เรียกว่าเป็นภาพยนตร์ที่หลายคนตั้งใจหมายมั่นปั้นมืออย่างมากในการเข้าไปชม เมื่อมันฉายเข้าโรงภาพยนตร์ และที่เราพูดถึงก็คงไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องอื่นใดไกล นอกไปจาก Fast & furious ที่เรื่องราวของแก๊งซิ่งรถดำเนินมาถึงภาคที่ 6 แล้ว หลังจากที่ทำติดต่อกันมาหลายต่อหลายภาค
ภาพยนตร์รถซิ่งระดับตำนานจนมีภาคเบียดภาพยนตร์ไซไฟขั้นเทพอย่าง สตาร์ วอร์ ทำให้มันได้รับการจับตาพอสมควร ยิ่งการมาในภาค 6 คือการเปลี่ยนตัวตนของเรื่องที่สำคัญ ที่สุด ซึ่งทีแรกนึกว่าจะสรุปจบทันทีแต่ทุกอย่างถูกพลิกผัน จนเรียกว่าเป็นภาคที่พลิกตัวตนของภาพยนตร์ก็ว่าได้
ถ้าดูเผินๆ ในภาคนี้คือภาคแห่งความมันสะใจขอหนังที่ครบรสในทุกด้าน เริ่มจากการที่สรุปเรื่องราวและระหว่างสองตัวเอง คือ โอคอนเนอร์ ที่สรุปสุดท้ายก็เคลมน้องสาว ดอมมินิค โทเร็ตโต้ “มีอา” ได้สำเร็จ” จนมีลูกด้วยกันอยู่ในสเปน ในขณะที่ดอมเองก็ได้สาวบราซิลมานอนกอดเป็นของปลอบใจ จากภาคที่แล้วแทน เล็ตตี้ ที่ม่องเท่งไปจากเรื่องตั้งแต่ภาคที่ 4
ในภาคนี้เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ฮอร์ค นายตำรวจสากล จนแต้มเมื่อพบว่ากำลังปะศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในโลก มีนามว่า “ชอร์” ซึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก็เป็นโชคดีที่รู้ว่าเจ้าวายร้ายจะหาอะไร และเขาก็มองว่าการเสียคนดีให้กับคนเลวระห่ำไม่น่าจะต้องมีต่อไป จึงเดินไปหาโจรที่ระห่ำและมีฝีมือสุดในโลก โทเร็ตโต้เพื่อยื่นข้อเสนอให้รับงาน โดยนำภาพถ่ายของเล็ตตี้ อดีตคนรักของโทเร็ตโต้ที่คิดว่าตายไปแล้วมาด้วย โดยเล็ตตี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งค์ชอร์ ในการปล้น อภิมหาการไล่ล่าจึงเกิดขึ้น
จึงไม่แปลกที่เราจะพบว่า มหากาพย์การซิ่งระดับโลกครั้งนี้เป็นเรื่องของความรักล้วนที่คุณสามารถสัมผัสได้จากภาพยนตร์ ทั้งคนรัก ความรักของเพื่อน หรือกระทั่งครอบครัว ทั้งหมดครบครัน ปลูกฝังไว้ในจิตวิญญาณของ Fast & Furious 6
เมื่อเริ่มเรื่อง ครั้งนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แก๊งดอมเปลี่ยนบทเป็นผู้ไล่ล่าแทนผู้ถูกล่า แต่ด้วยการที่เนื้อหาเรื่องทั้งหมดอยู่ในยุโรป จึงทำให้อาจจะรู้สึกแปลกที่เราไม่เห็นรถแต่งเป็นจริงเป็นจังในเรื่องนี้ เพราะเริ่ม ฮอร์ค ก็ให้เจ้ารถยนต์ BMW E60 M/T (ถ้าดูไม่ผิด) มาให้ซิ่งกัน เพื่อจับเจ้าวายร้าย “ชอร์” แต่อะไรเลยจะรู้สึกว่ามันส์สนุก เพรา ถึง BMW จะเป็นรถที่ซิ่งได้ออกรสชาติกับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จคู่ แต่แก่นของ Fast&Furious ทุกภาคคงไม่พ้นรถแต่งและการไล่ล่าสุดมันส์บนถนนนั่นเอง
การไล่ล่าไม่สำเร็จ รถพังยกเซท รวมถึงทีมมิดกันไปหลายคน ทำให้เราอดนึกว่าจะเห็นรถแต่งมา แต่ด้วยความทันสมัยของโจรที่มีระบบชิพ ทำลายรถด้วยเสี้ยววินาที ทำให้ทีมต้องไปจัดหารถยนต์เก่ามาใช้ ซึ่งทั้งหมดเป็นรถเรโทร ทั้งสิ้น เช่น Dodge Daytona หรือ Ford Escort นั่นรวมถึง Mustang ด้วย จนเรียกว่าเป็นภาคที่สาวกเรโทรชอบอย่างแน่นอน
สิ่งที่หายไปยังคงเป็นเจ้ารถแต่งทั้งหลาย เพราะแม้แต่ตัวร้ายภาคนี้เองก็ยังใช้ยนตรกรรมสุดหรู Aston Martin จนเริ่มก่อคำถามมาว่า ผู้กำกับเข้าใจแก่นของมันจริงๆหรือเปล่า เพราะ ในภาคนี้มันไม่ใช่หนัง Genre : Racing- Action แต่เหลือเพียง Motor Action เท่านั้น
ทุกอย่างมาดูดีเมื่อทอเร็ตโต้ไปแข่งใต้ดินเพื่อพบกับเล็ตตี้ ซึ่งการแข่งก็เป็นรถเรโทรซิ่งได้ไม่หวือหวาอีกเช่นเคย ส่วนฉากสะเด่าสาวๆ ที่ต้องมีเป็นวัฒนธรรมในทุกภาค ภาคนี้ก็ออกมาสั้นกระปริ๊ดเดียว ดูแล้วใครที่ชอบแก่น Fast จริงๆ คงจะบอกว่า ยังไม่ทันจะรู้สึกว่ามันสยิวแบบนี้สู้ตัดทิ้งไปเสียดีกว่า แถมรถในฉายก็ออกแก่นไปในทางซุปเปอร์คาร์ ซึ่งน่าจะมีนัยยะอะไรสำหรับภาคต่อไป
อภิมหาการซิ่งเริ่มถูกแก้ผมทุกอย่างในช่วงครึ่งหลัง ความคุ้นเคยจากภาคเก่า ถูกยำเข้ามา แทบจะเดาทางได้ทันทีเมื่อฉากปล่อยรถแข่งระหว่างเล็ตตี้และโทรเร็ตโต้ สาวเจ้านุ่งสั้นในชุดนักเรียกญี่ปุ่น ดูก็รู้ว่าแอบยืมตัวมาจากภาคที่ 3 และเมื่อแข่งๆไปๆมา ดอม ต้องเทิร์นรถ 180 องศา ก็ยิ่งทำให้นึกถึงภาคที่ 4 อย่างชัดเจน รวมถึงแม้แต่การใช้ไนตรัสออกไซค์ Nos ก็ออกอารมณ์คล้ายภาคแรก
เรื่องยำแบบไม่รู้ไปทางไหนมาทางไหน มาชัดเมื่อ โอคอนเนอร์ต้องกลับไปหาศัตรูเก่าจากภาค 4 อาร์ทูโร่ บราก้า เจ้าพ่อค้ายาที่เขาและดอมซิวมาได้ ในการปิดจ๊อบชำระแค้นให้เล็ตตี้ที่คิดว่าตายไปแล้วในตอนนั้น นั่นยังรวมถึงการที่อดีตทีมเก่าของคอนเนอร์ สตาร์เซี้ยส มารับเป็นผู้พาโอคอนเนอร์เข้าคุก ไปพบราก้า และซ้อมเขาเพื่อเข้าไปอยู่แดนขังเดี่ยวกับบราก้า ซึ่งเป็นภาพที่เราจะจำได้ จาก ภาค 4
มองไปมองมาก็เรียกว่าแทบไม่มีอะไรใหม่ เพราะพอเจอบราก้า ถามเรื่องชอร์ก็ได้คำตอบสั้นๆว่า เขาช่วยฉันยกระดับธุรกิจเป็นข้ามชาติ ก่อนที่เนื้อหาหลักจะหนักไปทางเล็ตตี้ว่า บราก้ารู้ว่า FBI จะส่งเล็ตตี้มาเป็นสายข่าวอยู่แล้ว และจริงๆแล้ว “ฟินิกส์” ลูกน้องของ บราก้า ไม่ได้ฆ่าเล็ตตี้แต่ด้วยนาทีสุดท้าย ฟินิกส์เลยกำจัดเล็ตตี้ด้วยการยิงถังน้ำมันรถ ทำให้เล็ตตี้ตกจากเขาและเสียความทรงจำ ก่อนที่ชอร์จะไปพบเธอในโรงพยาบาลเพื่อปิดปากในท้ายที่สุด แต่เสน่ห์ของเล็ตตี้ช่างบาดใจจนว่าๆง่าย ว่าชอร์อยากได้ไว้ครองเองมากกว่า
ไปๆมาๆ กลายเป็นว่าเรื่องเล็ตตี้เป็นเรื่องที่เด่น ขาดลงไปในอรรถรสซิ่งรถ เพราะ ในภาคนี้มีการจับปืนผาหน้าไม้มากขึ้น รถไม่ใช่อาวุธเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้ามากขึ้น ดอมและพวกก็รู้ว่า “ชอร์” จะต้องไปปล้นชิพคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่มันดันกลับกลายเป็นรถถังฉากไล่ล่าสำคัญจึงเกิดขึ้น อย่างที่เราได้เห็นในทีเซอร์ ซึ่งการไล่ล่าก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการแข่งขัน แม้ฉากแอ็คชั่นหลายๆ อย่าง จะดูแล้วมันส์ในอารมณ์แต่บางครั้งก็เวอร์ไปนิดเช่น เอาฟอร์ด เอสคอร์ท ปรับตัวเป็นตัวตี เอาซากมัสแตงเป็นสมอบกคว่ำรถถัง ซึ่งก็พอจะเป็นไปได้แต่ก็เว่อไปหน่อย นั่นไม่เท่ากับที่ดอม หวดฟลายเบิร์ด พาตัวเองบินรับเล็ตตี้ ซึ่งดูและก็ว้าว!!! ดี แต่สร้างหนังแอ็คชั้นไม่ได้ ไซไฟ ก็น่าจะอิงความจริงเล็กน้อย
ช่วงหลังในฉากสุดท้าย เรื่องมาพลิกอีกทีเมื่อคู่หู ฮอร์ค ตำรวจกล้ามโต โดยนายเดอะร็อค มาพบว่าคู่หูสุดเอ็กซ์ของเขา ที่ดูแล้ว ยกนิ้วว่ามีบทบาทในการโชว์ลีลาบู้เซ็กซี่มากในเรื่องนี้ เป็นสายของ “ชอร์” และเมื่อบทสรุปมาถึงการไล่ล่าครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น ระหว่างแก๊งซิ่งและเครื่องบินแอนโทนอฟ
ถ้าดูๆแล้ว สิ่งที่ขาดหายไปชัดเจ คือตัวแก๊งของชอร์ ซึ่งน่าจะมีบทบาทสำคัญระหว่างเรื่องมากกว่านี้ โดยเฉพาะเจ้า formula 1 ตัวฉกาจน่าจะออกรสที่ดูแล้วสนุกได้มากกว่านี้แน่นอน แต่ที่อภัยไม่ได้เลยระหว่างฉากนี้คือตอนที่แฟนของ ฮาน ..”จีเซล” ถูกลูกน้องชอร์พรากไปและเป็นจุดจบของเธอ ซึ่งตรงนี้อาจจะชุลมุนชุลเก ทว่าจะให้ดีสามารถที่จะทำให้ดูแล้วไม่สับสนได้เพราะ บางคนที่ดูตั้งคำถามว่าตกลงจีเซลตายยังไงแน่ แต่ที่คิดคือรู้ว่าน่าจะตายแน่ๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้
พอทุกอย่างจบลงทุกเรื่องดูเหมือนจะจบง่าย โดยเฉพาะตัวเรื่องของดอมมินิคเอง ซึ่งสาวบราซิลขอถอนทัพมาเป็นคู่หูฮอร์คแทน แต่เอากันตามความจริง เชื่อว่าหลายคนก็แอบลุ้นว่าสองสาวจะหวดกันอีกหนึ่งฉากก่อนจบหรือไม่ ในขณะที่เล็ตตี้เองก็ยังเอ๋อจำอะไรไม่ได้ต่อไป แต่สรุปสุดท้ายแก๊งเกรียนก็กลับมาครบนั้นคือบทสรุปของ Fast 6
แม้บทสรุปจากภาค 6 จะเน้นไปที่การรวมญาตินำขนวนจากภาค 4 มาเป็นแกนแก้ทุกอย่าง แต่ในท้ายเรื่อง ก็มีการนำฉากของ Fast & Furious ภาค 3 มาตัดแปะแล้ว สร้างตัวละครใหม่ ที่บ่งว่าเป็นผู้ล่าแก๊งซิ่งอีกครั้ง โดยตัวละครนี้จะรับบทโดย เจสัน สตรัทแฮม ที่การพูดถึงว่า เจ้าหนุ่มนี้เน้นขับรถหรูแล้วปราบเกรียนซิ่ง ซึ่งนั่นคือจุดจบของฮานในภาค 3รวมถึงสัญญะจากไม้กางเขนของดอมที่มอบให้เล็ตตี้ก่อนหน้า น่าจะบอกได้ดีว่า เจสัน ต้องมารับบทที่ร้ายกว่าและอาจจะเป็นเรื่องต่อเนื่องของชอร์
ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าสรุป เจสัน แสตรทแฮม จะมารับบทอย่างไรในภาคที่ 7 ซึ่งมีกำหนดฉายในปีหน้า แต่บุคคลิกของเขาจากภาพยนตร์เรื่อง transporter จากค่าย Europacorp ก็ทำให้เราหวนนึกถึงว่า อาจจะเป็นการสร้างสู่จุดกำเนิดของตัวละคร Frank Martin หรือไม่ แม้จะเป็นพียงการคาดเดา แต่การใช้รถยนต์ที่เน้นตัวหรูก็ทำให้เราอดสงสัยได้
เช่นเดียวกับการทำภาค 7 ออกมาสรุป ตำนาน Fast & Furious ก็อาจจะเป็นเพราะ Dream work ได้ร่วมกับ electronic Art ในการปลุกตำนานเกมซิ่งสู่ภาพยนตร์ในนาม Need For Speed ซึ่งน่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในฐานะภาคปฐมฤกษ์ เช่นเดียวกัน กับรถยนต์ตัวเด็ด มากมายจากซุปเปอร์คาร์ชั้นนำ ที่เราจะเห็นมันมาแล่นในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอนในปีหน้า
ดังนั้น ถ้าจะพูดแล้ว Fast & Furious 6 คือ ภาพยนตร์รถซิ่งที่สนุกครบรสใช้ได้ แต่ความครบรสถูกใจทุกคนก็ทำให้ขาดตัวตนที่ ทางผู้ผลิตอาจจะลืมไปนั่นคือ Fast& Furious ไม่ใช่แค่รถซิ่ง หรือการซิ่งรถ แต่มันคือรถแต่ง ซึ่งการที่เรื่องมาดำเนินในภาค 7 ที่โตเกียว เราคาดว่าจะเห็นอะไรที่มากขึ้นในตัวตนของ Fast& Furious ในภาคต่อไป ใครจะรู้บางทีเราอาจจะเห็นดอม หรือโอคอนเนอร์มาดริฟท์ กับชอร์น ตัวเอกในภาคสาม ที่ตอนนี้เป็น Drift King ใต้ดินในโตเกียว ดริฟท์ก็ได้ .....
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ภาพโปสเตอร์และ Fast & Furious 6 จาก Universal Picture
ความคิดเห็น