป็นแบบแอลอีดีเช่นกัน
ไฟท้ายแบบดวงคู่สะท้อนถึงการแหวกกรอบดั้งเดิมอย่างแท้จริงและถือเป็นหนึ่งในความโดดเด่นที่สุดของคอร์เวทท์ สติงเรย์ กรอบเลนส์แบบสามมิติฝังดวงไฟแอลอีดีให้แสงแบบทางอ้อมซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ซึ่งจะใช้หลอดแอลอีดีส่องจากด้านล่างขึ้นบนเพื่อสะท้อนกับตัวรีเฟลกเตอร์ทำให้เกิดแสงสว่างกว้างไกล ขณะที่ไฟถอยหลังเป็นแอลอีดีสีขาว ดีไซน์ของไฟท้ายถ่ายทอดสไตล์จากอากาศยานที่มีช่องดักลมระบายความร้อนแก่เฟืองท้ายและระบบส่งกำลัง
“ตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้ายรถ ระบบส่องสว่างอันมีเอกลักษณ์ช่วยสร้างให้คอร์เวทท์ใหม่ ทรงพลังขึ้นมาได้” ปีเตอร์ส กล่าว “เปี่ยมด้วยความสวยงามและดุดัน แฝงด้วยความน่าเกรงขาม คอร์เวทท์จะมีความแตกต่างจากรถทุกรุ่นบนท้องถนนยามค่ำคืน”
สำหรับเรื่องอากาศพลศาสตร์ สติงเรย์ รุ่นใหม่ถูกออกแบบให้เหนือชั้นอย่างที่ไม่มีรถรุ่นใดเทียบเท่า มีการใช้คอมพิวเตอร์ที่ล้ำสมัยในการคำนวณการไหลของอากาศทั้งด้านบนและด้านล่างตัวรถ ทีมวิศวกรและนักออกแบบยังใช้ข้อมูลจากโครงการพัฒนารถแข่งคอร์เวทท์ เรซซิ่ง ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการแข่งขันอเมริกัน เลอมังส์ ซีรีส์และ 2012 จีที คลาส แชมเปี้ยน นำมาช่วยรักษาเสถียรภาพการเกาะถนนของล้อคู่หน้าและคู่หลังขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
หลังจากพัฒนาพื้นผิวตัวถังด้วยมือเพื่อสุนทรีภาพและสมรรถนะอันเหนือชั้นแล้ว คอร์เวทท์ใหม่ถูกทดสอบในอุโมงค์ลมหลายชั่วโมงเพื่อความโดดเด่นของรูปลักษณ์ที่รองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่:
• คอร์เวทท์ ทุกรุ่นย่อยติดตั้งกระจังหน้าและหม้อน้ำใหม่ สอดคล้องกับช่องดักลมและแผงรีดอากาศบนฝากระโปรงหน้าซึ่งช่วยสร้างแรงกดด้านหน้าตัวรถ เพิ่มประสิทธิภาพระบบบังคับเลี้ยวในย่านความเร็วสูง
• ส่วนเว้าด้านข้างของซุ้มล้อหน้าทำหน้าที่รีดอากาศใต้ฝากระโปรงช่วยลดแรงเสียดทานอากาศ
• คอร์เวทท์ รุ่นเกียร์อัตโนมัติหรือรุ่นที่เสริมแพ็คเกจ Z51 Performance Package มีช่องดักอากาศด้านผู้ขับขี่เพื่อรับอากาศเข้าสู่ระบบระบายความร้อนเกียร์ เช่นเดียวกับด้านผู้โดยสารที่มีช่องดักลมเข้าระบายความร้อนเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปอิเลกทรอนิก
• อากาศจากเฟืองท้ายและระบบเกียร์จะไหลเวียนออกทางช่องรีดอากาศด้านล่างกันชนและช่องรีดอากาศบริเวณกรอบไฟท้ายที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยาน
• Z51 Performance Package มาพร้อมระบบทำความเย็นเบรก สปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตและแผงรีดอากาศช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการเกาะถนน
“ทุกตารางนิ้วบนตัวถังภายนอกของคอร์เวทท์ รุ่นปี 2014 ได้รับการอออกแบบมาเพื่อยกระดับสมรรถนะการขับขี่” เคิร์ก เบนเนียน ผู้จัดการฝ่ายออกแบบภายนอก กล่าว “ทีมนักออกแบบมอบสมดุลที่ดีเยี่ยมระหว่างแรงเสียดทานอากาศที่ต่ำและสมรรถนะการขับขี่ เพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพการเกาะถนน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกขมวดรวมอยู่ในการออกแบบที่สร้างความตื่นตาตื่นใจในสไตล์ของคอร์เวทท์ มาตลอดหกศตวรรษ”
พัฒนาเพื่อการแข่งขัน ผลิตเพื่อการใช้งานบนถนนจริง
• ใช้โครงสร้างอลูมิเนียมที่มีความเหนียวแน่นแข็งแกร่งขึ้น 57 เปอร์เซ็นต์และเบากว่ารุ่นปัจจุบันที่ใช้วัสดุโลหะ 45 กก.
• ใช้นวัตกรรมใหม่ในการผสมวัสดุคอมโพสิตหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรงและแผงหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ ขณะที่ซุ้มล้อ ประตูและด้านท้ายรถใช้การขึ้นรูปแบบแผ่นต่อเนื่อง (Sheet Molded Compound) ตลอดจนการใช้วัสดุคาร์บอน-นาโนสำหรับการผลิตพื้นรถที่ช่วยลดน้ำหนักลงได้ราว 17 กก.
• เครื่องยนต์ V8 รหัส LT1 เทคโนโลยีใหม่ผลิตพละกำลังมากกว่าเดิมโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยลง ประกบคู่ด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 7 สปีดรุ่นแรกในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมระบบประสานรอบเครื่องยนต์ Active Rev Matching ช่วยเพิ่มความเร็วและแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลง
คอร์เวทท์ สติงเรย์ นำเทคโนโลยีการใช้วัสดุน้ำหนักเบา เทคนิคการผลิตที่ทันสมัยและเทคโนโลยีอันก้าวหน้ามาจากโครงการพัฒนารถแข่งคอร์เวทท์ เรซซิ่งเพื่อรักษาสมดุลน้ำหนักตัวรถหน้า/หลังแบบ 50/50 ทำให้เกิดอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่อยู่แถวหน้าในระดับโลก
เทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ถือเป็นรากฐานสำคัญในคอร์เวทท์คือโครงสร้างอลูมิเนียมที่มีความเหนียวแน่นแข็งแกร่งกว่า 57 เปอร์เซ็นต์และน้ำหนักเบากว่าเดิม 45 กก. ความยืดหยุ่นและการให้ตัวที่ดีกว่าช่วยลดเสียงอันไม่พึงประสงค์และเพิ่มสมรรถนะการควบคุม
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้าซึ่งใช้ฐานโครงสร้างขึ้นรูปด้วยของเหลวผสานกับผนังที่มีความหนา 2 มม. แต่คอร์เวทท์รุ่นปัจจุบันใช้ฐานโครงสร้างลูมิเนียมห้าชิ้นประกอบกัน พร้อมกับใช้อลูมิเนียมอัดรีดขึ้นรูปทั้งด้านหน้า ด้านท้ายและส่วนตรงกลาง พร้อมใช้เทคนิคหล่อกลวงที่จุดเชื่อมต่อช่วงล่าง แต่ละชิ้นส่วนถูกผลิตขึ้นด้วยความหนาตั้งแต่ 2 มม.ถึง 11 มม. มีการออกแบบชิ้นส่วนให้รองรับกับการใช้งานแต่ละจุดของโครงสร้างตัวรถอย่างละเอียดเพื่อลดน้ำหนักให้ได้มากที่สุด
โครงสร้างของคอร์เวทท์ ผลิตที่โรงเชื่อมแห่งใหม่ภายในศูนย์การผลิตโบว์ลิ่งกรีน โดยการเชื่อมต่อแต่ละชิ้นส่วนใช้เลเซอร์และคอมพิวเตอร์ในการคำนวณเพื่อความแม่นยำสูงสุดและมีพิกัดความเผื่อราว 0.001 นิ้ว
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้นและรีดน้ำหนักตัวรถให้เบากว่าเดิม โครงสร้างตัวรถยังมาพร้อมกับคานอลูมิเนียมหล่อกลวงทั้งด้านหน้าและด้านท้ายที่มีน้ำหนักเบากว่าเดิมราว 25 เปอร์เซ็นต์และมีความเหนียวแน่นแข็งแกร่งขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์เหนือกว่าโครงสร้างของรุ่นก่อนหน้า
การนำนวัตกรรมวัสดุใหม่มาใช้ยังรวมถึงฝากระโปรงและแผงหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงเทคโนโลยีคอมโพสิตคาร์บอน-นาโนที่ใต้พื้นรถ การผสมผสานวัสดุคอมโพสิตเข้ากับคาร์บอนไฟเบอร์ช่วยลดน้ำหนักใต้พื้นรถลงโดยไม่สูญเสียความแข็งแรงและความเหนียวแน่น ขณะที่ซุ้มล้อ ประตูและด้านท้ายรถผลิตด้วยการขึ้นรูปแบบแผ่นต่อเนื่อง มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิม วัสดุต่างๆเหล่านี้ช่วยลดน้ำหนักลงได้ราว 17 กก.เมื่อเทียบกับโครงสร้างเดิม
ชิ้นส่วนน้ำหนักเบาของสติงเรย์ ทำให้เกิดการรักษาสมดุลน้ำหนักอันสมบูรณ์แบบที่ 50/50 เมื่อพิจารณาจากพละกำลังระดับ 450 แรงม้า คอร์เวทท์มีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักเหนือกว่าพอร์ช 911 คาร์เรร่าและออดี้ อาร์ 8
แรงม้าทั้ง 450 ตัวมาจากขุมพลัง LT1 บล็อก V8 ความจุกระบอกสูบ 6.2 ลิตร มีแรงบิดอยู่ที่ราว 450 ฟุตปอนด์ ซึ่งมากกว่าเครื่องยนต์ 6.2 ลิตรเจนเนอเรชั่นเดิมที่ 50 ฟุตปอนด์และเท่ากับเครื่องยนต์ LS7 ความจุ 7.0 ลิตรของคอร์เวทท์ Z06 รุ่นปี 2013 ซึ่งแรงบิดมาที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,000-4,000 รอบ/นาที
สมรรถนะของเครื่องยนต์เกิดจากการผสมผสานเทคโนโลยีอย่างหัวฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ระบบการจัดการเชื้อเพลิง Active Fuel Management และระบบวาล์วแปรผัน พร้อมด้วยระบบการเผาไหม้อันล้ำสมัย การออกแบบเสื้อสูบขนาดเล็กต้องผ่านการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์มากกว่า 10 ล้านชั่วโมง ขณะที่การพัฒนาระบบห้องเผาไหม้ต้องใช้เวลาอีกมากกว่า 6 ล้านชั่วโมง
ขุมพลัง LT1 ยังมาพร้อมระบบระบายไอเสียแบบแอคทีฟที่มีข้อจำกัดน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า ด้วยการขยายเส้นผ่าศูนย์กลางจาก 2.5 นิ้วเป็น 2.75 นิ้ว ช่วยเพิ่มการไหลลื่นมากขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์และติดตั้งวาล์วปีกผีเสื้อสองตัวที่ช่วยทำให้การขับขี่ทางไกลราบรื่นยิ่งขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ทำงานสี่ลูกสูบเพื่อความประหยัดเชื้อเพลิง
นอกจากนี้ ยังมีระบบระบายไอเสียแบบแอคทีฟคู่ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษช่วยเพิ่มการไหลลื่นมากกว่าเดิม 27 เปอร์เซ็นต์ โดยเชฟโรเลต ได้ติดตั้งวาล์วเพิ่มเติมอีกสองตัวช่วยลดข้อจำกัดของท่อทางเดินไอเสีย เมื่อวาล์วนี้เปิดขึ้นจะยกระดับประสิทธิภาพเครื่องยนต์และเพิ่มสุ้มเสียงของท่อไอเสียที่ทรงพลังกว่าเดิม
เครื่องยนต์ LT1 มีระบบส่งกำลังทั้งแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์และเกียร์ธรรมดา 7 สปีด TREMEC TR6070 ครั้งแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ มาพร้อมระบบประสานรอบเครื่องยนต์ Active Rev Matching คอร์เวทท์ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเพื่อรักษาสมดุลน้ำหนักตัวรถให้ได้มากที่สุด
ระบบเกียร์ธรรมดา 7 สปีดทำงานร่วมกับเทคโนโลยีระบบประสานรอบเครื่องยนต์ Active Rev Matching สำหรับการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงได้อย่างรวดเร็ว ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบนี้หรือปลดระบบนี้ออกเพียงแค่กดแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เกียร์ 7 สปีดยังมาพร้อมกับดูอัลฟลายวีลและดูอัลคลัตช์ ซึ่งเพิ่มคุณภาพการเปลี่ยนเกียร์และลดอาการหน่วงช้าลงได้ ทั้งนี้ ระบบเกียร์ของแพ็คเกจ Z51 Performance Package มีช่วงสั้นกว่าเดิมเพื่อการขับขี่สไตล์ดุดันสูงสุด
“ระบบประสานรอบเครื่องยนต์ Active Rev Matching ทำให้คอร์เวทท์ใหม่ ขับขี่ได้ง่ายดายขึ้นและสนุกกว่าเดิมเมื่อขับด้วยความเร็วสูง” เจคเตอร์ กล่าว “ระบบอิเลกทรอนิกจะคาดการณ์การเปลี่ยนเกียร์และจะควบคุมลิ้นคันเร่งให้เข้ากับรอบเครื่องยนต์เพื่อการเปลี่ยนเกียร์อย่างลื่นไหลไร้ที่ติ”
ขณะที่ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Hydra-Matic 6L80 ก็มาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ให้ใช้เช่นกัน ถูกพัฒนามาเพื่อใช้งานร่วมกับระบบจัดการเชื้อเพลิง Active Fuel Management และมีระบบทอร์กคอนเวอร์เตอร์แบบใหม่ที่ให้ความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ จังหวะและตำแหน่งการเปลี่ยนเกียร์ยังสามารถเลือกได้ที่โหมดการขับขี่อีกด้วย
เน้นความรู้สึกในการขับขี่ที่เข้าถึงตัวรถได้มากกว่า
• ระบบกันสะเทือนแม่เหล็ก Magnetic Ride Control เจนเนอเรชั่นที่สาม มอบความสบายและการควบคุมที่เหนือกว่า
• ระบบบังคับเลี้ยวไฟฟ้า ตอบสนองต่อการขับขี่ทุกรูปแบบ
• เกาะถนนอย่างมั่นคงสูงสุดด้วยเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปอิเลกทรอนิก
แชสซีส์และระบบช่วงล่างของคอร์เวทท์ สติงเรย์ ได้รับการออกแบบโดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างที่แข็งแกร่งและน้ำหนักเบา โครงสร?
ความคิดเห็น