เมื่อปลายปีที่แล้ว ในงาน Motor Expo 2012 ที่จัดขึ้นที่เมืองทองธานี ทางค่ายรถมาเลย์ อย่าง Proton ได้ทำการเปิดตัวรถ Compact Sedan น่าใช้รุ่นใหม่ จับยัดเครื่องเบนซิน เทอร์โบ จาก Exora Turbo เข้าไป จนมาได้เป็น Proton Preve คันนี้ พร้อมดึง ฮั่น เดอะสตาร์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งสามารถเรียกกระแสตอบรับได้ดีพอสมควร และด้วยความที่เป็นรถ C-Segment ในบ้านเรารุ่นแรก ที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ทางเราจึงมีความสนใจที่อยากจะขอมาทดสอบขับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ทว่า ยังไม่มีรถให้ทดสอบ จึงได้ทำการทดสอบรุ่น Exora Turbo กันไปก่อน จนเลยมาถึงกลางปีนี้ เราได้มีโอกาส มาทดสอบขับรถยนต์ คันนี้อีกครั้ง จะดีหรือไม่ ทั้งสมรรถนะ และออปชั่น คุ้มค่าราคาค่าตัว ตามความหมาย Preve (Prove=การพิสูจน์) หรือเปล่า นั่น เป็นสิ่งที่คุณต้องลองอ่านในบททดสอบของ Autospinn เรานี้ และเราจะ “พิสูจน์” ให้รู้กัน
สำหรับการขับรถทดสอบในครั้งนี้ ขอขอบคุณ บริษัท พระนคร ออโต้ เซลล์ สำหรับรถทดสอบ Proton Preve รุ่นท๊อป Premium CVT CFE สีขาว Solid White สนนราคา 759,000 บาท
เริ่มมองจากรูปลักษณ์ภายนอก ถือว่า Proton Preve เป็น รถ Sport Sedan ที่มีดีไซน์ โฉบเฉี่ยว ทันสมัย และลงตัว อีกทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ด้วย การดีไซน์ตั้งแต่ด้านหน้าไปยันท้ายรถดูลงตัว ไฟหรี่ด้านหน้า เป็น LED สไตล์ DRL ซึ่งทำให้รถมีความทันสมัย รวมถึงโคมไฟหน้าที่เป็นแบบโปรเจ็คเตอร์ กระจกมองข้างก็มาพร้อมไฟเลี้ยวในตัว โดยจะพับเก็บอัตโนมัติเมื่อทำการล๊อครถ ซึ่งคอยช่วยมอนิเตอร์ตัวเองได้เป็นอย่างดี ว่าเราล๊อครถแล้วหรือยัง ด้านท้ายมีสปอยเลอร์แบบ แนบฝากระโปรงท้ายแบบตูดเป็ดเล็กๆ บางๆ นอกจากนั้นยังมีส่วนของครีบเรียงอากาศที่คอยช่วยในด้านอากาศพละศาสตร์ เพิ่มเติม อยู่ที่ด้านข้างบริเวณกระจกมองข้าง ล้ออัลลอย 16” ดีไซน์เรียบออกเรียบหรู หุ้มยาง GT Radial 205/55/16 ด้านมิติตัวรถ ค่อนข้างใหญ่กว่าชาวบ้านชาวช่อง ดูจะเป็นรองเพียงแค่ Nissan Sylphy เท่านั้น สำหรับน้ำหนักตัวนั้น สูงสุด อยู่ที่ 1,360 กก.
เข้ามาที่ภายในห้องโดยสาร ออปชั่นก็มีมาให้แบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็น ปุ่ม Engine Start ซึ่งมีลูกเล่นที่จะต้องเสียบกุญแจ เข้าไปที่ด้านข้างก่อน เหยียบเบรกและกดปุ่ม (เป็นสไตล์เดียวกับ BMW 5-Series E60), เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, แป้น Paddle Shift ไว้เปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย, Multifunction และ ปุ่มควบคุมจอดิสเพลย์ ถูกจัดวางบนพวงมาลัย ก้าน Cruise Control อยู่ด้านล่างขวา หลังพวงมาลัย , ระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติพร้อมปัดน้ำฝนอัตโนมัติ โดยมีแผงเซ็นเซอร์ติดตั้งอยู่ที่กระจกบานหน้า, หน้าจอเครื่องเสียง พร้อมระบบนำทาง เป็นของดีจากยุโรป (เยอรมัน) แบรนด์ BLAUPUNKT และยังรองรับการใช้งานโทรศัพท์ผ่านบลูทูธ อีกด้วย โดยรวมภายในถือว่าคุ้มค่าราคาเลย แต่อาจต้องทำใจกับ วัสดุภายในที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก ซึ่งเทียบกับราคา ที่ให้มา เท่านี้ก็ถือว่ามากเกินคุ้มแล้ว แต่มีสิ่งที่ไม่ค่อยชอบ คือเบาะ เพราะแข็ง และดูแบนเรียบ ทำให้ไม่กระชับกับลำตัว เมื่อนั่งขับไปนานๆ ทำเอาเมื่อย และนั่งไม่ค่อยสบาย นอกจากนั้น พนักพิงศรีษะก็แข็ง ที่เท้าแขนก็แข็งอีกเช่นกัน แต่พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังต้องบอกได้เลยว่า กว้างใหญ่สบาย เกินมาตรฐาน รถ Compact ทั่วไป ไม่อึดอัด สำหรับคนร่างกายสูงใหญ่ อย่างแน่นอน ตามที่บอกไป ดูน่าจะเล็กกว่าเพียงแค่ Nissan Sylphy เท่านั้น แถมด้วยเบาะด้านหลังสามารถพับลง 60:40 ได้อีก
มาที่ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน Campro CPE ความจุ 1,561cc พร้อมเทอร์โบ จาก Borg Warner (แบรนด์นี้ไม่ธรรมดา เคยผลิต OEM ให้กับ Porsche,BMW, Audi มาแล้ว) สร้างกำลังได้ 138 แรงม้า@5000rpm แรงบิด 205 Nm ซึ่งมาตั้งแต่รอบต่ำ เพียง 2000rpm
ด้านการขับขี่ ครั้งแรกที่เหยียบแป้นคันเร่ง การตอบสนองของแป้นคันเร่งดูจะหน่วงๆ ช้า เมื่อค่อยๆ แตะคันเร่งจะรู้สึกทันที่ว่า มันอืดแน่ๆ ซึ่งถ้าขับแบบคนเท้าเบาเดินคันเร่ง เนียนๆ นั่น ก็คงจะดูอืดจริง เพราะแป้นคันเร่งดูมีน้ำหนัก และไม่ได้ตอบสนองฉับไว แต่เมื่อกดลงน้ำหนักแบบเต็มเท้า นั่นอาจทำให้คุณเปลี่ยนความคิดในทันที เพราะหลังจากเครื่องยนต์รอบูสท์มา ช่วงอึดใจหนึ่ง เสียงใบพัดจากหอยโข่ง ถูกปั่นอย่างรวดเร็วดังเป็นเสียงแหลม ไม่ทุ้ม แม้ฟังดูไม่ค่อยเพราะเท่าไร แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะมันเป็นสิ่งที่ส่งให้ Proton Preve ที่ดูคันใหญ่ เทอะทะลำนี้ กระโจนออกไปได้อย่างรวดเร็ว รอบเครื่องยนต์กวาดขึ้นไปอยู่ที่ 4000rpm อย่างรวดเร็ว และค่อยๆขึ้นอย่างช้าเรื่อยๆ ความแรงมีให้ในแบบที่สัมผัสได้ต่อเมื่อขับรถพิกัด 2.0 เพียงแต่ Preve ให้ความนุ่มนวลกว่า ไม่กระชาก เหมือนรถเกียร์ AT เพราะ คันนี้ใช้เกียร์แบบ CVT
ถึงเวลาลองวัดอัตราเร่ง และ Top Speed กันแล้ว 0-100 กม./ชม. ในเวลา 10.2 วินาที ซึ่งทำได้เร็วกว่า Civic 2.0 และ Hyundai Elantra ซึ่งตอนนี้ Proton Preve กลายเป็นแชมป์ 0-100 ในกลุ่ม C-Segment รถตลาดบ้านเราไปเป็นที่เรียบร้อย ด้าน ¼ ไมล์ ทำได้ใน 17.7 วินาที ที่ความเร็ว 137 กม./ชม. ด้าน Top Speed ตามเรือนไมล์ ไปสุดที่ 210 กม./ชม.@5500rpm และไม่กระดิกต่อแล้ว ต้องบอกได้เลยว่าสมรรถนะแบบนี้เหลือเฟือ สำหรับเล่นกับ พวกกระบะบ้าพลัง หรือ รถ ในกลุ่ม D-Segment พิกัด 2.5 เลยล่ะ
ด้านอัตราสิ้นเปลืองตามหน้าจอ MID โชว์ การวิ่งใช้งานการจราจรสภาพชานเมือง โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย 100-110 กม./ชม. ได้อยู่ที่ราว 12.05 กม./ลิตร ดูจะกินน้ำมันในระดับเดียวกับรถพิกัด 2.0 ทั่วไป แต่กินกว่า Civic 2.0 และ Elantra อย่างแน่นอน เพราะ 2 ค่ายนั้น ทั้งแรงทั้งประหยัด
โดยรวมสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเกินคาด ถือเป็นจุดขายที่ยอดเยี่ยมของรถคันนี้ อัตราสิ้นเปลืองทั่วๆไป ในรถพิกัด 2.0 ซึ่ง หลายคนที่เน้นความแรงด้านขุมพลัง คงไม่ใส่ใจกับอัตราสิ้นเปลืองนัก เพราะความแรง และความประหยัดมักสวนทางกัน แต่คันนี้ก็ถือว่าทำได้ตามเกณฑ์ ไม่ได้ประหยัด หรือ ซดจนเกินไป
ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 7-Speed แม้จะมีมากถึง 7 สปีด แต่อัตราทดเกียร์ นั้น ไม่ได้เซ็ตออกมาเน้นประหยัดนัก เน้นเปลี่ยนเกียร์เรียบนุ่มนวล ขึ้นเกียร์ได้ต่อเนื่องรวดเร็ว ถึงแม้เกียร์ CVT ดูจะไม่เข้ากับบุคลิก เครื่องยนต์เทอร์โบ เท่าใดนัก แต่การตอบสนองนั้นยังทำได้ว่อ งไวดี อัตราเร่งจี๊ดจ๊าด กระชากใจ ไม่ว่าจะ Kickdown หรือ กดก้าน Paddle Shift เกียร์ CVT ลูกนี้ให้การตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้รำคาญใจ ลองโยกมาเล่นที่โหมด S ดูจะลากรอบได้มากกว่าหน่อย แต่ เมื่อ กดที่ก้าน Paddle Shift ก็มีค่าเท่ากัน กับ โหมด D เพราะ จะกลายมาเป็นโหมด Manual ให้ทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่ง D และ ผลักคันเกียร์ไปทางซ้าย ให้เสียเวลา แต่อาจมีเซ็งกับแป้น Paddle Shift กันบ้าง เพราะมันดูเป็นพลาสติก ที่บางมากๆ กดไป ไม่รู้สึกรับรู้ถึงฟีลลิ่งของการ Shift เกียร์เลย
ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ลองวัด 3 ค่า ได้ดังนี้
80 กม./ชม. =1800rpm 100 กม./ชม. =2150rpm 120 กม./ชม. =2500rpm
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยแบบเพาเวอร์ไฮโดรลิค มีน้ำหนักสูงมาก เล่นเอาเวลาขับช้าๆ หรือแม้แต่ถอยจอด สาวมือกันเหนื่อยแน่ๆ คุณผู้หญิง เจอเข้าคงไม่คิดขับไปอีกเลยก็เป็นได้ แต่ทว่าเมื่อใช้ในการขับขี่ที่ความเร็วสูง มันทำหน้าที่ได้ดี มีความนิ่งมั่นคง แม้กระทั่งขับที่ความเร็วในระดับ 180 กม./ชม. ก็ตาม แต่อัตราทดพวงมาลัยดูจะสูงไปนิด ทำให้องศาวงเลี้ยว นั้นเพิ่มขึ้น กล่าวคือ การหักเลี้ยวต้องสาวพวงมาลัยมากขึ้น เพื่อให้รถเลี้ยวเข้าได้ และระยะฟรีมีน้อยมาก จึงทำให้รู้สึกได้ว่า เมื่อพ้นระยะที่มีน้ำหนักพวงมาลัยไปแล้ว หักอีกนิดเดียว พวงมาลัยจะดูไวเกินไป เมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง และความรู้สึกที่ได้ยังไม่ค่อยแม่นยำนัก ในการคุมแฮนด์ลิ่งในช่วงจังหวะโค้ง ฟีลลิ่งยังดูหลอกมือไปหน่อย ราวกับขับพวงมาลัยไฟฟ้าอยู่
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบ แม็กเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ทางด้านหลัง ใช้มัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง นี่ล่ะจุดเด่น ที่อ้างสมรรถนะมาจาก Lotus ใช่เลยเซ็ตช่วงล่างออกสไตล์สปอร์ตชัดเจน แข็งไม่เน้นนุ่มนวล มีระยะยุบตัวเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับกระด้างมากจนรับไม่ได้แบบรถโหลดสปริงเตี้ย เพราะรู้สึกได้ว่ายังมีการซับแรงกระแทกจากโครงสร้างที่ดูหนักแน่น และเนื่องด้วยแก้มยางที่มีให้หนาพอตัวขนาด 205/55/16 ในด้านการยึดเกาะถือว่าทำได้นิ่ง เกาะถนนดีเกินคาด ไม่ว่าการใช้ความเร็วสูง ในช่วง Test Top Speed ยังไม่รู้สึกอาการหวิว ว่ารถจะลอยบินเหินไปขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนรถที่เคยทดสอบในหลายรุ่น การเข้าโค้งทำได้ดีเยี่ยม แม้ใช้ความเร็วสูง แต่ถ้าเล่นโยนเข้าโค้งแบบผิดไลน์ไป จะมีอาการสไลด์ไถลออกบ้าง อาจเป็นผลจาก ซีรีย์ของยางด้วยส่วนหนึ่ง แต่ด้านหน้าตัวรถนั้นถ้าเข้าโค้งแบบความเร็วทั่วๆไป หรือ ใช้ความเร็วในระดับที่ไม่สูงมาก หน้าจิกเกาะได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากการมีค้ำโช้คด้านหน้า ติดมาให้ด้วย เมื่อขับแบบ Lane Change ซ้าย-ขวา แบบ Slalom นั่น แทบไม่พบอาการโยนตัวของตัวรถเลย ตัวรถจะเอนเหวี่ยงออกไปทั้งลำ ซึ่งทำผู้ขับรู้สึกได้เลยว่าช่วงล่างมีความหนักแน่นดีมาก มั่นคงกับการขับเอาสนุก แต่คนที่นั่งโดยสารไปด้วยอาจไม่สนุกตาม และจะบ่น เวียนศรีษะ ได้กับอาการ เช่นนี้
เบรก แบบดิสก์ 4 ล้อขนาดจาน 15” (380มม.) ใหญ่สะใจทั้งล้อคู่หน้าและหลัง สำหรับคู่หน้ามีช่องระบายความร้อน ระยะในการเหยียบแป้นเบรกลึกไปหน่อย ต้องเหยียบแป้นลงไปค่อนข้างลึก แต่ถือว่าหนึบแน่นหยุด ได้แน่นิ่งคาเท้า แม้รถแรงอย่างเทอร์โบ ซึ่งตอนแรกกลัวว่าจะเอาไม่อยู่ แต่ด้วยไซส์ จานขนาดใหญ่ 380มม. ทั้งหน้าและหลัง จึงทำให้การเบรกออกมาหนึบกว่าที่คิด เอาอยู่หายห่วงแน่นอน
นอกจากนี้ระบบความปลอดภัย มีมาให้ แบบรถพิกัด 2.0 ไม่ว่าจะเป็น ระบบป้องกันล้อลื่นไลถ (Traction Control) จนถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (Auto Wiper), ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ถุงลมและม่านถุงลมนิรภัย ที่เหลือก็เป็นออปชั่นที่มีอยู่ทั่วๆไป ระบบเบรก ABS, EBD กุญแจรีโมทพร้อมสัญญาณกันขโมย Immobiliser
สรุป Proton Preve รถ C-Segment (Compact) Sedan ที่ให้ออปชั่นแบบจัดเต็ม ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงระบบความปลอดภัยมีให้แบบไม่กั๊ก นอกจากนั้นสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมในระดับรถพิกัด 2.0 (แถมเหนือกว่า) ทั้งหมดที่ว่านี้ ฟังดูแล้วการจะเป็นเจ้าของคงต้องมีเงินในกระเป๋าหลักล้าน แต่สำหรับ Proton Preve คันนี้ คุณสามารถครอบครองได้ในราคา B-car (Sub-Compact) เท่านั้น แต่ ก็มีข้อเสีย อยู่ในบางประการตามที่ได้ กล่าวไปในด้านของวัสดุภายใน แต่ก็ถือว่า สมกับราคาแล้ว กล้าการันตีได้เลย ถ้ามองหารถสมรรถนะดีขับสนุกสักคัน ในราคาที่เหมาะสม ต้องคันนี้เลย Proton Preve เรื่องที่เหลืออาจอยู่ในส่วนของศูนย์บริการ และพวกอะไหล่พาร์ทต่างๆ ที่ทางผู้แทนจำหน่าย จะต้องเตรียมความพร้อม และศูนย์บริการ อีกจุดที่ ถือเป็นสิ่งสำคัญ
ภณ เพียรทนงกิจ ผู้เขียน
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2013-Proton-Preve-TestDrive/
ความคิดเห็น