สวัสดีครับเพื่อนๆ แฟนเพจของ Autospinn ทุกท่าน และแล้วเราก็ได้เริ่มทำการถ่ายทำรีวิวรูปแบบ VDO ในส่วนของ Big Bike เป็นครั้งแรก กับเจ้าเขียว Kawasaki Ninja 650 คันนี้ โดยที่ตอนแรกตั้งใจอยากจะขอทำในส่วนของ Z250 แต่เนื่องจากยอดจองเยอะมากจนคิวยาว ส่งกันไม่ทำ จึงทำให้ไม่มีรถให้ทดสอบ ประจวบกับในช่วงนี้เราจะเป็นรถในพิกัด 650cc วิ่งพล่านอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ เรียกได้ว่าไม่น้อยไปกว่าตัว 250cc เลย และอีกอย่างการที่ผมเลือก Ninja 650 คันนี้ มาเพราะว่า คนที่ชอบความแรง หลายๆคน อาจจะชอบตกแต่งโมดิฟายด์รถ เพื่อให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้น, แรงขึ้น, อัตราเร่ง และ ความเร็วปลายดีขึ้น ซึ่งการที่เลือกทำแบบนั้น ท่านก็มักจะต้องหมดเงินกันไปเป็นแสนๆ เพื่อแลกกับการเพิ่มความแรงที่อยู่ในเกณฑ์จำกัด แต่สำหรับผมกลับมองว่า อยากขับขี่รถแรงง่ายๆ กำเงินที่ท่านจะต้องโมดิฟายด์รถ สักสองแสนกลาง มาซื้อ Ninja 650 คันนี้ ซึ่งสามารถทำ 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาประมาณ 4 วินาที และความเร็วปลายที่ราว 220กม./ชม. ถือว่านำเงินจำนวนไม่มาก มาแลกกันมากับความแรงอย่างง่ายดาย ที่ไม่ต้องไปโมดิฟายด์ให้ยุ่งยาก และเสี่ยงต่อการที่เครื่องจะพัง หรือสึกหรอ อีกด้วย (แต่อย่างว่านะ มันก็ 2 ล้อ ล่ะฟีลลิ่ง จะเทียบกับ 4 ล้อก็เห็นจะไม่ได้) เวิ่นเว้อกันเยอะไปหน่อยแล้ว เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
สำหรับในการถ่ายทำรีวิวรูปแบบ VDO ในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Motoaholic เป็นอย่างมากที่ได้เอื้อเฟื้อรถ Kawasaki Ninja 650 สีเขียว คันนี้เพื่อใช้ในการถ่ายทำ ซึ่งทางเราได้เลือกสถานที่ถ่ายทำ คือ ที่ถนนขนานเลียบรันเวย์ สุวรรณภูมิเนื่องจากวิ่งได้ยาวๆ ลองอัดไล่เอาความเร็วปลายได้ นอกจากนั้นในบริเวณใกล้เคียงก็พอมีพื้นที่ให้จอดถ่ายรูปได้
รูปโฉมภายนอก ที่จริง เจ้ารถคันนี้ มีชื่อว่า ER6-f ซึ่งว่ากันตามตรงมันออกจะดูไปทาง Naked Touring ซึ่ง ได้ปรับแต่งด้านหน้า มาจาก Naked ในตัว ER-6n ให้ออกเป็นสปอร์ตมากขึ้น เพราะมีคำว่า Ninja ค้ำคอ อยู่ ทรงรถจึงอาจออกมาดูไม่สวยถูกใจคอสปอร์ต สาวก Ninja โดยแท้ ทั้งวินชิลด์ด้านหน้ายกสูง ปรับได้ถึง 3 ระดับ และด้วยทรงถังน้ำมันขนาดใหญ่ แฟริ่งด้านข้างไปจนถึงท้าย เบาะนั่งสองตอน ที่บุฟองน้ำที่มีความกว้างนุ่ม นั่งสบาย แถมมีที่จับผู้โดยสาร มันจึงดูเป็นรถทัวริ่งโดยแท้ แต่เพิ่มความสปอร์ตในส่วนของไฟหน้าแบบคู่มัลติรีเฟล็กเตอร์ที่คงความเป็นสปอร์ตสไตล์นินจา เอาไว้อยู่ ไฟท้ายเป็น LED สำหรับมาตรวัดเป็นทั้งอนาล๊อคในส่วนวัดรอบเครื่องยนต์ และดิจิตัลสำหรับมาตรวัดความเร็ว แถมจอแสดงผลอัตราสิ้นเปลือง และระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันที่เหลือ
เครื่องยนต์ ความจุ 649cc 2 สูบ DOHC 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ พละกำลังอยู่ที่ 72 แรงม้า @8500rpm และ แรงบิดอยู่ที่ 64 Nm พละกำลังเครื่องยนต์มีมาให้ใช้จัดจ้าน แรงบิดมีมาแบบสัมผัสได้ตั้งแต่รอบต่ำ จนถึงย่านปานกลาง ซึ่งในเกียร์แรก แรงฉุดกระชากสูงเอาเรื่องเปิดคันเร่งหมดตั้งแต่เกียร์ 1 ล้อหน้าอาจมียกได้ สำหรับการลากรอบเร่งแซง ทำได้แบบสบายๆ การแซงรถคันหน้าทำได้หายห่วงจริงๆ ไม่จำเป็นต้อง Shift เกียร์ลง สามารถลาก แซงรถยนต์คันหน้า ได้อย่างสบายๆ แบบฉีก เพิ่มคันเร่งเข้าไปเล็กน้อย ก็แซงได้หายห่วง จริงๆ ในด้าน Top Speed เท่าที่ได้ลองดูบนเส้นขนานรันเวย์นี้ เราสามารถทำได้ที่ 205 กม./ชม. ตามตัวเลขหน้าปัดดิจิตัล ซึ่งรอบเครื่องตอนนั้น อยู่ที่ราว 9000rpm เล็กน้อย ซึ่งรอบยังพอมีเหลืออีก ราว 2000rpm ก่อนเข้า Redline คาดว่าถ้ารถโล่งกว่านี้ 220 กม./ชม. คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป
ด้านแฮนด์ลิ่ง การควบคุม รวมถึงท่าทางการขับขี่ ด้วยความที่เป็นสปอร์ต ทัวริ่ง ไม่ใช่สปอร์ตแท้ๆ แฮนด์เป็น แฮนด์บาร์ ทำให้การควบคุมดูจะลำบากหน่อย ทั้งการเข้าโค้ง และ การวิ่งขับขี่เลี้ยวหรือ ซิกแซก หน้าจะดูไวไปเล็กน้อย การวิ่งทางตรง ที่ใช้ความเร็วสูง ลมจะปะทะเข้ามาที่ช่วงแขนมากเนื่องจากแขนต้องกาง ถ้าเปลี่ยนใส่แฮนด์จับโช้ค อาจจะช่วยให้ดีขึ้น ส่วนลมที่ปะทะเข้าหน้าลำตัวตรงช่วงอก ที่ความเร็ว สัก 150 กม./ชม. ยังพอไหว เนื่องจากวินชิลด์ ด้านหน้าสามารถปรับระดับยกขึ้นได้สูง ตามสไตล์ทัวริ่งทำให้ไม่มีลมตีเข้าลำตัวมากนัก แต่ถ้าสัก 180 กม./ชม. ขึ้นไปชักจะเริ่มไม่ไหว ต้องก้มหมอบกันไป ตัวถังค่อนข้างใหญ่พอสมควร คนตัวเล็กอย่างผมขึ้นขี่ ดูจะลำบากนิดนึงในการดึงรถเพื่อควบคุมทิศทาง
โช้คอัพ หน้าเป็นเทเลสโคปิก แกนโช้คขนาดใหญ่ 41mm โช้คหลังเดี่ยวแนวนอน ความนุ่มนวล รู้สึกจะเซ็ตออกมาได้ค่อนข้างดี ไม่ถึงกับแข็ง คงเป็นเพราะสไตล์รถที่เป็นทัวริ่ง ซึ่งเน้นการขับขี่ทางไกลที่ให้ความสะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเซ็ตออกมาใช้ได้ครบทุกสภาวะการณ์
ระบบเบรก เป็นแบบ ทวินดิสก์คู่หน้า แบบ 2 ลูกสูบจาก Tokico ขนาดจานหน้า 300mm และจานเดี่ยวด้านหลัง ขนาด 220mm การเบรกถือว่าทำได้หายห่วง ไม่ต้องพูดถึง ซัดมาที่ความเร็ว 200 กม. /ชม. ก็ยังสามารถหน่วงความเร็วลงได้อย่างรวดเร็ว และไม่ออกอาการสูญเสียการควบคุม รวมถึงระบบ ABS ที่การทำงานเหมือนรถยนต์ กรณีที่กำเบรกจนสุด ล้อจะไม่ล๊อคซึ่ง ช่วยป้องกันอาการหน้าทิ่ม หรือ รถส่ายเป็นงูได้ ถือว่าผ่านสบายๆ
ยางหน้า ขนาด 120/70/17, ยางหลัง ขนาด 160/70/17
สรุป หลายท่านที่เริ่ม Bigbike จากตัว 250 เมื่อได้มาลองขี่ทดสอบตัว 650 ต้องบอกว่าความแรงต่างกันหลายขุม ซึ่งถ้าจะซื้อมาเพื่อขับใช้งานในชีวิตประจำวันแบบ everyday use รวมถึงเที่ยวเล่นเป็นบางครั้ง ถือว่าใช้ได้แบบเหลือๆแล้ว นอกจากการที่จะนำไปลงในสนามหรือขับขี่กันแบบเอาเป็นเอาตาย ซึ่ง 650 คันนี้อาจจะไม่พอได้ แต่อย่างที่ได้บอกไปกับการใช้งาน การขับขี่ควบคุม ก็จะยากขึ้นหน่อยเนื่องจากคันใหญ่ น้ำตัวมากขึ้น ถ้าขับขี่ในสภาวะรถติด ดูจะเหนื่อยเอาเรื่อง แต่ถ้ามีช่องพอมุดได้ การเร่งแซงจากกำลังเครื่องทำได้หายห่วง ยิ่งวิ่งออกทริปยาวๆ นั่งก็ สบาย ทั้งทางสรีระ ไม่เมื่อยมาก ซึ่งไม่น่าแปลก ที่เราจะเห็น 650 ทุกวันนี้เยอะพอๆ กับ 250 เพราะหลายคนมักคิดว่า ซื้อทีเดียวให้จบไปเลย ไม่ต้องมาซื้อซ้ำซ้อนขยับcc กันบ่อยๆ ซึ่งในราคา สองแสนปลายๆ ถ้าเงินคุณถึง คันนี้ก็น่าจะทำให้คุณจบได้ กับการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ (ถ้าไม่ติดตรงที่เดี๋ยวนี้รถโหลนะ) แต่ต้องขอบอกว่า อัตราสิ้นเปลืองใน กทม. นั้น คาดว่าคงไม่หนีกับ รถ Eco car สักเท่าไรแน่ๆ
ภณ เพียรทนงกิจ ผู้เขียน
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2012-Kawasaki-Ninja650-TestRide/
ความคิดเห็น