พิมพา ชลาลัย : วี-คูลพร้อมลุยทุกรูปแบบ

วีเค เอส กรุ๊ปลั่นกลองรบตลาดภูธร หลังพบแนวโน้มฟิล์มกรองแสงรถยนต์ยังเติบโตสูง เล็งขยายร้่านวี-คูล โปรเฟสชั่นแนล ช๊อป ในจังหวัดใหญ่ พร้อมรุกตลาดฟิล์มอาคาร หลังแนวโน้มรถยนต์หดตัวจากผลกระทบโครงการรถยนต์คันแรก

ตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ในประเทศไทย ที่มีมูลค่าหย่อน 2,000 ล้านบาทต่อปีไปเล็กน้อย เป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง เนื่องจากผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอยู่ไม่กี่ราย ต่างก็เป็นผู้เล่นหน้าเก่าที่อยู่กันมาอย่างยาวนาน และมีความพร้อมในการออกรบเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าอาวุธครบมือก็คงไม่ผิด

การเปลี่ยนแปลงในช่วงที่หลายปีที่ผ่านมา ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับตำนานของวงการฟิล์มกรองแสงไทยและตลาดฟิล์มกรองแสงโลก ก็คือการแตกออกเป็น 2 บริษัทของตัวแทนจำหน่ายฟิล์มกรองแสงวี-คูลในประเทศไทย แยกพื้นที่การบริหารงานจากกันอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษา เพราะนี่คือประเทศแรกและประเทศเดียวของโลกในปัจจุบัน

ต่างฝ่ายต่างแยกกันทำงานโดยเน้นการบริหารพื้นที่ของตัวเองให้ดีและเป็นไปตามแผนงานมากที่สุด หนึ่งในสองผู้ทำตลาดที่ดูเหมือนจะไปได้สวยงามกว่าอย่าง บริษัท วีเค เอส กรุ๊ป (เอเชีย) นัดเปิดใจเกี่ยวกับส่ิงที่บริษัทฯ กำลังเดินหน้าทำงานอยู่ในปัจจุบัน

พิมพา ชลาลัย ประธานบริหาร บริษัท วีเค เอส กรุ๊ป (เอเชีย) ผู้นำเข้าและจำหน่ายฟิล์มกรองแสง “วี-คูล” เปิดเผยแผนงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ว่าจะเดินหน้าบุกตลาดต่างจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น ด้วยการเปิดรับผู้แทนจำหน่ายในจังหวัดใหญ่ หลังไม่ได้เปิดรับผู้แทนจำหน่ายรายใหม่มาหลายปี

นอกจากนี้ จะเน้นการขยายร้านจำหน่ายฟิล์มแบบครบวงจร “วี-คูล โปรเฟสชั่นแนล ช๊อป” ในจังหวัดใหญ่ ซึ่งร้านดังกล่าวจะเป็นร้านที่จำหน่ายสินค้่าของวี-คูลเท่านั้น โดยผู้บริโภคจะได้รับบริการด้วยมาตรฐานที่ผ่านการอบรมและดูลโดยบริษัทแม่อย่างเต็มรูปแบบ

“ในอดีตที่ผ่านมา เราเน้นการตั้งตัวแทนจำหน่าย 1 แห่งต่อ 1 จังหวัด เพื่อให้การให้บริการของลูกค้าเป็นไปอย่างดีที่สุด แต่ในปัจจุบัน เราพบว่ามีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นในตลาดใหญ่ ๆ หลายแห่ง ทำให้เราตัดสินใจเพิ่มตัวแทนจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการนั้น”

บริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนมูลค่า 80 - 100 ล้านบาท ในการขยายผู้แทนจำหน่าย จากปัจจุบัน 45 แห่ง เป็น 60 แห่งในปี 2557 เพื่อให้มีความพร้อมและความเข้าใจในเรื่องของสินค้าที่บริษัททำการจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันในทุกเซกเมนต์

การทำตลาดฟิล์กรองแสงวี-คูลจะยังเน้นที่ 3 แพคเกจหลัก ประกอบไปด้วย Solitaire Energy Package,  Eco Stature และ Ozone Signature ซึ่งทำตลาดอยู่ที่ระดับราค 1.9-3.5 หมื่นบาท นอกจากนี้ ยังได้ขยายการทำตลาดควบคู่ไปกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายแห่ง ในกลุ่มของการติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกบานหน้าเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ได้หันมารุกตลาดฟิล์มกรองแสงสำหรับอาคารมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 20% ของยอดจำหน่ายในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจาก 10% ในปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการชะลอตัวของตลาดรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะชะลอตัวอย่างหนักในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

“ตลาดฟิล์มกรองแสงอาคารมีมูลค่าตลาดสูงกว่าตลาดรถยนต์ถึง 10 เท่า อีกทั้งเป็นช่องทางในการทำธุรกิจของบริษัทเพื่อขยายช่องทางการทำธุรกิจจากผลกระทบตองตลาดฟิล์มกรองแสงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก และมองว่าตลาดกระจกอาคารในบ้านเราในตอนนี้เล็งเห็นความสำคัญในการติดตั้งฟิล์มเพื่อป้องกันร้อนในตัวอาคารมากขึ้น”

เมื่อถามถึงเป้าหมายการจำหน่ายในปี 2556 พิมพากล่าวว่าบริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายรวมอยู่ที่ 280 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดจำหน่ายแล้ว 140 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าแม้ตลาดรถยนต์จะมีแนวโน้มหดตัว แต่ก็เชื่อว่าการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ น่าจะทำให้ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน!!!