เจาะกลุ่มลูกค้าเศรษฐีในไทย 50 คันแรกเลือกสีและอุปกรณ์ตกแต่งภายในได้ ก่อนเปิดเสายการผลิตที่โรงงานในไทยในช่วงปีหน้า
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์สุดหรูหรา เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ในรุ่นเอส400 ไฮบริด เอเอ็มจี พรีเมียม ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าแบบสำเร็จรูปทั้งคัน (ซีบียู) โดยในลอตแรก 50 คัน จะเน้นให้ลูกค้าสามารถเลือกการตกแต่งภายใน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเบาะที่นั่งด้านหลัง หรือภายในได้ โดยเคาะราคาจำหน่ายลอตแรกที่ 11.4 ล้านบาท
ทั้งนี้ รถยนต์รุ่นนำเข้าทั้งคันคาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับออพชั่นที่ลูกค้าเป็นผู้ทำการเลือก ขณะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เองก็จะทำการศึกษาความต้องการของตลาด รวมไปถึงการขยายความหลากหลายของเครื่องยนต์เพื่อให้รองรับกับดีมานต์ของลูกค้าเพิ่มเติมในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มาร์ติน ชูลซ์ รองประธานฝ่ายขายและการตลาด เปิดเผยว่ารถยนต์สุดหรูรุ่นนี้ จะถูกขึ้นไลน์ประกอบที่โรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยอย่างแน่นอนในช่วงปี 2557 เป็นต้นไป เพื่อสานต่อความสำเร็จและประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของสุดยอดรถยนต์หรูหราสายพันธ์นี้
“เรามีการลงทุนในเรื่องของไลน์การผลิตเพื่อให้รองรับความต้องการในการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขการลงทุนได้ แต่ในส่วนของการให้บริการหลังการขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าสัมผัสได้ มีการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทสำหรับปี 2556-2557 เพื่อรองรับในเรื่องดังกล่าว”
ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ถือเป็นความภาคภูมิใจอีกครั้งหนึ่งของค่ายรถยนต์ตราดาว กับสุดยอดรถยนต์หรูหราที่ไม่ทิ้งภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม เห็นได้จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ติดตั้งมาในรถยนต์หรูหราคันนี้แบบเพียบพร้อม
มาพร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่ของการออกแบบบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำแห่งยนตรกรรมหรูหราระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แนวคิด Vision accomplished ด้วยความเป็นเลิศแห่งวิศวกรรมยานยนต์สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ระบบการขับขี่แบบอัจฉริยะ (Intelligent Drive) เทคโนโลยีประหยัดพลังงานใหม่ล่าสุด (Efficient Technology) และความหรูหราสง่างามในทุกองค์ประกอบ (Essence of Luxury) โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่หมดที่ได้รับรางวัลด้านดีไซน์ระดับโลกจาก Red Dot Award 2013 และ Automotive Brand Contest 2013
มิติของตัวรถ มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่ารุ่นเดิมคือ ความยาว x ความกว้าง x ความสูง ที่ 5,246 x 1,899 x 1,496 มม. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้รุ่นใหม่นี้มีความยาวขึ้น 20 มม. กว้างขึ้น 28 มม. และสูงขึ้น 17 มม. ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นและเพิ่มความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร
เทคโนโลยีระบบส่องสว่างเป็นแบบแอลอีดี ตลอดทั้งคันทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลก โดยรวมรถคันนี้มีหลอดไฟแอลอีดีรวมกันเกือบ 500 ดวง โดยไฟหน้าใช้ข้างละ 56 ดวง ไฟท้ายใช้ ข้างละ 35 ดวง โดยมีหลอดไฟสำหรับตัดหมอกหลังอีก 4 ดวง ส่วนภายในห้องโดยสารของตัวรถมีใช้มากถึง 300 ดวง สามารถประหยัดพลังงานโดยรวมถึงกว่า 75% เมื่อเทียบกับหลอดไส้แบบธรรมดา
ครั้งแรกกับระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติแบบ Adaptive Highbeam Assist Plus ที่ระบบจะปรับลดระดับแสงไฟสูงลงอัตโนมัติเมื่อพบว่ามีรถยนต์คันอื่นวิ่งสวนทางมาหรือเข้าใกล้รถยนต์คันที่วิ่งนำหน้าอยู่ ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดไฟสูงไว้ที่ระดับสูงสุดได้ตลอดเวลาโดยที่ไฟสูงจะไม่รบกวนหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ถนน
พัฒนาไฟท้ายให้สามารถปรับระดับความสว่างได้ตามสถานการณ์ของการขับขี่และสิ่งแวดล้อมขณะนั้น โดยไฟเบรกและไฟสัญญาณต่างๆ ด้านท้ายสามารถปรับระดับของความสว่างได้ตามลักษณะการใช้งานและสภาพแวดล้อมทั้งกลางวันและกลางคืน
การตกแต่งภายใน เน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่เน้นการใช้งานได้จริงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นลายไม้ที่ได้รับการออกแบบพิเศษ รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้ม ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร ปรับเฉดได้ถึง 7 สี นอกจากนั้นยังติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายไม้ 2 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งเป็นพวงมาลัยนิรภัยพร้อมพาวเวอร์ที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วรถ
ระบบให้บริการข้อมูลแสดงผลผ่านหน้าจอดิสเพลย์แบบ TFT มีความละเอียดสูง และมีขนาด 31.2 ซม. จำนวน 2 จอโดยตัวแรกด้านหน้าคนขับสำหรับให้ข้อมูลการวัดค่าต่างๆ บนแผงหน้าปัด เช่น มิเตอร์วัดความเร็ว ความเร็วรอบ ระยะทางและอื่นๆ ส่วนจอด้านซ้ายสำหรับให้ข้อมูลระบบความบันเทิงต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และยังสามารถควบคุมการทำงานได้จากรีโมทคอนโทลและแป้นควบคุมตรงคอนโซลกลางที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม
ชุดเครื่องเสียงคุณภาพ Burmester® Surround Sound System พร้อมลำโพง 13 ตัว ซึ่งให้ระดับเสียงคมชัดเซอร์ราวซาว์รอบทิศทาง โดยจะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพกับระบบ Frontbass system ซึ่งเป็นระบบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้และได้นำมาใช้ในรถยนต์ซาลูนเป็นครั้งแรก
รุ่นที่เปิดตัวในประเทศไทยวันนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 3,498 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 3,500 – 5,250 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 27 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร
อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16 กม./ ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 147 กรัม/กม. โดยพละกำลังถูกถ่ายทอดผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะแบบ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
เคาะราคาขาย 11.4 ล้านบาท เฉพาะที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการเท่านั้น ใครสนใจก็ลองไปดูกันได้ แต่ถ้าไม่รีบ จะรอเวอร์ชั่นซีเคดี ที่น่าจะมีทางเลือกให้มากกว่าและราคาจำหน่ายอาจจะย่อมเยาลงมาอีกเล็กน้อย
ปีหน้าเจอกัน...
ความคิดเห็น