สำหรับช่วง MT-School ในสัปดาน์นี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีการดูแลและปกป้องสีรถซึ่งกำลังได้รับความนิยมและพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้ อย่างการเคลือบสีด้วยฟิล์มแก้ว หรือ Glass Coating ว่ามันจะแตกต่างจากการเคลือบสีแบบเดิมๆหรือไม่และมีคุณสมบัติเด่นและขั้นตอนในการทำยากง่ายแค่ไหนนั้น ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลย
ก่อนจะถึงขั้นการเคลือบแก้วขอพูดถึงคุณสมบัติพื้นฐานของเจ้า Glass Coat กันซะหน่อยว่ามันคืออะไรและต่างจากการเคลือบสีแบบทั่วๆไปยังไงแบบคร่าวๆ ซึ่งการเคลือบสีรถให้เงางามนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างแรกคือตัว ผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิดตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น แต่ที่นิยมมากมีอยู่ 2 ชนิด คือแบบ "แว็กซ์น้ำ" หรือ (Liquid Wax) และแบบ "ขี้ผึ้ง" หรือ (Paste Wax) ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อนนวัตกรรมการเคลือบสีด้วยฟิล์มแก้วจะเข้ามาทำตลาดจนได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ยอมรับว่ามันคือการเคลือบสีที่ดีที่สุดในตอนนี้
ด้วยคุณสมบัติเด่นของน้ำยา Glass Coat ซึ่งมีส่วนผสมที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ บ้างก็ใช้ "แร่ควอซท์" บ้างก็ "ซีรีก้าคอมปาว" และอื่นแบบสูตรใครสูตรมัน ซึ่งล้วนให้ผลลัพท์เดียวกันคือเมื่อเคลือบแล้วน้ำยาจะมีการเซ็ทตัวเป็นชั้นฟิล์มแก้วที่มีความแข็งกว่า แลคเกอร์ หรือ (Clear Coat) เดิมที่ติดมากับรถและให้ความเงางามที่ติดทนนานกว่าการเคลือบสีทั้ง 2 แบบแรก แต่จะเงามากหรือน้อยและปกป้องได้แค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับนวัตกรรมของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่ในบ้านเราจะเป็นสินค้าจากนำเข้าจากญี่ปุ่นและอเมริกา แต่แบรนด์ Seeker ที่เราไปลองกันนั้นเป็นแบรนด์นำเข้าจากเยอรมัน โดย The Seeker ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผู้นำในด้านการเคลือบแก้วในบ้านเรา
ที่นี้เมื่อทราบคุณสมบัติกันคร่าวๆแล้วคราวนี้มาถึงขั้นตอนการขัดเคลือบจริงๆซะที ซึ่งรถที่เรานำมาเคลือบแก้วในวันนี้คือ BMW Z4 สปอร์ตประทุนสีขาวมุขที่เพิ่งถอยออกมาได้ไม่ถึงเดือนของ คุณเมธี.....หรือ "คุณเอ็ด" (SEO) ของเว็ปไซด์ Autospinn ของเราที่ขับรถมาให้ถึงที่ The Seeker Car Spa ย่านสุขาภิบาล 1 เพื่อลองผลิตภัณฑ์เคลือบแก้วตัวใหม่ล่าสุดของ Seeker ที่เพิ่งเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ไปหมาดๆ ซึ่งทางร้านบอกกับเราว่าตัวนี้เจ๋งสุดๆ และผลจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวไปดูกัน
โดยเจ้าโปรดักซ์ใหม่ล่าสุดที่ที่ว่านี้มีชื่อว่า Rock "Synthetic Glass Coat" ซึ่งมีการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีของฟิล์มแก้วให้โดดเด่นมากขึ้นทั้งในด้านของการปกป้องด้วยเนื้อฟิล์มที่มีความแข็งแกร่งและทนทานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน พร้อมคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยลดการยึดเกาะของหยดน้ำ พร้อมเพิ่มในส่วนความเงางามและฉ่ำใสของเนื้อฟิล์มมากยิ่งขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็น Glass Clot ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในตอนนี้ ซึ่ง Rock หนึ่งเซ็ทจะมีน้ำยาอยู่ด้วยกัน 3 ตัวด้วยกัน คือ
1. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับเพิ่มความเงางามและสว่างใสให้กับตัวแลคเกอร์เดิมที่เคลือบอยู่บนสีรถซึ่งมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้น
2. ตัว Bonding ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวผสานระหว่าง Clear Coat กับ Glass Clot ที่จะใช้เคลือบทับลงไปอีกชั้น
3. Glass Cloat ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำยาเคมีที่เมื่อเซ็ทตัวแล้วจะกลายเป็นฟิล์มใสที่ยึดติดกับชั้นแลคเกอร์เดิมเพื่อปกป้องสีรถอีกหนึ่งชั้นพร้อมความเงางาม
ซึ่งกว่าจะได้รถที่เงางามพร้อมการปกป้องที่ยาวนานนั้นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆที่ค่อนข้างยุ่งยากและต้องการความชำนาญเป็นพิเศษ รวมถึงต้องใช้เวลาในการทำอย่างต่ำ 1 วัน โดยเริ่มจากขั้นตอนแรก คือ
- การปรับสภาพผิวของแลคเกอร์เดิมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และเงางามที่ที่สุด ตั้งแต่การล้างรถแบบปกติก่อนด้วยน้ำยาล้างรถ X-Tra Carnauba Foam จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนปารเช็คสภาพสีรถและลบลอยด้วยครีมขัดสี Maxxshine เพื่อเรียกความเงากลับมา ซึ่งตรงนี้รถใหม่ป้ายแดงค่อนข้างได้เปรียบเพราะสภาพสีและแลคเกอร์ที่เคลือบไว้ยังดีอยู่และมีคราบสกปรกต่างๆติดอยู่น้อยจึงง่ายและใช้เวลาน้อยกว่ารถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว
- เมื่อได้สภาพสีรถและแลคเกอร์ที่เคลียร์และใสที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนในการทำ Bonding ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนกาวที่จะประสานและยึดตัวฟิล์มแก้วที่เราจะเคลือบลงไปในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญและต้องใช้ความชำนาญพร้อมเทคนิคและอุปกรณ์เฉพาะรวมถึงต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดครีมขัดสีในขั้นตอนแรกออกด้วยน้ำเย็น ซึ่งจะส่งผลในตัว Bonding นั้นยึดเกาะกับฟิล์มแก้วได้อย่างเหนียวแน่นและทนทาน ก่อนจะทำการพ่นน้ำยา Bonding ลงไปด้วย Airbush จนทั่วทั้งคัน
- จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนในการเคลือบแก้วโดยใช้ตัวน้ำยา Rock เป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องความหนาของตัวฟิล์มและให้ความแข็งแกร่งทนทานและปกป้องสีรถได้ยาวนานและความฉ่ำและเงางามกว่า เมือเทียบกับตัวฟิล์มแก้วในรุ่น HD ซึ่งจะหนากี่ไมครอนนั้นเราจะทำการวัดด้วยเครื่องวัดอีกทีหลังจากทำขั้นตอนนี้เสร็จเรียบร้อย
ซึ่งในขั้นตอนนี้จะใช้น้ำยา Rock เคลือบลงบนสีรถและทำการขัดด้วยเครื่องขัดอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม และต้องใช้เวลาพอสมควรในขั้นตอนนี้ จากนั้นก็รอให้ฟิล์มเซ็ตตัวประมาณ 2 ชม. จึงทำการวัดความหนาของชั้นฟิล์มด้วยเครื่องวัด Coating Thickness Gauge ซึ่งผลที่ได้ออกมานั้น ฟิล์มแก้ว Rock ให้ความหนาของชั้นฟิล์มออกมามาเป็นเป็นตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจถึง 106 ไมครอน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดของผลิตภัณฑ์เคลือบแก้วในเมืองไทย ในตอนนี้เลยทีเดียว
เป็นไงบ้างสำหรับการเคลือบสีรถด้วยฟิล์มแก้วกับน้ำยาตัวใหม่ ที่ได้ผลตัวเลขออกมาเกินคาดและแน่นอนว่าความหนาระดับนี้ย่อมให้การปกป้องสีรถได้ดีเหมือนกับมีเกราะอ่อนมาครอบทับไว้ ทนทานต่อรอยขีดข่วนและมีแถมยังดูและรักษาง่ายและอยู่กับรถคุณไปอีกนานด้วยอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 3 ปี พร้อมครอสดูแลรักษาที่สามารถเข้ามาเก็บลบรอยและทำการเคลือบเพิ่มอีก 1 ครั้งภายในกำนหดเวลา 6 เดือนเป็นของแถมในแพ็คเก็จ Rock
ส่วนในเรื่องของความฉ่ำใสและเงางามหลังการเคลือบนั้นในตอนนี้อาจจะยังดูไม่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากสภาพรถก่อนทำที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่แล้วแถมทางร้านยังบอกอีกว่า ฟิล์มตัวนี้ต้องใช้เวลาเซ็ตตัวเพื่อให้เกิดความเงาอยู้ราวๆ 1 - 2 วันจึงจะเห็นผลมากขึ้น แถมยังสามารถดูแลรักษาได้ตามปกติโดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรมาทำให้ฟิล์มแก้วตัวนี้หลุดออกไปได้ เว้นแต่เมื่อเกิดการเฉี่ยวชนซึ่งตรงนี้ช่วยไม่ได้จริง..
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับเรื่องราวดีๆในการเคลือบสีด้วยฟิล์มแก้วที่เรานำมาฝากพร้อมสาธิตให้เห็นกันจะๆกันไปเลย..ซึ่งถ้าใครสนใจดูแลรักษาและปกป้องสีรถด้วยการเคลือบแก้วแบบนี้ก็สามารถเลือกทำให้เหมาะกับสภาพรถและสภาวะการเงินใกระเป๋าสตางค์ด้วย ซึ่งที่นี่เค้ามีให้เลือกอยู่หลายระดับตั้งแต่หมื่นต้นๆไปจนถึงปลาย หรือจะใช้ยี่ห้ออื่นๆที่ตอนนี้มีอยู่มากมายในกลุ่มคาร์แคร์ระดับบน..ยังไงก็ขอให้หาข้อมูลกันก่อนเพื่อความชัวร์จะได้คุ้มกับเงินที่เสียไปและได้ผลกลับมาประทับใจมากที่สุดก็แล้วกัน
เรื่อง : อาณัติ สิทธิบุตร
ความคิดเห็น