ไมเคิล เกรเว่ : ผู้นำไม่ได้มองที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว

ตลาดรถยนต์หรูหราในประเทศไทย น่าจะเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าเป็นการแข่งขันโดยผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เพราะหากมองดูตัวเลขยอดจำหน่ายแล้ว จะพบว่า 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ก็กอดคอครองส่วนแบ่งมากกว่า 3 ใน 4 ของตลาดรถยนต์หรูหราในปัจจุบัน

1 ใน 2 ของผู้นำตลาดรถยนต์ หรูหราในประเทศไทยอย่างบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ล่าสุดในงานเปิดตัวเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ได้ถือเป็นโอกาสในการเปิดตัวผู้นำสูงสุดอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ

ซึ่งแน่นอนว่าระดับนายใหญ่ที่ค่ายรถหรูของโลกจัดมาให้นั่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดและฐานการผลิตที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ย่อมไม่ธรรมดา และ ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็ถือว่าสอบผ่านสำหรับการพูดคุยกับสื่อมวลชนครั้งแรก

เกรเว่เริ่มด้วยการกล่าวถึงตลาดรถยนต์หรูหราในประเทศไทยว่าแนวโน้มในภาพรวมนั้นยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และยังมีทิศทางที่ตลาดรถยนต์หรูหราจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดีและน่าสนใจสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการทำตลาด เนื่องจากมองว่าลูกค้าเองให้การยอมรับในสินค้าตราสินค้าของบริษัทเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดรถยนต์เองก็มีความกดดันค่อนข้างสูง แม้ว่าที่ผ่านมายอดขายของบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม ซึ่งในภาพรวมของบริษัทฯ ถือว่ายังสามารถรักษาเป้าหมายการดำเนินการเอาไว้ได้

“ผมอยากให้มองว่าการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์หรูหรานั้น คงไม่สามารถมองไปที่เรื่องของตัวเลขยอดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้มองไปถึงคุณค่าของสินค้าด้วย สิ่งที่เราพยายามทำก็คือการดูแลลูกค้าให้รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ นั้นมีคุณค่าอยู่ตลอดเวลา”

นายใหญ่ที่กล่าวอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย และประกาศว่า “อย่าเปลี่ยนแปลงทีมผู้ชนะ” (Don’t change the winning team) เพราะทีมงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปัจจุบัน คือผู้สร้างความแตกต่างด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์มากกว่า 1,000 คันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เติบโตกว่า 72% และถือเป็นสถิติสูงสุดของการส่งมอบรถยนต์ตราดาวในประเทศไทยต่อเดือน

เกรเว่ประเมินว่ายอดส่งมอบรถยนต์ที่สูงสุดแม้จะเกิดขึ้นในช่วงที่หลายคนประเมินว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจขาลงนั้น มาจากการเดินหน้าแข่งขันอย่างจริงจังในการทำการค้า ทำให้ผู้บริโภคเองเชื่อถือในตัวของบริษัทฯ และเชื่อมั่นในตัวสินค้าที่บริษัทฯ นำมานำเสนอให้ตลาดประเทศไทย

“ตัวเลขยอดขายนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการที่ลูกค้ายังให้ความไว้วางใจกับเราอยู่ แม้ว่ายอดการส่งมอบรถยนต์ 5,507 คัน เติบโต 41% จะเป็นตัวเลขที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของเราก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเรามีสินค้าที่หลากหลาย สามารถตอบสนองลูกค้าได้ในทุกเซกเมนต์ และก็ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทุกกลุ่ม นั่นคือสิ่งที่สำคัญ”

นอกจากนี้ การเติบโตไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ หลังจากการแนะนำสินค้ารุ่นพิเศษในประเทศไทย ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย สามารถหยั่งรากฝังลึกลงไปในกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่นายใหญ่หน้าใหม่ประกาศอย่างชัดเจนก็คือการเดินหน้ารักษาแนวทางการทำงานที่ประสบความสำเร็จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในปัจจุบันเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็แน่นอนว่ารวมไปถึงแนวทางการทำตลาดรถยนต์รุ่นใหม่แข่งกับผู้นำเข้าอิสระ นโยบายแข่งขันทางด้านการให้บริการ ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ค่ายรถตราดาววิ่งฉิวในเมืองไทยในปัจจุบัน

แม้จะไม่สามารถระบุเป้าหมายยอดขายในปีนี้ให้ได้ชัดชัด หรือแม้แต่จะคอมเมนต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม แต่ที่พอจะมั่นใจจากสีหน้าและแววตาของทีมผู้บริหารก็คือ ยอดขายในปีนี้คงไม่น้อยไปกว่าเดิม และน่าจะทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ รักษาแชมป์ตลาดรถหรูไปอีกปี

ฟันธงได้เลย!!!