Bentley เปิดตัว Continental GT Speed Convertible รถยนต์ 4 ที่นั่ง เปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลกเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในงานมหกรรมยานยนต์ North American International Auto Show ที่เมืองดีทรอย ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
Bentley Continental GT Speed Convertible รถที่ผสมผสานกันระหว่างรถเปิดประทุนที่หรูหรากับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่ทรงพลังอย่างลงตัว เครื่องยนต์ Twin-Turbocharged 6.0 ลิตร W12 มีกำลังสูงสุดถึง 616 แรงม้า และประหยัดน้ำมันดีขึ้นอีก 15% ระบบส่งกำลังใช้เกียร์แบบ 8 สปีด ระบบช่วงล่างพัฒนาให้มีการยกระดับสูงและต่ำได้ ระบบพวงมาลัยมีความแม่นยำส่งผลให้รถมีการขับเคลื่อนและรักษาเสถียรภาพของได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้รถมีความสะดวกสบายสูงสุด ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถมีสมรรถนะในการเกาะถนนได้อย่างดี
Continental GT Speed Convertible ใหม่ล่าสุดคันนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสมกับความเป็นที่สุดในรุ่นคอนติเนนทัลของเบนท์ลี่ย์ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังผสมผสานไว้ทั้งงานหัตถกรรมชั้นเยี่ยม หรูหรา และมีพละกำลังเครื่องยนต์และประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นกว่าใคร
ล้ออัลลอยด์ 21 นิ้วที่โดดเด่น ปลายท่อไอเสียในแบบ ‘rifled’ ได้รับการติดตั้งเสริมความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ภายในห้องโดยสารเต็มไปด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยม และมีจุดเด่นด้วยการติดตั้งชุดแต่ง Mulliner Driving Specification มาเป็นอุปกรณ์ตกแต่งมาตรฐานให้กับรถ เสริมความเป็นเอกลักษณ์ของความหรูหราที่ร่วมสมัยเข้าไว้กับความเป็นสปอร์ตที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างลงตัว
Dr Wolfgang Schreiber ประธานกรรมการและประธานบริหารของเบนท์ลี่ย์ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Continental GT Speed Convertible ว่า “หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากรุ่น GT Speed ในตอนนี้เราจึงขอแนะนำ Continental GT Speed Convertible ใหม่ล่าสุดที่ออกมาสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการสัมผัสถึงความเป็นที่สุดของรถยนต์ 4 ที่นั่งเปิดประทุนที่เร็วที่สุด มีประสิทธิภาพตามความเป็นรถยนต์แกรนด์ ทัวเร่อร์ ทุกประการ อีกทั้งยังมาพร้อมกับความหรูหรา ปราณีต และได้รับการออกแบบมาให้มีความสมบูรณ์แบบ”
ระบบขับเคลื่อน: 12 สูบ 616 แรงม้า และเกียร์ 8 จังหวะ
รายละเอียดของระบบขับเคลื่อน Continental GT Speed Convertible จะคล้ายกับรุ่น GT Speed coupé เครื่องยนต์ออกมาในรูปแบบ W12 48 วาล์ว twin-turbocharged และให้พละกำลังสูงสุดถึง 616 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ใน 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-100 ไมล์ต่อชั่วโมง ในเวลาเพียงแค่ 9.7 วินาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 800 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-5,000 รอบต่อนาที
ระบบ ME17 engine management system สามารถคำนวนการทำงานได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังทำการควบคุม turbocharger และการจัดการแรงบิด และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม Continental GT Speed Convertible ได้รับการเสริมทัพด้วยระบบหมุนเวียนพลังงาน Energy recuperation system เหมือนกับเครื่องยนต์ W12 รุ่นอื่น มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีความสามารถในการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว ส่งผลให้รถสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอีก 15% หากเทียบกับรุ่นเดิม
Continental GT Speed Convertible ใหม่ล่าสุดมีระบบขับเคลื่อนที่ดีขึ้นกว่ารุ่นสปีดเดิม และมีอัตราการบริโภคน้ำมันเทียบเท่ากับรุ่น Continental GT W12 ใหม่ หากทำการเปลี่ยนเกียร์เข้าสู่โหมดสปอร์ตจะทำให้ได้มาซึ่งการตอบสนองต่อเครื่องยนต์ที่รวดเร็วขึ้น และระบบส่งผ่านกำลังจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อความเร็วของเครื่องยนต์สูงขึ้น และทำการ ‘block shifting’ ได้เร็วขึ้น (เช่น เปลี่ยนจากระดับเกียร์ 8 เข้าสู่เกียร์ 4 โดยตรงเป็นต้น) ส่งผลให้ได้อัตราเร่งที่สมบูรณ์แบบ
ตัวถัง; ต่ำลง เฉียบคมขึ้น และมีส่วนร่วมมากขึ้น
ด้วยดีกรีของความแกร่งเชิงบิดที่ยอดเยี่ยมที่ 22,500 นิวตันเมตรต่อดีกรี ทำให้ตัวถังของ Continental GT Speed Convertible มีความแข็งแกร่ง และเป็นพื้นฐานที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างประสบการณ์การขับที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการตั้งค่าช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกคู่ (Double wishbone) และช่วงล่างด้านหลังแบบ trapezoidal multi-link นี้เองที่เป็นจุดเด่นทำให้สปริงของช่วงล่างแบบถุงลมและเครื่องลดกันสะเทือนได้รับการปรับเปลี่ยน และพัฒนาให้เกิดการเกาะถนน การทรงตัว และการควบคุมรถได้ดีขึ้น อีกทั้งอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่ด้วยเช่นกัน
ระบบการลดระดับ self-levelling system ได้รับการตั้งค่าให้ลดลง 10 มิลลิเมตร จากรุ่น Continental GT convertible ช่วงล่างมีความแน่นหนาและแข็งแกร่ง รักษาเสถียรภาพของรถได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมี Anti-roll bars เข้ามาช่วยในการทรงตัวและรักษาเสถียรภาพของรถให้ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือประสิทธิภาพในการควบคุมตัวรถที่ยอดเยี่ยม เกาะถนนได้ดีขึ้นแม้จะอยู่ภายใต้สภาวะการเข้าโค้งที่หนักหน่วง
ระบบ Electronic Stability Control (ESC) ได้รับการปรับค่าให้เหมาะสมกับระบบจัดการเครื่องยนต์ (engine management system) ใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ความปลอดภัยสูงสุดและสร้างความมีส่วนร่วมในการขับขี่มากขึ้น ระบบ ESC รักษาการตั้งค่า “Dynamic Mode” ไว้เพื่อเพิ่มการ slip ของล้อที่ความเร็วสูง รวมไปถึงการเรียกแรงบิดของเครื่องยนต์คืนได้อย่างรวดเร็ว ระบบเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ค้นหาการตั้งค่าของตัวถังใหม่พร้อมด้วยกำลังขับจากเครื่องยนต์ที่สูงมากขึ้นอีกด้วย
รูปลักษณ์ภายนอก – ความเข้มข้นจากการออกแบบของเบนท์ลี่ย์
หากมอง Continental GT Speed Convertible จะพบกับความแตกต่างที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบเมทริกซ์ และช่องดักอากาศที่กันชนออกมาในรูปแบบ Dark-tint chrome หรือโครเมี่ยมเคลือบสีเข้ม ล้อมีขนาด 21 นิ้วในลาย Speed alloy wheels สร้างความโดดเด่น ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งสีเงินหรือสี Dark tint ปลายท่อไอเสียขนาดใหญ่ออกมาในรูปทรงไข่ หากเปิดฝากระโปรงรถจะพบกับท่อรวมไอดีสีดำที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีโลโก้ “B” พื้นหลังสีดำตกแต่งอยู่บนฝาครอบหมอน้ำเพิ่มความโดดเด่นเช่นเดียวกัน
ปีกหน้าของ Continental GT Speed Convertible ทำจากอลูมิเนียมแบบ superformed aluminium ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้างชิ้นส่วนของรถโดยไม่มีรอยต่อและราบเรียบเป็นส่วนเดียวกัน สามารถสร้างความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างได้รับการปรับให้ต่ำลง 10 มิลลิเมตร เติมเต็มด้วยล้อ 21 นิ้ว และเพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพของรถตามแบบฉบับรถซูเปอร์คาร์ รถคันนี้จึงได้รับการประดับด้วยสปอยเลอร์เพิ่มเติม และเสริมด้วยลิ้นบนฝากระโปรง double-horseshoe เพื่อสร้างแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์ให้กับ Continental GT Speed Convertible เมื่ออยู่ที่ความเร็วเกินกว่า 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อีกด้วย
ภายในห้องโดยสาร: หรูหรา โดดเด่นอย่างสง่างาม และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นนำ
ท่านจะได้สัมผัสกับตำนานความเป็นสปีด และความโดดเด่นที่เฉพาะจากภายในห้องโดยสารของรถ 4 ที่นั่งคันนี้ อีกทั้งยังมีจุดเด่นด้วยงานหัตถกรรมชั้นเยี่ยมด้วยชุดตกแต่งภายใน Mulliner Driving Specification เบนท์ลี่ย์ได้นำเสนออุปกรณ์พิเศษสำหรับ Continental GT Speed Convertible คันนี้โดยเฉพาะนั่นคือ แผงหน้าปัดในรูปแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถ Le Mans ที่คว้าชัยชนะและสร้างตำนานมาอย่างโด่งดังในปี 1920s อีกทั้งยังมีแผงเนื้อไม้ชั้นดี และตกแต่งคอนโซลกลางด้วยอุปกรณ์ตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ในรูปแบบสี ซาติน (อุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้) เพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ให้กับห้องโดยสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ระบบ Infotainment ได้รับการอัพเกรดซอฟแวร์ด้วยเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละภูมิภาค ถูกรวบรวมไว้ซึ่งอุปกรณ์ที่ให้ความสะดวกสบายและข้อมูลที่สำคัญ เช่น แผนที่สำหรับจุดต่างๆ ที่น่าสนใจ ภาพภูมิทัศน์จากดาวเทียม ข้อมูลการจราจร และ digital radio ระบบ Infotainment มีหน่วยความจำถึง 15 กิกาไบท์เพื่อใช้ในการเก็บเพลง และยังสามารถเล่นเพลงจากเครื่อง iPod, MP3 Player หรือเครื่องเล่น CD 6 แผ่นของรถ หรือการ์ด SD ได้เช่นกัน
ลำโพงเครื่องเสียงออกมาในรูปแบบ Balanced Mode Radiator (BMR) ซึ่งผสมผสานฟังก์ชั่นของลำโพงที่แยกเสียงแหลมและเสียงกลางไว้ในลำโพงตัวเดียว เพื่อให้ได้มาซึ่งการส่งตรงของเสียงที่ชัดเจนและให้สเปกตรัมของเสียงที่ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านี้เบนท์ลี่ย์ยังขอนำเสนอชุดเครื่องเสียง Naim ให้สามารถเลือกติดตั้งได้ ความโดดเด่นของระบบนี้คือการทำงานของลำโพงที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีและยังมีโหมด Digital Sound Processing modes หากทำการเปิดหลังคาลงนั้นผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าความสมดุลของเสียงให้เหมาะสมได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น
วิ่งไปบนถนนด้วยความเร้าใจ 356 วันต่อปี
Continental GT Speed Convertible ใหม่ล่าสุดจะทำให้คุณได้สัมผัสถึงความปราณีตตามแบบฉบับความเป็นคูเป้ หากแต่สามารถเปิดประทุนได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น หลังคามีระดับชั้น 4 ชั้นเพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถมีความสะดวกสบายในระดับสูง หลังคาได้รับการทดสอบเพื่อพัฒนาในทุกๆ สภาวะจาก -30 องศาเซลเซียส จนถึง +50 องศาเซลเซียส ผลลัพธ์ที่ได้คือหลังคามีความแข็งแกร่งและทนต่อฝน อีกทั้งยังรักษาความสะดวกสบายของห้องโดยสารไว้อย่างดีเยี่ยม ให้ความอบอุ่นกับห้องโดยสารได้แม้ต้องอยู่ในวันที่หนาวที่สุด
อีกหนึ่งจุดเด่นของรถยนต์เปิดประทุนคันนี้คือระบบให้ความอบอุ่นต่อคอ (Neck warmer) ซึ่งจะทำงานและให้ความสะดวกสบายแด่ผู้โดยสารได้เป็นอย่างดีเมื่อเปิดประทุนวิ่งในวันที่มีอุณหภูมิต่ำของช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงได้
Continental GT Speed Convertible มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเหมือนกับเบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล รุ่นอื่นๆ โดยแน้นการกระจายแรงบิดไปทางด้านหลังในสัดส่วน 60:40 เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการ understeer ระหว่างเข้าโค้งที่หนักหน่วง และระบบจะปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังตามความเหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพการเกาะถนนบนทุกๆ สภาวะอากาศ
ผลลัพธ์ที่ได้คือการผสมผสานของประสิทธิภาพเครื่องยนต์และความสามารถในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังกลายมาเป็นเบนท์ลี่ย์ที่สามารถวิ่งไปบนถนนที่ปกคลุมด้วยน้ำหรือผ่านเทือกเขาแอลป์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะด้วยความมั่นใจได้
ข้อมูลเฉพาะทางเทคนิค
GT Speed Convertible |
GT Speed |
|
เครื่องยนต์ | ||
ชนิด |
6 ลิตร twin-turbocharged W12 |
|
พละกำลังสูงสุด |
616 แรงม้า / 460 กิโลวัตต์ / 625 PS ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบต่อนาที |
|
แรงบิดสูงสุด |
800 นิวตันเมตร / 590 lb.ft ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาที |
|
ระบบส่งผ่านกำลัง | ||
ชนิด |
ZF 8 สปีดอัตโนมัติมาพร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและแม่นยำ (QuickShift) รวมถึงพวงมาลัยที่ติดตั้งก้านเกียร์มาด้วย |
|
ระบบขับเคลื่อน |
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Continuous all-wheel drive (40:60 เน้นทางด้านหลัง) |
|
อัตราการทดเกียร์ |
1st : 4.71; 2nd: 3.14; 3rd: 2.1; 4th: 1.67; 5th: 1.29; 6th: 1.00; 7th: 0.839; 8th: 0.667 |
|
Final Drive |
2.85 |
|
เบรก | ||
ด้านหน้า |
จานเบรกระบายความร้อน 405 มิลลิเมตร (หรือ 420 มิลลิเมตร Carbon Silicon Carbide, cross drilled) |
|
ด้านหลัง |
จานเบรกระบายความร้อน 335 มิลลิเมตร (หรือ 356 มิลลิเมตร Carbon Silicon Carbide, cross drilled) |
|
ล้อและยาง | ||
ล้อ |
9.5J x 21” |
|
ยาง |
275/35 ZR21 |
|
ระบบพวงมาลัย | ||
ชนิด |
Rack & pinion, power assisted, speed-sensitive ZF servotronic |
|
หมุนจาก lock to lock |
2.6 รอบ |
|
หมุนรอบวง |
11.3 m |
|
ระบบกันสะเทือน (SUSPENSION) | ||
ด้านหน้า |
ช่วงล่างแบบปีกนกแบบ Four link double wishbones, ควบคุมการลดระดับของช่วงล่างแบบถุงลมโดยระบบคอมพิวเตอร์, anti-roll-bar. |
|
ด้านหลัง |
ช่วงล่าง Trapezoidal multi-link, ควบคุมการลดระดับของช่วงล่างแบบถุงลมโดยระบบคอมพิวเตอร์, anti-roll-bar. |
|
ขนาด | ||
ฐานล้อ |
2,746 มิลลิเมตร / 108.1 นิ้ว |
|
ความยาวโดยรวม |
4,806 มิลลิเมตร / 189.2 นิ้ว |
|
ความกว้าง |
1,944 มิลลิเมตร / 76.5 นิ้ว |
|
ความกว้างรวมกระจกข้าง |
2,227 มิลลิเมตร / 87.7 นิ้ว |
|
ความสูงโดยรวม |
1,393 มิลลิเมตร / 54.8 นิ้ว |
1,394 มิลลิเมตร / 54.9 นิ้ว |
ความจุถังน้ำมัน |
90 ลิตร / 20 แกลลอน / 24 US แกลลอน |
|
ความจุของที่เก็บสัมภาระ |
260 / 9.18 cu ft |
358 ลิตร / 12.6 cu ft |
น้ำหนักรถเปล่า (EU) |
2,495 กิโลกรัม / 5500 lb |
2,320 กิโลกรัม / 5115 lb |
น้ำหนักรถรวม |
2,900 กิโลกรัม / 6393 lb |
2,750 กิโลกรัม / 6063 lb |
ประสิทธิภาพ | ||
ความเร็วสูงสุด |
325 กิโลเมตร/ชั่วโมง |
330 กิโลเมตร/ชั่วโมง |
0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง |
4.1 วินาที |
4.0 วินาที |
0-100 ไมล์ต่อชั่วโมง |
9.7 วินาที |
9.0 วินาที |
0-100 ไมล์ต่อชั่วโมง |
4.4 วินาที |
4.2 วินาที |
0-160 ไมล์ต่อชั่วโมง |
9.7 วินาที |
9.0 วินาที |
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามรูปแบบวงจรการขับขี่ EU* | ||
ในเมือง |
22.7 ลิตร/100 กิโลเมตร |
22.2 ลิตร/100 กิโลเมตร |
นอกเมือง |
10.4 ลิตร/100 กิโลเมตร |
10.1 ลิตร/100 กิโลเมตร |
ในเมืองผสมกับนอกเมือง |
14.9 ลิตร/100 กิโลเมตร |
14.5 ลิตร/100 กิโลเมตร |
อัตราการปล่อย CO2 |
347 กรัม/กิโลเมตร |
338 กรัม/กิโลเมตร |
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามรูปแบบวงจรการขับขี่ EPA ** | ||
ขับขี่ในเมือง (ไมล์ต่อกรัม (US)) |
12 |
13 |
ขับขี่บนทางหลวง (ไมล์ต่อกรัม (US)) |
20 |
20 |
ผสมผสานทั้งสองรูปแบบ (ไมล์ต่อกรัม (US)) |
15 |
15 |
ระบบควบคุมมลพิษ |
EU 5 and US LEV II |
ความคิดเห็น