Audi เป็นผู้นำการใช้วัสดุนวัตกรรมใหม่มาตลอดสองทศวรรษหลังสุด โดยเคยริเริ่มใช้ตัวถังอลูมิเนียมกับรถ A8 เป็นครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ล่าสุดออกมาระบุว่า รถยนต์ในอนาคตจะใช้วัสดุผสมมากขึ้น โดยมีตัวแปรสำคัญคือต้นทุนการผลิต
“การผลิตรถด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์นั้นมีราคาสูงมาก” Dr. Ulrich Hackenberg สมาชิกคณะกรรมการบริหารที่กำกับดูแลการพัฒนาเชิงเทคนิคของ Audi AG กล่าว “เราต้องมุ่งเน้นที่ต้นทุนการผลิตและความแข็งแกร่งของตัวรถเป็นอันดับแรก”
เมื่อถามว่าวัสดุอะไรที่ Audi มองว่ามีอนาคตมากทีสุด Hackenberg อธิบายว่า ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นการใช้วัสดุที่แตกต่างกันในแต่ละชิ้นส่วนอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด อาทิ การใช้เหล็กกล้าความทนทานสูงสำหรับเสาหลังคาหน้า ใช้อลูมิเนียมสเปซเฟรมที่ใต้ท้องรถ ส่วนงานพื้นผิวอาจเป็นได้ทั้งเหล็กลามิเนต พลาสติกหรือคาร์บอนไฟเบอร์
“ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องใช้วัสดุที่เหมาะสมในตำแหน่งที่ถูกต้อง ความท้าทายคือเราจะผสมผสานอย่างไรให้ลงตัว” Hackenberg เผย “เราจำเป็นต้องมีเครื่องจักรที่แตกต่าง หุ่นยนต์ประกอบคนละตัวและกระบวนการอื่นๆ ประกอบเข้าไว้ด้วยกัน”
รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า Audi Q7 รถเอสยูวีเจนเนอเรชั่นใหม่ที่จะเปิดตัวปีหน้าจะใช้เทคนิควัสดุผสมดังกล่าว
ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มขึ้น 10-30% นั่นทำให้ Audi มองว่า การใช้วัสดุผสมจะมีบทบาทมากขึ้น โดยต้องพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมวัสดุผสมให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระหว่างอลูมิเนียมและเหล็กกล้าหรือการเสริมพลาสติกและคาร์บอนไฟเบอร์เข้ากับเหล็กกล้า
ความท้าทายอย่างสุดท้ายก็คือ ทำอย่างไรให้กระบวนการผลิตแบบผสมผสานเช่นนี้มีต้นทุนที่เหมาะสม สามารถผลิตในปริมาณมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความคิดเห็น