เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2556 Kawasaki Motors ประเทศไทย ทำ Surprise กันได้อีก กับการเปิดราคา Kawasaki Ninja300 ABS ในงาน Group Test สื่อมวลชน ที่สนามโบนันซ่า เขาใหญ่
รีวิว 2013 Kawasaki Ninja 300 ABS
ทำเอาหลายคนงงอึ้งไปตามกัน เพราะทางเราได้เกาะกระแส ของตัว Kawasaki Z800 กันมาอย่างต่อเนื่อง แต่โดน Ninja300 ABS ชิงตัดหน้าแย่ง Scene กันไปก่อน โดยมีค่าตัวอยู่ที่ 182,500 บาท มาพร้อมสีให้เลือก 3 สี เขียว-ดำ, ส้ม-ดำ และ ขาว-ดำ โดยที่คุณต้องจ่ายเพิ่มอีก 20,000 บาทถ้วน เพื่อให้ได้มา ซึ่ง ความจุบอกสูบเพิ่มอีก 50cc, ระบบ ABS, Slipper Clutch และยกเลิกไลน์ผลิตในตัว Ninja250 สำหรับผู้ที่จอง Ninja250 ไว้และยังไม่ได้รับรถ ทาง Kawasaki ก็จัดการปัดขึ้นเป็น Ninja300 ให้ ไม่ต้องมาเสียดายคอตกกัน แต่ลูกค้าที่ใช้ 250 อยู่ ก็คงเสียดาย โมเดลของตัวเองกันเป็นแถว เพราะว่าตกรุ่น ไปเสียแล้ว ว่าแต่ การที่เพิ่มเงิน สองหมื่น แลกมากับ 3 สิ่งที่พัฒนาให้ดีขึ้น กราฟฟิคลายใหม่ มันจะคุ้มค่ากันไหม มาตามอ่านกันเลย
ในการขี่ทดสอบ Kawasaki Ninja300 ABS ในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ ทาง Kawasaki Motors ประเทศไทยเป็นอย่างสูง ที่ให้เราได้ยืมรถทดสอบคันสีขาว-ดำ คันนี้มาทำการทดสอบ แบบ Exclusive กันก่อน (สำหรับในส่วน VDO จะรีบตัดต่อและตามมาในเร็วๆนี้ รอชมกันได้)
เริ่มมองภายนอกกันเลย ดูไปดูมาเผินๆ คนไม่รู้เรื่องคงนึกว่าเจ้านี่ ก็คือ Kawasaki Ninja 250 ทำลายกราฟฟิคใหม่ นอกนั้นก็เหมือนเดิมแทบทั้งหมด เพราะ Ninja250 ก็ได้ดีไซน์มาจาก รุ่นพี่ตัวแรงทั้งหลาย เริ่มตั้งแต่ ไฟหน้าคู่แบบแยก 2 ข้าง และไฟเลี้ยวแบบแปะติดแฟร์ริ่ง เหมือนดั่ง Ninja ZX-6R, Windshield หน้าแบบลอย แบบไม่ยึดติดเฟรม ตามแบบฉบับของ Ninja ZX-10R, ล้อแม็กแบบ 10 ก้าน ตามแบบ Ninja ZX-14R นอกนั้นจุดอื่นก็ยังเหมือนเดิมหมด ทั้งมาตรวัด Digital ที่เป็นจอ LCD สามารถ เซ็ตทริป A,B ได้ พร้อม สัญลักษณ์ Eco แสดงสถานะ การขี่แบบประหยัดน้ำมัน มีจุดหนึ่งที่เสียดาย ที่ทาง Kawa น่าจะใส่มาเลย ซึ่งยังคงเป็นเหมือนเดิมกับตัว Ninja250 นั่นคือกับประกับสวิทซ์ไฟซ้ายที่ถึงแม้มี ไฟ Pass แต่เสียที่ไม่ใส่สวิทช์ไฟ Hazard มาด้วย ทั้งที่มีช่องสำหรับปุ่มไฟ Hazard ด้านมิติตัวรถความยาวสั้นลงกว่าตัว Ninja250 ลงไป 5 มม. เหลือ 2,015 มม. ความกว้าง และสูงเท่าเดิม 715 และ 1,110 มม. ระยะฐานล้อสั้นลง 10 มม. เหลือ 1,400 มม. ความสูงเบาะ 785 มม. น้ำหนักตัว หนัก 174 กก. เพิ่มขึ้น 2 กก. ความจุถังน่้ำมันเท่าเดิม 17 ลิตร และมีวงเลี้ยวแคบสุดที่ 2.4 เมตร เท่าเดิม
สำหรับท่าทางในการขับขี่ ความสูงเบาะ 785 มม. ซึ่งเมื่อคนที่มีส่วนสูง 174 ซม. อย่างผมไปนั่งคร่อม ถือว่าเหยียบได้เต็ม 2 เท้าอย่างสบายๆ การวางแขน บริเวณแฮนด์ ถ้าหากหักวงเลี้ยวสุด จะติดข้อมือ จากทรงถังที่เหลี่ยม และดูอ้วนกว้างขึ้น รวมถึงบริเวณแฟร์ริ่งข้างตัวรถ ขาหนีบทั้ง 2 ข้างยังดูไม่ค่อยกระชับกับสรีระนัก แต่เมื่อขี่ที่ความเร็วสูงและก้มลมเพื่อหลบลมประทะ พบว่า ลำตัวที่แนบลงกับถังน้ำมันมีความกระชับขึ้นมากว่า Ninja250 โฉมเก่า
ด้านการขับขี่ในตัวเมืองเพื่อลุยกับสภาพการจราจรที่ติดขัด คาดว่า การมุดนั้น ดูจะลำบากกว่า โฉมเก่าเล็กน้อย เนื่องจากทรงรถบริเวณด้านหน้า จะออกแนว (หัวโต ท้ายลีบ) แต่ถ้าหาก พับกระจกเก็บ รับรองว่ามุดได้ ไม่แพ้ รถบ้าน ทั่วๆไป แน่นอน เว้นเสียแต่ว่า หากมีการตัดข้ามเลน อันนั้นเสียเปรียบชัดเจน จากมิติตัวรถที่มีความยาว กว้าง และใหญ่กว่ามาก
สำหรับการระบายความร้อน ในโครงสร้างของ Ninja ตัวใหม่นี้ ทั้ง 250 และ 300 ถูกออกแบบฝาครอบพัดลมระบายความร้อนให้ลงสู่ด้านล่าง ซึ่งหากเราใส่รองเท้าแตะ หรือรองเท้า ที่บางๆ เวลาจอดจะรู้สึกได้ทันทีถึงความร้อนที่แผ่ออกมาบริเวณเท้าข้างซ้าย ในขณะที่ตัวเก่า จะร้อนบริเวณน่องขาด้านขวา
ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ ความจุ 296cc แบบ 2 สูบเรียงมีหม้อน้ำ DOHC 8 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 39 แรงม้า @11,000rpm และแรงบิด 27Nm @10,000rpm ในขณะที่ Ninja250 มีแรงม้า 31 ตัว ที่รอบเครื่องเท่ากัน และแรงบิด 21Nm @8,500rpm
เอกลักษณ์ของเครื่องยนต์บล๊อกนี้ อยู่ที่ลิ้นปีกผีเสื้อคู่ ลักษณะเดียวกับ ZX-6R และ ZX-10R ช่วยให้ไอดีไหลได้ราบรื่นขึ้น พอร์ทไอดี ได้ถูกออกแบบใหม่ให้กว้างขึ้น 1-2 มม. ทำให้มีปริมาตรอากาศเพิ่มขึ้นช่วยในรอบเครื่องยนต์ต่ำ ด้านวาล์วไอเสีย เพิ่มขนาดขึ้นอีก 1 มม. ช่วยการตอบสนองในรอบสูง อัตราส่วนกำลังอัด Ninja300 ลดลง เหลือ 10.6:1 (Ninja250 อยู่ที่ 11.3:1) ลูกสูบก็ถูกออกแบบใหม่ให้มีน้ำหนักเบาลงอีก 4.6 กรัม (ต่อ 1 ลูกสูบ) รวมถึงการชุบอลูมีเนียมที่บริเวณหัวลูกสูบ และร่องแหวน เพื่อความแข็งแรงในการทนต่อความร้อน สลักลูกสูบสั้นลง 5 มม. และน้ำหนักลดลงอีก 4 กรัม ก้านสูบสั้นลงจาก 98.5 มม. เหลือ 95.7 มม. และสำหรับความจุดที่เพิ่มขึ้นได้มาจาก เพลาข้อเหวี่ยงที่ยืดระยะชักขึ้น จาก 41.2 มม. เป็น 49 มม. มีความจุน้ำมันเครื่อง 2.4 ลิตร
ด้านระบบไอเสียก็ถูกออกแบบใหม่ โดยเพิ่มขนาดคอท่อ จาก 25.4 มม. เป็น 28.6 มม. และการออกแบบใหม่นี้ ลักษณะจะกลับไปคล้าย Ninja250 โฉมเก่า ที่มีการวิ่งออกจากคอท่อและ แยกออกจากกัน (Ninja250 โฉมปัจจุบัน คอท่อจะเดินขนานกัน) ในส่วนบริเวณทางเดินไอเสียหลังจากผ่านพักกลางมาถูกขยายกว้างขึ้นอีก 1.1 มม. ในขณะที่ปลายท่อยังคงเป็นทรงเดิม
ฟีลลิ่งการขับขี่ ทันทีที่กำคลัชตบเกียร์ลง 1 และปล่อยคลัชเปิดคันเร่งไปนั้น สัมผัสได้ถึง Torque ที่มาเร็วขึ้นแบบชัดเจน ซึ่งมาตั้งแต่รอบเครื่องประมาณ 3,000rpm เลยไปเล็กน้อย ในขณะที่ตัวเดิม จะรู้เริ่มสัมผัส Torque ได้ที่ ราว4,500rpm ถึงจะเริ่มสัมผัส Torque แรงดึง แต่ก็น้อยกว่า ของตัว Ninja300 นี้อยู่ดี ที่จริงแล้ว เพียงแค่กำคลัช แล้วปล่อยก็รู้สึกได้ทันทีว่า รถออกโดดๆ พุ่งกว่าเดิมมาก เราลองวัด 0-100 กม./ชม. จาก กล้อง Go Pro ที่จับอยู่ และนับเวลาดู ทำได้ที่ราว 4.8 วินาที โดยการสับเกียร์ ที่ 13,000rpm ก่อนเข้า Redline ทุกเกียร์ จนลากไปถึง Top Speed แต่น่าเสียดาย ที่กล้อง Go Pro พับลงเสียก่อน ความเร็วปลายที่เราทำได้ ณ ขณะนั้น ตัวเลขวิ่งสลับกัน ระหว่าง 179 กับ 180 กม./ชม. ไม่เกินนี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดที่เราทำได้ เฉลี่ยได้ความเร็วปลาย ขึ้นมาอีก ราว 10 กม./ชม. จากตัวเดิม จะเห็นได้ชัดว่า Ninja300 นี้สมรรถนะอัตราเร่งมีความโดดเด่นขึ้นชัดเจน แต่สำหรับปลาย ไม่ได้โดดเด่นกว่าเดิมมากนัก
ระบบส่งกำลัง ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Assist & Slipper Clutch ซึ่งเป็นเทคโนโลยี จากรถ Supersport เช่นเดียวกับ ZX-6R โดยแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน Assist Function จะช่วยให้คลัขจับตัวกันดีขึ้น Slipper Function จะช่วยในการลดการกระชาก ในจังหวะ E-Brake (Shift Down เกียร์ลง) และป้องกันล้อหลังล๊อค ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการส่ายท้ายปัด จากการขับขี่ใช้งานจริง พบว่าคลัชนิ่มลง ในจังหวะที่งัดเกียร์ขึ้น ยังรู้สึกไม่แตกต่างจาก Ninja250 นัก คือไม่ได้ช่วยให้เข้าเกียร์ได้เนียนขึ้น ในบางจังหวะเกียร์ยังงัดขึ้นยากเหมือนเดิม คือ ความรู้สึกเหมือนกับถูกถ่ายออกเป็น 2 จังหวะ ในการงัดเกียร์ขึ้น ยังไม่ค่อยจะลงล๊อคนัก แต่ที่ค่อนข้างเห็นได้ว่าดีขึ้น คือ ในจังหวะ Shift Down เกียร์ลง จะนิ่มขึ้น แทบไม่มีการกระชาก เว้นแต่ ลดจากเกียร์ 2->1 ที่มีอัตราทดที่จัด ในด้านความรู้สึกของเกียร์ Slipper Clutch นี้ จะรู้สึกเหมือนกับการปล่อย คลัช ช้าลงเเหมือนมีจังหวะดีเลย์ อยู่ ซึ่งทำให้การลดเกียร์ ลงดู Smooth นุ่มนวลขึ้น
ซึ่งว่าตามจริงหากเทียบ Ninja250 โฉมปัจจุบัน นั้นการเข้าเกียร์ดีกว่า ตัว Ninja250 โฉมเก่าอยู่แล้ว นุ่มนวลกว่า เพราะฉะนั้น หากผู้ที่ขี่ Ninja250 โฉมปัจจุบันนี้ ขี่แบบไม่ได้จับอาการ ของการเข้าเกียร์มาก อาจจะรู้สึกเพียงแค่ คลัชนิ่มขึ้นเท่า นอกเสียจาก พวกที่ชอบ เล่นโค้ง โดยการ Shift Down เกียร์ ลงก่อนแบนโค้ง ลงสัก 2-3 เกียร์ อันนั้น จะสัมผัสได้ชัดเจนว่ารถไม่มีอาการกระชากส่าย
พูดถึงอัตราทดเกียร์กันบ้าง สเตอร์ของ Ninja250 เป็น 14/44 ในขณะที่ Ninja300 เป็น 14/42 สเตอร์หลังเล็กลง ซึ่ง 2 ฟัน (Ninja250 ปี 2012 ลงไป สเตอร์จะเป็น 14/43) เมื่อดูแล้ว นั่นทำให้ เน้นปลายมากกว่าต้น มีอัตราทดเกียร์ 1 ที่ 2.714 และ สำหรับเกียร์ 6 ที่ 0.857
ระบบเบรก จานดิสก์เบรคหน้าเดี่ยว ขนาด 263 มม. และ ขนาด 193 มม.สำหรับจานหลัง ทั้งคู่มาพร้อมคาลิปเปอร์ลูกสูบคู่ พร้อมระบบ ABS ซึ่งเป็นของมาจากโรงงาน Nissin แต่ไม่ได้ตีแบรนด์ลงบนคาลิปเปอร์ ซึ่งกล่อง ABS ของ Ninja300 ตัวนื้ถือเป็นกล่องที่เล็กที่สุดในโลก มีขนาดเล็กลงกว่าครึ่งหนึ่ง และน้ำหนักเพียง 631 กรัม
สำหรับในการเบรกใช้งานจริง ระยะฟรีของก้านเบรกมีมากขึ้นกว่าเดิม แตะก้านเบรกแล้วจะไม่มีน้ำหนักในช่วงแรก ต้องกดลงจมลึก ลงมากกว่า ซึ่งฟีลลิ่งของตัวผมเอง กลับรู้สึกชอบแบบตัวที่ไม่มี ABS มากกว่า เพราะถ้าเราไม่ได้เบรกลงลึกถึงขั้นที่ ABS ทำงานนั้น การเบรกของตัวเดิม น่าจะดูดีกว่าตามความรู้สึกเหมือนเบรก จึกเดียวอยู่ แต่ตัวนี้ จะดูมีระยะฟรีลงลึกกว่า จะถึงจุดที่เบรกทำงานได้อย่างเต็มที่
สำหรับระบบช่วงล่าง แกนโช้คหน้า เป็นแบบเดิมเทเลสโคปิค ขนาด 37 มม. โช้คอัพหลังก็เช่นกัน โช้คแก๊สเดี่ยว พร้อมแขนยึดยูนิแทรค ปรับได้ 5 ระดับ การเซ็ตเดิมๆ มาจากโรงงาน ถือว่าไม่แข็งกระด้างจนเกินไป กับการขี่ทั้งในตัวเมือง และการวิ่งที่ความเร็วสูง แต่จากจังหวะที่มีการ Rebound (การคืนตัวของโช้คหลังการยุบตัว) ของโช้คหลัง ลักษณะจะเหมือนเด้งสวนกลับค่อนข้างเร็ว ซึ่งดูจะทำให่้ไม่ค่อยมั่นคง และไม่นิ่มนวลนัก แต่จากการที่เราซัดลองอัตราเร่ง และไล่เอา Top Speed ยังรู้สึกว่า ช่วงล่างยวบไปเล็กน้อยด้านหลังที่ความเร็ว ตั้งแต่ 150 กม./ชม. ขึ้นไป ซึ่งรวมกับจังหวะ Rebound ที่เด้งคืนอย่างรวดเร็วแล้ว นั่นทำให้ความเร็วที่ 150 กม./ชม.+ ดูไม่ค่อยจะมั่นคงนัก และหากลองเบรกลงหนัก ๆ แกนโช้คหน้า จะยุบตัวลงมากพอสมควรตามแบบที่เคยพบใน 250
สำหรับยาง ใช้ขนาด 110/70 สำหรับล้อหน้า และ 140/70 สำหรับล้อหลัง เป็นยาง IRC RX-01 แบบเดียวกับตัว Ninja250 ซึ่งยังคงให้การเกาะถนนที่อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ จากการซัดกระแทกหมดปลอกในจังหวะ ออกตัวเกียร์ 1 ยางยังมีกริ๊ป จับพื้นถนนได้ดีอยู่ไม่มีอาการ ลื่นไถล แบบที่พบกับ Ninja250 (ปี 2012)
สรุป 2013 Kawasaki Ninja 300 ABS เพิ่มเงินอีกเพียง 20,000 บาท กับ สิ่งได้ที่เพิ่ม มาทั้งหมด ต้องนับว่า เกินคุ้ม เพราะเพียงแค่ คุณออก Ninja 250 เปลี่ยนท่อ แบรนด์ดีๆ นั่นก็ 20,000 ได้แล้ว และมันไม่ได้ทำให้แรงขึ้น แบบรู้สึกได้ขนาดนั้น แต่นี่ เราสามารถวัดได้จากตัวเลขอัตราเร่งที่ ทำได้น่าประทับใจเกินคาด แต่สำหรับปลาย ก็ตามที่คาดเดาไว้ ซึ่งถ้าลมไม่แรง เราอาจ จะทำตัวเลขได้สวยกว่านี้ นอกนั้น Slipper Clutch และ ABS ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า ถ้าจะไปหาใส่เอง ราคามันจะโดดไปเพียงใด แต่ ก็มีหลายเสียงชอบบอกว่า เพิ่มอีก 20,000 ก็ สองแสน เอา Honda 500 ไปเลยไหม? ถ้าถามผม ผมว่ามันอยู่ที่ความพอดี ของแต่ละคน เพราะ ถ้าคิดเช่นนี้ เราก็สามารถคิดต่อได้ว่า ก็เพิ่มตังอีกสักครึ่งแสน เอา Kawasaki 650 ไปเลยสิ นั่นถึงอยู่ที่ว่าความพอดีแต่ละคนอยู่ที่ตรงไหน แต่สำหรับผม ราคาเท่านี้ ผมว่าผม Ok นะ ถ้าผมไม่ได้มี Kawasaki Ninja 250 อยู่แล้ว เจ้า Ninja 300 ABS นี่ ถือเป็น ตัวเลือกแรกที่ผม อยากจะให้เป็น 1st Bigbike เลยล่ะ
ปล. อย่าลืมรอชม VDO Review กันอีกทีหลังตัดต่อเสร็จนะครับ
ภณ เพียรทนงกิจ
ผู้เขียน
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น