ปอร์เช่เฉลิมฉลองครบรอบความสำเร็จกว่า 50 ปีของ 911 อย่างเป็นทางการด้วยการส่ง 911 รุ่นใหม่อีกหนึ่งรุ่นเข้าสู่ตลาด เมื่อ 50 ปีที่แล้ว 911 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานมหกรรมยานยนต์ Frankfurt International Auto Show (IAA) ถัดมาอีก 10 ปี ปอร์เช่ได้ส่ง 911 เทอร์โบ (911 Turbo) แบบ prototype เข้าไปอวดโฉมในงาน IAA และมาในวันนี้ 40 ปีต่อมาปอร์เช่พร้อมแล้วที่จะนำเสนอ 911 เทอร์โบ (911 Turbo) เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ที่พร้อมเปิดตัวพร้อมกันถึงสองรุ่นนั่นคือ 911 เทอร์โบ (911 Turbo) และ 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) รถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและมาพร้อมกับประสิทธิภาพความคล่องตัวสูงสุดจากตระกูล 911 ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้รับการพัฒนาใหม่หมด มาพร้อมกับระบบ active rear axle steering, ระบบ adaptive aerodynamics, ระบบไฟหน้าแบบ LED รูปแบบเต็ม (full-LED headlights) และมีแรงม้าสูงถึง 560 แรงม้า, เครื่องยนต์มีขนาด 6 สูบมาพร้อมกับ bi-turbo charging ส่งผลให้รถ 911 เทอร์โบ ( 911 Turbo ) เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดคันนี้มีประสิทธิภาพเสมือนรถแข่งทุกประการ และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นนำที่จะทำให้การใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นสมบูรณ์แบบที่สุด อีกหนึ่ง นวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนาคือตัวถังแบบใหม่ที่ได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา ระยะฐานล้อได้รับการขยายให้ยาวขึ้น 100 มิลลิเมตร ล้อมาตรฐานที่ได้รับการติดตั้งมีขนาด 20 นิ้ว ระบบควบคุมตัวถัง PDCC active anti-roll system ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) ใหม่นี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องตัวในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และเป็นระบบมาตรฐานที่ติดตั้งให้กับรุ่น 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) อีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ในรุ่น 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) ยังได้รับการเสริมทัพด้วยการติดตั้ง Sport Chrono Package Plus ที่มาพร้อมกับ dynamic engine mounts และระบบเบรกแบบเซรามิค PCCB (PCCB ceramic brakes) มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรถ ผลลัพธ์ที่ได้คือ 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) คันนี้สามารถทำความเร็วรอบสนามแข่ง North Loop ของสนามแข่ง Nürburgring ได้ในเวลาที่น้อยกว่า 7:30 นาทีเลยทีเดียว (ติดตั้งยางมาตรฐาน) อีกหนึ่งของความโดดเด่นคือระบบเสียงของเครื่องยนต์เทอร์โบอันทรงพลังจะถูกส่งเข้าสู่ห้องโดยสารผ่านลำโพงเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ในการขับขี่ที่ดุดันและเร้าใจอีกด้วย
พละกำลังเครื่องยนต์ที่มากกว่า ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นอีก 16%
นอกเหนือจากระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเหนือชั้น ยังมีเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมไปถึงระบบ PTM all-wheel drive system ใหม่ล่าสุดที่ได้รับการติดตั้งมาในรถคันนี้อีกด้วย เครื่องยนต์มีขนาด 3.8 ลิตร 6 สูบ Turbocharged มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (direct petrol injection) พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดของรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) อยู่ที่ 520 แรงม้า (383 กิโลวัตต์) ส่วนรุ่น 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) นั้นสูงถึง 560 แรงม้า (412 กิโลวัตต์) เลยทีเดียว ปอร์เช่เป็นเพียงแบรนด์เดียวที่ผลิต Turbochargers 2 ตัวไว้ใน variable turbine geometry สำหรับเครื่องยนต์แบบที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง พละกำลังเครื่องยนต์จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ระบบขับเคลื่อนโดยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทซ์คู่ PDK 7 สปีด ซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชั่นสตาร์ท/หยุด อัตโนมัติ (auto start/stop function) อีกหนึ่งระบบที่โดดเด่นในรถรุ่นนี้คือระบบการจัดการความร้อน thermal management system ใหม่ล่าสุดที่ทำงานควบคู่ไปกับเครื่องยนต์เทอร์โบ และระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK ได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่ได้คือการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นถึง 16% โดยมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำอยู่เพียง 9.7 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตรานี้เป็นอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงของทั้งสองรุ่น)
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดมาพร้อมกับระบบควบคุม electro-hydraulic control
ปอร์เช่ได้พัฒนาระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ all-wheel drive system (PTM) ใหม่ขึ้นมาพร้อมกับการควบคุมแบบไฟฟ้าและทำการเปิดใช้งาน multi-plate coupling เพื่อให้ได้มาซึ่งการกระจายกำลังเครื่องยนต์ไปยังเพลาทั้งสองให้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งระบบนี้ได้ติดตั้งฟังก์ชั่นการระบายความร้อนด้วยน้ำมาด้วย เพื่อช่วยให้กระจายแรงบิดไปทางด้านล้อหน้านั้นทำได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการทำงานของระบบต่างๆ ที่เหนือชั้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ 911 ใหม่ล่าสุดนี้เองที่ส่งผลให้รถคันนี้มีอัตราเร่งที่เหนือชั้น โดยรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) หากติดตั้งอุปกรณ์เสริม Sport Chrono Package Plus มาด้วยนั้นจะมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 3.2 วินาที ในขณะที่รุ่น 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) ทำได้ที่ 3.1 วินาทีเท่านั้น และทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 318 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตัวรถที่กว้างที่สุดสำหรับรุ่น 911
รุ่นท๊อปโมเดลทั้งสองรุ่นได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและศักยภาพของรถที่ครบครัน ลักษณะเด่นคือแผงตัวรถด้านหลังที่ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้น โดยในรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดนี้ขยายถึง 28 มิลลิเมตร หากเทียบกับรุ่น 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) อีกหนึ่งความโดดเด่นคือล้อขนาด 20 นิ้วแบบ ทูโทนที่ได้รับการติดตั้งเป็นล้อมาตรฐานสำหรับรุ่น 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S)
ซึ่งสร้างความเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างสง่างาม ในรุ่นเทอร์โบ เอส (Turbo S) นั้นได้รับการติดตั้งไฟหน้าแบบ LED ที่มีจุดเด่นที่ไฟ Daytime running light 4 จุด เพิ่มความคล่องตัวในขณะขับขี่มากขึ้น รวมทั้งยังมีฟังก์ชั่นการควบคุมระดับไฟหน้าที่เปลี่ยนไปตามการจับภาพของกล้องอีกด้วย (สามารถเลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมให้กับรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) ได้)
ระบบ Rear axle steering เพื่อการทรงตัวที่ดียิ่งขึ้น
ระบบ rear axle steering ที่ได้รับการแนะนำในรถเทอร์โบทุกรุ่นเพื่อพัฒนาการขับขี่ในรูปแบบรถแข่งและการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันถูกติดตั้งในรถสปอร์ตทั้งสองรุ่นนี้ ระบบจะมาพร้อมกับ electro-mechanical actuators 2 ตัวแทนการควบคุมโดย conventional control arms บนเพลาทั้งซ้ายและขวา องศาการเลี้ยวของล้อหลังแตกต่างกันไปได้ถึง 2.8 ดีกรี ซึ่งขึ้นอยู่กับความเร็วของรถในขณะนั้น เมื่ออยู่ในความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และล้อหน้าเลี้ยวอยู่นั้น ระบบจะทำการนำพาล้อหลังไปในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อให้รถ 911 เทอร์โบ (911 Turbo) นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะเข้าโค้งและยังช่วยให้รถเลี้ยวเข้าโค้งได้เร็วยิ่งขึ้นและตอบสนองต่อพวงมาลัยได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งผู้ขับขี่จะรู้สึกถึงความเหนือชั้นของรถได้เป็นอย่างดีเมื่อต้องเข้าโค้งหรือทำการจอด
เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วที่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบจะทำการนำพาล้อหลังไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการที่รถได้ทำการขยายฐานล้อขึ้นอีก 500 มิลลิเมตร ส่งผลให้รถสปอร์ตคันนี้มีความมั่นคง และมีเสถียรภาพอย่างดีเยี่ยมแม้ต้องวิ่งอยู่ในความเร็วสูงก็ตาม
ระบบ Active aerodynamics เพื่อประสิทธิภาพที่มากขึ้น
ปอร์เช่ได้ทำการพัฒนาระบบ active aerodynamic system และทำการติดตั้งในรถ 911 เทอร์โบ
(911 Turbo) ใหม่ล่าสุดนี้เป็นครั้งแรก โดยระบบนี้จะประกอบไปด้วยลิ้นสปอยเลอร์หน้าที่มีความคงทนและมีการปรับได้ถึง 3 ระดับอีกทั้งยังพับเก็บได้ ทางด้านหลังมีปีกหลังที่ขยายออกมาและสามารถปรับเปลี่ยนระดับของปีกได้เช่นกัน ส่งผลให้ 911 เทอร์โบ ( 911 Turbo ) คันนี้มีความสมดุลตามหลัก อากาศพลศาสตร์และตอบสนองความต้องการในการขับขี่ของผู้ขับขี่ได้มากขึ้น ทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพและศักยภาพของการขับขี่ที่มีความคล่องตัวสูงของรถอีกด้วย เมื่อรถอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการประสิทธิภาพของเครื่องยนต์สูงนั้น ทุกชิ้นส่วนของสปอยเลอร์หน้าจะทำการขยายทั้งหมดเพื่อสร้างแรงกดทางด้านเพลาหน้า เหมือนกับทางด้านปีกหลังที่ได้รับการขยายออกมาให้สูงสุดเพื่อเพิ่มองศาของการปะทะให้มากขึ้น ส่งผลให้รถสามารถสร้างแรงกดทางด้านเพลาหลังได้มากขึ้นตามมา ประสิทธิภาพความคล่องตัวในการขับขี่นี้ได้รับการพัฒนาและสามารถทำเวลารอบสนามแข่ง North Loop ของสนามแข่ง Nürburgring ได้ดีขึ้นไปอีก
ภายในห้องโดยสารใหม่ที่มาพร้อมกับคุณลักษณะเด่นระดับ high-end
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่หมดโดยในรุ่น เอส (S) จะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ มาอย่างครบครัน อีกทั้งยังมีลักษณะเด่นด้วยการผสมผสานสีภายใน 2 สีโดยเป็นสี black/carrera red เบาะนั่งออกมาในรูปแบบ sport seats plus ที่สามารถปรับเปลี่ยนแบบไฟฟ้าได้ถึง 18 ทิศทางพร้อมด้วยหน่วยความจำ ชุดแต่งคาร์บอนได้ถูกติดตั้งเสริมเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับภายในของรถมากขึ้น เครื่องเสียง Bose sound system ได้รับการติดตั้งมาเป็นระบบเสียงมาตรฐานของรถ อีกทั้งยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกอย่าง Burmester system เป็นอุปกรณ์เสริมได้หากต้องการ ไม่เพียงเท่านี้รถคันนี้ยังได้รับการติดตั้งเรด้าจับสัญญาณในการควบคุม cruise control system และมีกล้องติดตั้งมาเพื่อตรวจจับป้ายบอกทางและตรวจจับป้ายจำกัดความเร็วอีกด้วย
ความคิดเห็น