สวัสดีแฟนๆ Autospinn กันอีกครั้งหลังช่วงวันหยุดยาวจากสงกรานต์นะครับ ในวันนี้เราได้มาทำการทดสอบรีวิวรถกัน แบบเบาๆบ้าง สำหรับคันที่ได้มาทดสอบในวันนี้ ที่จริงแล้วเราได้เคยทำการทดสอบไปตั้งนาน ตั้งแต่ปีที่แล้ว กับ Mitsubishi Mirage แต่คันนี้เป็นรุ่นพิเศษ ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 1 ปี กับยอดขายที่ทำได้ถล่มทลาย ถึงเกือบ 50,000 คัน ซึ่งถือเป็นยอดขายเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายรถรวมของทั้งบริษัท ถือว่า Mitsubishi ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการนำนักร้องวง 2PM อย่างนิชคุณ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อกระตุ้นยอดขายแก่น้องเหลือม (Mirage สีเหลือง) สำหรับในคราวนี้ ตัว Bloom Edition (เต่าม่วง) ได้มีความโดดเด่น ที่ต่างจาก Mirage ตัวปกติอยู่ในเรื่องความเป็นตัว Limited Edition ซึ่งมีจุดที่แตกต่างอยู่บ้างเล็กน้อย จากตัว Mirage โฉมปกติ
มาดูกันที่ภายนอกก่อน กับการคง Concept เดิม More Stylish แทบเรียกได้ว่า ไม่มีอะไรแตกต่างจาก Mitsubishi Mirage ตัวปกติเลย เพียงแต่เป็นการนำรุ่น ท๊อปไลน์ GLS ltd. มาโมดิฟายด์สีตัวถังให้เป็นสีพิเศษ ม่วง (Blossom Purple) และป้าย Emblem ที่แปะอยู่ด้านฝากระโปรงหลัง คำว่า Bloom Edition เท่านั้น นอกนั้นมิติตัวรถ ต่างๆ คงเดิม และออปชั่น หยิบยกมาจาก GLS ltd. ได้แก่ ไฟตัดหมอกหน้า, ชายกันชนหน้า, สปอยเลอร์หลัง, ใบปัดน้ำฝนหลัง พร้อมไล่ฝ้า ปุ่มปลดล๊อค ที่ใช้คู่กับกุญแจอัจฉริยะ KOS ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกอย่างมากที่ไม่จำเป็นต้องล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋าเสียเปล่าๆ
ออปชั่นภายในทั้งหลายก็เช่นกัน หยิบยกมาจาก GLS ltd. ทั้งสิ้น ที่คงความ More Utility และ More Entertainment แต่สิ่งที่เพิ่มเติมแตกต่าง มี2 จุด คือ พวงมาลัยจาก polyurethane เปลี่ยนมาเป็นพวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง ตกแต่งด้วยขอบพวงมาลัยด้วย Trim Silver ให้ความรู้สึกจับกระชับ และผิวสัมผัสที่จับแล้วดูดีขึ้นกว่าเดิม กับอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือ เบาะผ้าลายใหม่เดินด้ายสีม่วงแบบ Premium ดูเก๋ไก๋ ดีไปอีกแบบ ส่วนที่เหลือ ฟังก์ชั่น มาครบๆ ทั้ง เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ และเครื่องนำทาง Navi จอ Touch Screen 7” พร้อมเครื่องเล่น DVD/MP3 ในตัว และรองรับ USB Port และยังรองรับระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย Bluetooth ให้อีกด้วย เรียกได้ว่าออปชั่นภายในมากันให้แบบเต็มๆ ไม่แพ้รถราคาหลักล้านเลย ภายในยังให้ความกว้างขวาง เช่นเดิม พร้อมเบาะพับได้ 60:40 ตกแต่งด้วยสี Piano Black แต่มาตรวัดแบบ Combination Meter กรอบสีเงิน ดูอ่านง่ายจริงอยู่ แต่แอบดูดีไซน์โบราณ ไปนิดหนึ่ง ร่วมกับจอ MID แสดงผลสีส้มดูเหมือนรถยุคเก่า อย่างไรไม่รู้
เครื่องยนต์ บล๊อกเดิม 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว ขนาด 1,193cc ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า @6000rpm และแรงบิด 100Nm@4000rpm ระบบการจ่ายน้ำมันเป็นหัวฉีด Multi point ควบคุมด้วยกล่องสมองกล 32bit รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E20 ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 4 ซึ่งคง Concept More Saving ได้ดีในด้านอัตราการประหยัดเชื้อเพลิง สำหรับสมรรถนะเครื่องยนต์ไซส์จิ๋ว ขนาดแค่ 3 สูบ แต่อัตราเร่งทำได้จี๊ดจ๊าด เอาเรื่อง เมื่อต้องการเร่งแซงเพียง Kick Down ลงไป แล้วยกคันเร่งขึ้นเล็กน้อย ตามสไตล์การเรียกกำลังของเกียร์ CVT ก่อนทำการเติมคันเร่งต่อ เพื่อเค้นกำลังเครื่อง ส่งผลให้การเร่งแซงทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เนื่องด้วยตัวรถที่มีน้ำหนักเบา
ระบบส่งกำลังของน้องเต่าม่วงคันนี้ เป็นเกียร์ CVT ซึ่งช่วยเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวล ต่อเนื่อง และช่วยในด้านอัตราสิ้นเปลืองได้ดี แต่สำหรับลิขสิทธิ์ของ Mitsubishi ได้พ่วงระบบ INVECS-III เข้าไปในเกียร์ CVT ด้วย ช่วยจดจำเรียนรู้การขับขี่ของผู้ขับได้อย่างดี ซึ่งจะประมวลผลเรียนรู้นิสัยจากการขับขี่ของผู้ขับนั้นๆ ทำให้ตอบสนองได้เป็นไปอย่างที่ผู้ขับต้องการ
พวงมาลัยเป็น แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรง ไม่ใช่พวงมาลัยไฟฟ้า ความรู้สึกที่ได้เป็นธรรมชาติ ซึ่งให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับ Lancer EX ที่ผมใช้อยู่ทุกวัน ไม่มีอาการ Lag หรือ หน่วงๆ Delay ในจังหวะหักเลี้ยว เหมือนพวงมาลัยไฟฟ้า ซึ่งอันที่จริงก็แล้วแต่คนชอบ สำหรับน้ำหนักของพวงมาลัย ถือว่ามีน้ำหนักที่เบาเมื่อความเร็วต่ำและจอดนิ่ง ทำให้คุณผู้หญิงทั้งหลายสาวพวงมาลัยได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีน้ำหนักเบา คล่องตัว เวลาจอด หรือบังคับเลี้ยว ควบคุมได้ง่าย แต่ช่วงความเร็วกลางขึ้นมา รู้สึกว่าค่อนข้างจะมีน้ำหนักที่แน่น ขึ้นมามากทีเดียว อย่างที่บอกไปใกล้เคียง Lancer EX ที่ผมใช้อยู่ ตามที่ได้บอกไปแล้วข้างต้น แต่ฟีลลิ่งกับรู้สึกกระชับน้ำหนักดูแน่นกว่า ตอนขับน้องเหลือม อาจเป็นผลมาจากพวงมาลัยหุ้มหนัง ที่ให้ความจับกระชับมากขึ้นด้วย
ในส่วนของระบบห้ามล้อ เบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน ในส่วนด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก ถือเป็นปกติของรถในระดับนี้ ด้านฟีลลิ่งของแป้นเบรก ทำได้นุ่มนวล ไม่แข็งทื่อนัก แต่เบรกแล้วรู้สึก ไม่ค่อยอยู่เท้าสักเท่าใด ต้องลงน้ำหนักกันลึกมากหน่อย และนิสัยคนชอบจี้ชอบดูด รถคันหน้า ต้องขับระวังกันกับน้ำหนักแป้นเบรกแบบนี้ให้ดี
ระบบกันสะเทือนช่วงล่าง ด้านหน้าเป็น แม็คเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม เช่นเคย เมื่อร่วมกับยาง Bridgestone Ecopia EP150 165/65/14 สเป็กเดิม การซึบซับแรงกระแทก ถือว่าทำได้ดีพอตัวไม่กระด้างกระโดกกระเดก จนเกินไป อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ เพราะเป็นผลมาจากยางแก้มใหญ่นุ่มด้วย แต่สำหรับในการขับขี่ทดสอบน้องเต่าม่วง นี้ เราเน้นขับสบายชิลๆ ไม่เน้นทดสอบสมรรถนะอะไรกันมากมาย ไมได้ใช้ความเร็วสูง การยึดเกาะจึงทำได้ไม่ขี้เหล่ เท่าใดนัก ก็ตามประสารถน้ำหนักเบา เน้นนุ่มนวลขับขี่สบาย อาจมีลอยๆ บ้าง แต่ขับไม่เร็วนักก็ไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกแต่อย่างใด
ระบบความปลอดภัย “More Safety มั่นใจกว่า” จากระบบความปลอดภัย ระบบเบรก ABS, EBD ระบบถุงลมนิรภัยคู่หน้าและระบบกุญแจ Immobilizer , โครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE Body (Reinforced Impact Safety Evolution) เสริมความแข็งแกร่งด้วยส่วนรับแรงกระแทก high tensile steel และที่ขาดไม่ได้ถือเป็นเทคโนโลยีเฉพาะ Mitsubishi ซึ่งผมชอบมาก นั่นคือ ระบบ ETACS (Electronic Time and Alarm Control System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ได้แก่
• กุญแจรีโมทพร้อมระบบควบคุมกระจกมองข้าง พับและกางอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้รู้ได้ทันทีว่าได้ทำการล๊อครถแล้วหรือยัง
• ระบบสัญญาณไฟเลี้ยว เพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเล็กน้อย ไฟจะกระพริบอยู่ถึง 3 ครั้ง
• ระบบหน่วงเวลาเลื่อนเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้า ภายหลังดับเครื่องแล้วจะยังทำการเปิด-ปิดได้อีก 30วินาที
• ระบบตัดการทำงานไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟหน้ารถนั้นจะดับเองเมื่อดับเครื่องยนต์และเปิดประตู
• สัญญาณเสียงเตือน เมื่อปิดประตูไม่สนิทและมีการเคลื่อนรถออก
• ใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ เมื่อเปิดที่ปัดน้ำฝนและมีการขับที่ความเร็วเกินกว่า 60km/h ระบบจะปรับเป็นจังหวะที่ 1 ให้อัตโนมัติ
• ใบปัดน้ำฝนหลังเปลี่ยนเป็นปัดต่อเนื่อง 2 ครั้งเมื่อเข้าเกียร์ R ขณะที่ทำการเปิดใบปัดน้ำฝนหลัง
• ระบบล๊อคประตูซ้ำอัตโนมัติ หากมีการปลดล๊อคประตูและไม่มีการเปิดประตูภายใน 30วินาที
• ระบบหน่วงเวลาปิดไฟภายในห้องโดยสาร 15 วินาที หลังจากดับเครื่องออกจากรถแล้ว
สรุป กับการขับขี่น้องเต่าม่วง นี้เป็นเวลา ราว 2 วัน แบบใช้งานเดินทางปกติ เป็นรถบ้านๆ ขับง่ายๆ สบายๆ ประหยัดน้ำมัน แต่แฝงไปด้วย ความเพียบพร้อมที่มีให้ตาม Concept Be More ของ Mitsubishi Mirage ซึ่งทางเราได้เคยสรุปกันไปตั้งแต่ รีวิว น้องเหลือมเมื่อคราวก่อน สำหรับน้อง Bloom เต่าม่วง คันนี้ ก็คงไม่ได้มีอะไรแตกต่างมากมายผิดไปแปลกไปนัก นอกจากสีสันชวนสะดุดตา หวานๆ แบบผู้หญิง และสีเบาะภายใน ที่แตกต่างแบบสัมผัสได้ ก็พวงมาลัยหนัง ที่ให้ความกระชับยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก สนนราคา ไม่มากนัก 554,000 บาท แพง GLS ltd. ที่มีราคา 546,000 บาท ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากได้ Mirage ตัวท๊อปไลน์ แต่ชอบสีสันสะดุดตา เพื่อแลกความเป็น Limited Edition และ และสีเบาะ กับพวงมาลัยหนัง เพิ่มเงินอีก 8,000 บาท ถือว่าไม่มากจนเกินไป เพื่อแลกกับ 3 สิ่งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น