All New Honda Accord ใหม่ได้ทำการเปิดตัวไปเรียบร้อยเมื่อราวเดือนก่อน ซึ่ง generation นี้ ปาเข้าไป รุ่นที่ 9 ของสายพันธุ์แล้ว มาใหม่พร้อมความหรูหราและความโดดเด่นเหนือใคร เช่นเดียวกับสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้น และยังถือเป็นรถยนต์ที่มีการยกระดับอุปกรณ์มาตรฐานจากแอคคอร์ดรุ่นอื่นๆ นับตั้งแต่ชื่อนี้อยู่ในตลาดมาตลอด 37 ปี สำหรับรุ่นปี 2013 นี้ได้เพิ่มสัมผัสแห่งความหรูหราและความประณีตมากขึ้น มีการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้เพิ่มขึ้นจนถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของรถยนต์ในกลุ่มนี้
สำหรับการ Test Drive แบบ Group Test ในครั้งนี้ ขอขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ที่ได้เชิญให้ทางเราเข้าร่วมทดสอบในวันที่ 25-26 เมษายนนี้ โดยได้ขับขี่ทดสอบกันแบบเล่นโค้งบนเขา พร้อมชมวิวธรรมชาติ ย้อนรำลึกเหตุการณ์ Tsunami ที่จังหวัดพังงา บริเวณเขาหลัก ซึ่งได้ให้ทดลองขับทั้งรุ่น 2.0 และ 2.4 รวมระยะทางทั้งสิ้น 202 กม. โดยให้ขับกันเป็นคู่ ขออนุญาติเข้าเรื่องที่ตัวรถกันเลย
ในส่วนของดีไซน์ภายนอก นั้นออกแนวผู้ดีไฮโซขึ้นกว่าตัวก่อนเยอะ แต่ก็ยังคงสวยตามแบบสปอร์ต ที่น่าแปลก คือ ได้ลดขนาดตัวถังลง ความยาวเหลือ 4,870 มิลลิเมตร สั้นลง 76 มิลลิเมตร ความสูง 1,465 มิลลิเมตร เตี้ยลง 11 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร สั้นลง 25 มิลลิเมตร ซึ่งยังไงก็แล้วแต่มันทำให้มีแต่เสียงตอบรับในเชิง + ว่าดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตัวก่อน สำหรับรุ่น 2.4 ลิตร ถือเป็นครั้งแรกของรถยนต์ Honda ที่ได้นำหลอดไฟแบบ LED มาใช้ ในส่วนไฟเบรกหลัง นอกจากนั้น Accord ใหม่ยังมีไฟ DRL – Daytime Running Lights ติดมาให้อีกด้วย ในทุกรุ่นใช้แม็กขอบ 17” ยกเว้นรุ่น 2.4 TECH ที่จัดให้เต็มถึง 18”
ด้านห้องโดยสารภายใน เรียบหรู มีระดับ แต่ออปชั่นลูกเล่นจัดมาเต็ม ทั้งแผงควบคุมแดชบอร์ด ปุ่มจะเยอะไปหน่อย อาจเข้าใจยากนิดหนึ่ง เมื่อใช้งานครั้งแรก แต่เมื่อพอใช้เป็นทำความเข้าใจแล้วก็ ดูจะไม่ยากเย็น เป็นประเด็นสำคัญนัก จอแสดงผล TFT ขนาดใหญ่ 8” ดูได้ชัดเจน กว่า Navi ในรถ Honda รุ่นอื่นมาก ระบบนำทาง และคำสั่งบอกด้วยเสียงภาษาไทย อาจดูน่ารำคาญไปนิด แต่ทว่าฟังชัดเจนเข้าใจในการใช้งานได้ดี เครื่องเล่น DVD และ HDD เก็บไฟล์เพลง ขนาด 100GB มีในรุ่น Navi เท่านั้น สำหรับระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth มีมาในทุกรุ่น และที่ชอบโดดเด่นที่สุดคือ พวงมาลัย จับกระชับมากนุ่มดี การออกแบบรอยตะเข็บ ค่อนข้างเล็ก และทำได้ประณีตไม่รู้สึกถึงรอยเย็บต่อมากนัก เบาะผู้โดยสารตอนหน้านั่งปรับสูง-ต่ำ ไม่ได้ แต่มีจุดที่เอาไว้ปรับเบาะได้สองจุด คือ เพิ่มบริเวณด้านขวาตัวเบาะเข้ามาอีก 1 ที่ ในส่วนเบาะคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง แถมตัวดันหลัง ม่านบังแดดด้านข้าง ผู้โดยสารตอนหลังมีมาให้ 2 ฝั่งกระจก และบริเวณกระจกใหญ่บานหลัง สามารถใช้สวิทช์ควบคุมได้อัตโนมัติ ในรุ่น 2.4 TECH มี Sunroof มาให้เพื่อให้รถดูพรีเมี่ยม ยิ่งขึ้น
และอีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ สำหรับห้องโดยสาร คือ Active Noise Control กับ Active Sound Control มีไมค์ 2 ตัว ใช้หลักการ Resonance ของคลื่นเสียง คือไมค์จะตรวจวัดคลื่นความถี่เสียง ส่งคำสั่งไปยัง Control Unit ก่อนที่ส่งข้อมูลไปยัง Audio Unit เพื่อสร้างเสียงสังเคราะห์มาหักล้าง เสียง Noise ภายในห้องโดยสาร
ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัย ต่างมีมาให้อย่างครบครัน
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Adaptive Cruise Control (ACC) ที่สามารถตั้ง Distance ให้ห่างจากคันหน้าได้ถึง 4 ระดับ เมื่อทำงานร่วมกับ CMBS ทำให้เราแทบจะไม่ต้องขับเองเลย เพียงแค่ประคองพวงมาลัย ไปในทิศทางของถนนเท่านั้น แต่ ที่ไม่ค่อยประทับใจ คือ เมื่อ ACC ลดความเร็วลงมาแล้ว ความเร็วจะกลับคืน นั้น ค่อนข้างช้ามากค่อยๆ ไล่ขึ้นแบบเนิบๆ ซึ่งถ้ามีคันตามหลังมาอาจจะโดนด่าเอาได้ ระบบ CMBS จะทำงานก็ต่อเมื่อ ความเร็วรถเรากับรถคันหน้าต่างกัน 15 กม./ชม. ขึ้นไปถึงทำงาน จึงทำให้ ถ้าเราขับรถเข้าไปใกล้ๆ แล้วค่อยๆ จี้ มันจึงไม่ทำงาน ลักษณะการทำงาน จะเตือนด้วยแสงไฟกระพริบก่อน แล้วจึง มีเสียงเตือน หลังจากนั้น Seatbelt จะกระตุก และเบรก
Honda Lane Watch ที่มีในรุ่น 2.4 ทำงานต่อเมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายค้างไว้ หรือ กดปุ่ม ที่ก้านไฟเลี้ยว เพื่อโชว์ภาพที่จอ TFT ขนาด 8” ช่วยแสดงมุมอับสายตา ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยในจังหวะเลี้ยวซ้ายหรือเปลี่ยนเลน
ระบบ VSA ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ มีมาให้ในทุกรุ่น แถมด้วยการทำหน้าที่แบบ LSD กระจายแรงเบรกไปยังล้อแต่ละล้อ
สมรรถนะการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ตัวแรก เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC 155 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์บล๊อกเดียวกันกับ Honda CR-V ที่รองรับน้ำมัน E85 เมื่อนำถูกจับใส่ รถที่มีพิกัด ตันครึ่ง ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับขับ รถ 1.8 ลิตร ในพิกัด Compact Car แต่ฟีลลิ่ง ดูจะออกเนือยๆ เฉื่อยๆ กว่าหน่อย ถามว่าใช้งานทั่วไป ขับแบบเรื่อยๆ ที่ความเร็วสูงหรือคงที่ เพียงพอไหม ต้องตอบได้ว่าพอ แต่ทว่าจากที่เราขับบนเส้นทางภูเขา แบบรถสวน จังหวะเร่งแซงสิบล้อ ในบางครั้ง ต้องระมัดระวัง มาก เนื่องจากกำลังเครื่อง นั้น ดูจะยังไม่เพียงพอ เมื่อต้องการเค้นสมรรถนะในการแซงแบบฉีก ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นพวกเท้าหนัก ขับเร็ว เร่งแซง คงไม่เพียงพอแน่นอน
และอีกคันกับเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 2.4 ลิตร i-VTEC มาพร้อมกับกำลังสูงสุด 174 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ตัวนี้ถือเป็นขุมพลังบล็อกแรกของฮอนด้าที่ผลิตจากเทคโนโลยี Earth Dreams ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ และเพิ่มประสิทธิภาพ ลดแรงสั่นสะเทือน และประหยัดน้ำมัน แถมด้วยการรองรับชนิดน้ำมัน E85 เช่นเดียวกัน ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าสตางค์ได้เพิ่มขึ้นอีก สมรรถนะ ตัวนี้ต่างกับ 2.0 ลิตร แบบรู้สึกได้ แต่เช่นเดิม การออกตัวไม่ได้กระโชกโฮกฮาก ไม่ได้ดึงแรงอย่างที่คิดไว้ ออกแนวผู้ดีมีระดับ รู้สึกเหมือนรถไม่แรงอย่างที่ควรจะเป็นตามความจุ เนื่องจากรอบขึ้นแบบเนือยๆ เรื่อยๆ แต่เมื่อหันมองความเร็ว ปาไป 160 กม./ชม. เข้าไปแล้ว ถือว่าใช้งานได้ดีทีเดียวกับการขับขี่เดินทางไกล หรือ ใช้ในการเร่งแซง บล๊อก 2.4 นี้จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เหตุผลหลักที่รถออกมาสไตล์นี้ น่าจะเป็นการปรับจูนทางวิศวะกรคงตั้งใจออกมาให้เป็นแนวนี้ ไม่เน้นรีดพละกำลังมาก เน้นใช้งานนุ่มนวลและประหยัด ที่สำคัญเรามองจากตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง ได้ใกล้เคียงกับ 2.0 ลิตร อยู่ที่ราวๆ 12 กม./ลิตร กลางๆ
ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 Speed แบบ Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control สำหรับรุ่น 2.4 มีมาให้ใช้ 2 โหมด คือ D ซึ่งเน้นการตอบสนองแบบประหยัด กับความนุ่มนวล และ S โดยในโหมด S สามารถลากรอบไปจนถึง Red Line ก่อนที่จะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ ให้ความจัดจ้านเพิ่มขึ้น และเกียร์ทำงานเพียง 4 เกียร์เท่านั้น ถ้าเป็นรุ่น 2.0 จะเป็น D , D3 และ L การทดเกียร์ นั้น 2.0 ทดมาสูงกว่า 2.4 เพื่อเน้นใช้กำลังเครื่องกับการแบกรับน้ำหนักตัวที่สูง ค่อยๆขับขี่กันไปรอบเครื่องไต่ขึ้นมาแบบเรื่อยๆ เมื่อมองทางมาตรวัดรอบเครื่อง รอบจะกวาดขึ้นอย่างช้าๆ จนรู้สึกว่า ดูจะอืดไปนะ แต่เมื่อหันมามองที่มาตรวัดความเร็วปรากฏ นั้นไปไกลแล้ว และระบบ Shift Hold Control ก็ทำงานได้ค่อนข้างดีไม่เปลี่ยนเกียร์ไปมา ในจังหวะช่วงเล่นโค้งบนเขา รักษารอบเครื่องเอาไว้ให้การขับขี่ นั้นเดินได้ราบเรียบดียิ่งขึ้น
แฮนด์ลิ่งในการควบคุม ทำได้ประทับใจมาก กับพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS ความรู้สึก ในการหักเลี้ยวต้องบอกว่า Smooth มากๆ นิ่มนุ่มนวล ดูดีน้ำหนักเป็นธรรมชาติ เกินพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้าทั่วๆไป ในจังหวะ หักเลี้ยวสาวพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำหรือ หยุดนิ่ง ก็ให้ความนุ่มนวล วงเลี้ยวเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีขาดๆ เกินๆ เหมือน อย่างหลายรุ่นที่เป็นแบบผ่อนแรงไฟฟ้า ที่ความเร็วสูงยังคงนิ่งมั่นคงตามความเร็ว ระยะฟรีของพวงมาลัยไม่มากนัก และแม้เส้นทางที่เราขับทางจะขรุขระ แต่ พวงมาลัยยังคงทำได้แน่นิ่งดี ไม่มีออกอาการสะดีดสะดิ้นให้เห็นนัก น้ำหนักในการประคองแฮนลิ่งในโค้ง ก็เหมาะสม ไม่หนักโอเวอร์จนเกินไป ถือเป็นจุดที่ประทับใจที่สุดเลยในสมรรถนะการขับขี่ก็ว่าได้ กับ แฮนด์ลิ่งเจ้า New Accord คันนี้
ช่วงล่าง ด้านหน้าจากที่เคยเป็น อิสระดับเบิลวิชโบน ถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ตามพิมพ์นิยม ในส่วนด้านหลังยังใช้ อิสระมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง เช่นเดิม การเซ็ตช่วงล่างออกแนวสปอร์ตทำให้กระทบ กับความสะดวกสบาย จึงได้แก้โดยเสริม Hydro Bush กับ Rebound สปริง เพิ่มเข้าไป เสริมความนุ่มนวล แต่ทว่า ด้วยความที่พื้นเพเดิมของโช้คอัพนั้น เป็นสเป็กอเมริกา ซึ่งเน้นการใช้งานบนถนนเรียบ Highway ทำความเร็ว รถไม่ติด เมื่อถูกนำมาใช้งานในประเทศไทยบ้านเรา ซึ่งใช้ความเร็วสูงกันก็ไม่ค่อยจะได้ และมิหนำซ้ำ พื้นถนนก็ช่างสุดยอดเหี้ยม! จึงทำให้เวลานั่งแล้วไม่ได้รู้สึกนุ่มนวลอย่างที่คิดนัก ลักษณะช่วงล่างจะมีระยะยุบที่น้อย และจังหวะ Rebound คืนตัวจะรวดเร็วทำให้รู้สึกสะเทือนพอสมควร เมื่อคลานในช่วงความเร็วต่ำ พอเข้าย่านความเร็วสูงขึ้น ก็เริ่มรู้สึกหนึบ แน่นและพอเหมาะกับความเร็ว ไม่ทำให้รู้สึกสะเทือนเหมือนย่านความเร็วต่ำ การเข้าโค้งเข้าการยึดเกาะดี ตัวรถไม่โยนเท หรือออกอาการใดๆ แม้เข้าด้วยความเร็วสูง ซึ่งอาจมีผลจากตัวถังรถที่ค่อนข้างหนักด้วย สำหรับในรุ่น 2.0 และ 2.4 เซ็ตช่วงล่าง มาเหมือนกัน แต่จะต่างกันที่ ชนิดยาง ซึ่ง 2.0 เป็น 225/50/17 Michelin Primacy และ 2.4 เป็น 235/40/18 Michelin Pilot Sport ซึ่งจะส่งผลต่อความนุ่มนวลที่ต่างกันไปอีกเล็กน้อย
ระบบห้ามล้อ แบบดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นอีกจุดที่ทำได้น่าประทับใจมาก ฟีลลิ่งไม่แข็งทื่อ เหมือน Honda รุ่นอื่นๆ ออกแนวหนักแน่น นุ่มนวล ดั่งเช่นรถยุโรป หากขับจี้รถคันหน้า เห็นไฟเบรก เหยียบเบรกตาม ไม่จำเป็นต้องแตะลงลึกนัก ความเร็วก็หน่วงลงเร็วมาก ทำได้ค่อนข้างหายห่วง
สรุป All New Honda Accord ถือเป็นรถยนต์ซีดานหรู (D-Segment) ในตระกูลรถญี่ปุ่นบ้านเรา ที่อัดแน่นเทคโนโลยี เหนือระดับที่สุดแห่งความล้ำสมัย ทั้งด้านความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวก นอกจากนั้นด้านสมรรถนะ จุดที่น่าประทับใจ คือ แฮนด์ลิ่ง และเบรก อันยอดเยี่ยม เครื่องยนต์พละกำลังพอไหวสำหรับการใช้งานในรุ่น 2.0 หรือเน้นกำลังที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกในรุ่น 2.4 Earthdreams สำหรับการใช้งานทั้งสองเครื่องยนต์ดูจะปรับจูนมาเพื่อขับขี่ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่จัดจ้าน เน้นใช้งานแบบประหยัดและให้ความนุ่มนวล ติดแค่ช่วงล่างที่น่าจะทำออกมาให้นั่งสบายกว่านี้ สำหรับรถ Mid-size Sedan เท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนขับเองในรถระดับนี้ ถือว่า Honda Accord ใหม่นี้ น่าจะตอบโจทย์ทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
ภณ เพียรทนงกิจ ผู้เขียน
All New Honda Accord มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล , สีขาวออร์คิด , สีทองแชมเปญฟรอสต์
สำหรับรุ่นย่อยประกอบด้วยรุ่น 2.0 EL, 2.0 EL NAVI, 2.4 EL, 2.4 EL NAVI และ 2.4 TECH
สนนราคา รุ่น 2.0 EL 1,299,000. , 2.0 EL NAVI 1,419,000. , 2.4 EL 1,549,000. ,2.4 EL NAVI 1,669,000. และ 2.4 TECH 1,799,000.
สำหรับ สีทองแชมเปญฟรอสต์ (มุก) และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่มอีก 8,000 บาท, ส่วนสีขาวออร์คิด (มุก) เพิ่มอีก 12,000 บาท
ชมภาพเพิ่มเติมคลิก http://photos.autospinn.com/2013-Honda-Accord-GroupTest/
ความคิดเห็น