เมื่อวันที่ 9 ตค. ที่ผ่านมา (สองวันก่อน) ระหว่างที่ ผมได้อยู่ในงานเปิดตัวโชว์รูม Ducati แห่งใหม่ ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดใน Asean พร้อมกับการเปิดตัวรถ 2 รุ่นใหม่ นั่นคือ Hypermotard และ Hyperstrada ซึ่งขณะที่ผมกำลังอัพรูปลง Facebook เพื่อรายงานสดให้กับแฟนๆ ผมก็ได้เห็นภาพ Kawasaki Ninja1000 (Z1000SX) โผล่ตัวอยู่ใน Facebook ของดีลเลอร์ ผู้แทนจำหน่าย ซึ่งนั่นคือการเปิดตัวเจ้ายักษ์เขียว ตัวสุดท้ายของปีนี้ ต่อสาธารณะชนอย่างเป็นทางการ นั่นไง! Kawasaki Motors ประเทศไทย เอาอีกแล้ว เปิดตัวกันแบบกระทันหัน ไม่มีการบอกกล่าว กันสักนิด ซึ่งนับว่าเร็วกว่าที่ผมคาดไว้ เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ผมได้นำรถไปคืน และเจอ พี่ชายใหญ่ของ Kawasaki Motors ก็ได้เกริ่นๆ บอกผมไปเองว่าจะมีโมเดลใหม่มาปิดท้ายเป็น Model นำเข้า 1000cc ซึ่ง ก็จะเหลือเพียง Versys1000 และ Ninja1000 (Z1000SX) ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมได้วิเคราะห์กันไปเอาไว้ ว่าน่าจะเป็นเจ้าเขียวตัวนี้นี่ล่ะ เอาเป็นว่าไม่เป็นไร จะมาเร็วหรือช้า ผมก็รีบมาเห็นตัวจริง และมาลองขี่ เพื่อพรีวิว แบบ 1st Ride กันอยู่ดีนั่นล่ะ
รูปลักษณ์ภายนอก ผมมองเผินๆ ครั้งแรก จะเห็นได้ว่า บริเวณไฟหน้า จะมีความคล้ายคลึง กับ Ninja650 โฉมแรก เป็นอย่างมาก เพียงแต่บริเวณหัวแฟริ่งด้านหน้าจะดูตัดแบนเฉียง ในแบบ Z1000 ซึ่งแตกต่างกับ Ninja650 ตัวเก่าที่ดูจะมนกว่า และมีช่องเรียงอากาศเพื่อรับลมระบายความร้อนให้แก่เครื่องยนต์ แต่ที่ผมไม่ค่อยชอบนักคือ กระจกมองข้าง ที่มีรูปทรงเป็นเช่นเดียวกับ Z800 และ Ninja250,300 จุดที่ไม่ชอบคือ ก้านยกกระจกมองข้าง ที่ดูยืดยาวออกมา และพอมองจากด้านหน้าตัวรถ แล้ว เจ้ายักษ์เขียวลำนี้ มันช่างเหมือน ตั๊กแตนเขียวตัวใหญ่ ที่มีหนวดยื่นออกมา เสียจริง กับไฟเลี้ยวคู่หน้า ที่ดูยื่นออกมาแบบจุ๋มจิ๋ม ซึ่งดูรกตาไปนิด น่าจะเก็บแนบชิดกับแฟริ่ง ให้เรียบร้อยกว่านี้
บริเวณ windshield หน้า สามารถยกปรับได้ 3 ระดับ โดยกดปุ่ม ที่อยู่ด้านใต้บริเวณมาตรวัด มองลงมาที่ตัวแฮนด์ ลักษณะ จะเป็นแฮนด์ยึดกับโช้คแบบก้านยก ซึ่งจะเป็นลักษณะเดียวกับที่พบใน ZX14 สำหรับสวิทซ์ไฟซ้าย คันนี้ ที่มีลูกเล่นเพิ่มเข้ามา น่าสนใจ คือ ปุ่มปรับ Tration Control ซึ่งสามารถ ปิด และเปิดได้ 3 ระดับ ร่วมกับปุ่มปรับโหมดระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์ แบบ Full หรือ Low มองมาที่บริเวณด้านขวาสวิทช์ดูเล็กนิดเดียว เพราะว่าบริเวณปั๊มเบรกบน ได้หันมาใช้ปั๊มน้ำมันลอย ซึ่งดูเกะกะไปนิด แต่ว่ามันดูเท่ห์ และยกระดับของรถมากขึ้นทีเดียว ไล่ผ่านลำตัวมาที่โช้คคู่หลังเดี่ยวแนวนอน มีปุ่มปรับ Rebound และ Preload แบบหมุน ซึ่งปรับได้สะดวก และง่ายดาย เมื่อหันมามองที่บริเวณบั้นท้าย เราจะเห็นไฟท้าย LED รูปทรงริมฝีปาก ซึ่งคุ้นเคย ในรุ่น ER6n และ f อีกเช่นกัน
หลังจากที่ได้ลองนั่งคร่อมตัวรถดู ซึ่งมากถึง 231kg สำหรับตัว ABS คันนี้ มันหนักกว่า Z800 เพียง 2kg เท่านั้น แต่หลังจากที่ได้คร่อมมันแล้ว ผมที่มีส่วนสูงของผม 174cm สามารถเหยียบพื้นได้เต็มเท้าทั้งสองข้าง ไม่เหมือน Z800 ที่เหยียบไม่เต็มเท้า เพราะความสูงเบาะตัวนี้อยู่ที่ 820mm (เตี้ยกว่า Z800 14mm) ทำให้ในจังหวะถอยตัวรถกลับหลัง สามารถทำได้ไม่ยากเย็นนัก ร่วมกับเบาะตอนหลังที่มีมือจับด้านหลัง (แบบ ER6n และf) เพิ่มความสะดวกสบายในสไตล์ Sport Tourer และที่สำคัญ มันช่วยผมในจังหวะที่เข็นรถ หรือ ลากตัวรถเป็นอย่างมาก ด้านตัวถังน้ำมัน ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ ความจุมากถึง 19 ลิตร แต่ด้วยความที่ช่วงด้านหน้าตัวรถ มีแฟริ่งปิดในสไตล์ Ninja และมีมุมเหลี่ยมสัน ที่ดูค่อนข้างกระชับกับท่อนขา จนมาถึงลำตัว ทำให้รู้สึกว่า นั่งได้สบายกว่า Z800 และการควบคุมตัวรถดูทำได้ง่ายกว่าด้วยเช่นกัน ทำให้ผมไม่รู้สึกว่า Ninja1000 คันนี้ จะหนักไปกว่า Z800 เลย
มาที่สเป็กเครื่องยนต์ ที่จริงแล้วมันยังคงเป็นพื้นฐานตัวเดียวกับ Z1000 เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1043cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่มีการปรับจูนให้แตกต่างไปเล็กน้อย ในสไตล์ Ninja ได้กำลังสูงสุดออกมาที่ 142 แรงม้า ที่ 10000rpm และแรงบิด 111Nm ที่ 7300rpm
ลองขี่วนเล่น สัก 2 รอบในศูนย์ โดยรอบแรก ลองใช้ Mode ส่งกำลังแบบ L (Low) ซึ่งเป็นการปลดปล่อยกำลังเครื่องยนต์ ไม่เต็มสมรรถนะ เหมาะกับการใช้งานในตัวเมือง พบว่า เครื่องยนต์ตอบสนองได้แบบค่อยเป็นค่อยไป นิ่งๆ เรื่อยๆ ทำให้ขี่ได้ง่าย กว่า Z800 มาก สามารถกระแทกคันเร่งออก ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่อีกรอบ ลองปรับเป็น Mode F (Full) ซึ่งเครื่องยนต์ จะรีดสมรรถนะได้ออกมาอย่างเต็มที่ ในช่วง ออกตัว ประมาณ 2000rpm แรก พบว่า กำลังดูจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อ ลากไปถึงประมาณ 3000rpm ขึ้นไป จะเริ่มเห็นความแตกต่างชัดเจน กำลัง และซุ่มเสียง แรงดึง มีมาให้อย่างเร้าใจมากขึ้น แต่นั่น ผมก็ยังรู้สึกว่ามันยังขี่ง่ายกว่าตระกูล 650 ที่เป็น 2 สูบ ในช่วงออกตัวอยู่ดี
สำหรับการเข้าเกียร์ ลักษณะจะเป็น Short Shift ฟีลลิ่งจะคล้ายๆ กับ Z800 เลย คือ ช่วงงัดเท้าขึ้นเกียร์จะสั้น และค่อนข้างแข็ง ซึ่งไม่เหมือนกับ Ninja300 ที่ใช้ Slipper Clutch ให้ความนุ่มนวลกว่าในการเข้าเกียร์ รวมถึงเข้าได้ง่าย กลับมาที่ Ninja1000 คันนี้ ในจังหวะลดเกียร์ลง แบบ E-Brake จะพบว่า ยังมีแรงฉุดของกำลังเครื่องยนต์ อยู่พอสมควร ดูจะมีแรงดึงกระชากมากกว่า Z250 และ Ninja250 แต่ยังไม่เท่ากับ Ninja250 ตัวเก่าที่ผมใช้มันอยู่ทุกวัน
ด้านเบรก เป็นแบบจานดิสก์คู่ สำหรับล้อหน้า ขนาดจาน 300mm เล็กกว่า Z800 อยู่ 10mm แต่ให้เบรก แบบ Monobloc Radial Mount 4 ลูกสูบ ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า พร้อมระบบ ABS แต่ตีแบรนด์ Kawasaki ที่คาลิปเปอร์
และนั่นทำให้ ผมรู้สึกเบรกอยู่และมั่นใจ กว่า Z800 ขึ้นมาก นอกจาก กำได้หนึบมือ โดยไม่กลัวล้อล๊อค แล้ว อาการ ที่เบรกแล้ว แรงฉุดของรถ จากน้ำหนักตัวที่มาก หายไป มันหยุดได้อยู่มือทีเดียว
สรุปเบื้องต้น รถนำเข้า ตัว 1000 ในราคา 6.29 แสนบาท คันนี้มาเป็นตัวแทนของ Z1000 ที่ทำราคาในตอนแรก 6.6 แสน ก่อนปรับลงมาเหลือ 5.5 แสน เทียบกับการเป็นรถนำเข้าในระดับตัว 1000cc บ้านเราตอนนี้ ถือว่าราคาไม่แพง เกินไปนัก ซึ่งหากสั่งรถกับทาง Gray Market ราคาสูงกว่านี้ แน่นอน เนื่องจากภาษีนำเข้า แต่ถ้าเทียบกับ ราคาในความเป็น 4 สูบ แล้ว Z800 ที่ราคา ไม่ถึง 4 แสน กับ Ninja1000 คันนี้ เรายังคงมองว่า Z800 น่าเล่นกว่าอยู่ดี เนื่องจากราคาในระดับ 6 แสน มันตัวเลือกให้เลือกได้อย่างเยอะแยะมากมาย ยกเว้นแต่ว่า คุณต้องการหารถ Sport Tourer ระดับ 1000cc ที่เหมาะแก่การเดินทางไกล ได้แบบนั่งสบาย และกำลังให้ใช้อย่างเหลือเฟือ ขี่ไม่ยาก พร้อมด้วยเทคโนโลยีพอตัว ซึ่งเจ้า Ninja1000 นี่ล่ะ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2013-Kawasaki-Ninja1000-1stRiding/
ความคิดเห็น