Nissan Pulsar รถสปอร์ต แฮทช์แบ็ค ของค่าย Nissan ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือน มีค. ที่ผ่านมา ได้สร้างกระแส ก่อนเปิดตัวด้วยการนำนกกระจอกเทศ มายื่นหัวโผล่ออกจาก Sunroof และตระเวนวิ่งไป ตามย่านสยาม พร้อมเก็บภาพ และ คลิป เปิดเผยลงสู่โลก Social สร้างกระแสฮือฮา ไม่ใช่น้อย นับเป็นกลยุทธ์การตลาดอย่างหนึ่งที่ Nissan เดินเกม ก่อนเปิดตัวจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้ Nissan Tida ซึ่งถือเป็นรถ Hatchback ที่มีจุดขายในเรื่องของคววามโอ่โถงภายใน รวมถึงห้องเก็บสัมภาระที่ใหญ่ จากการนำคุณปลื้ม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น ดูจะทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าที่ควร จากการวางตลาดที่ดูจะมึนๆ ไปสักหน่อย จะเป็น B-Segment ก็ดูจะไม่ใช่ซะเต็มตัว แต่ถ้าจะเทียบในระดับ C-Segment ก็ดูจะยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ไม่ประสบความสำเร็จนัก และการนำ Nissan Pulsar มาทำตลาดในครั้งนี้เน้นจับวัยรุ่นกลุ่ม Gen Y เป็นหลัก เนื่องจากมาดของรถยนต์ Nissan ส่วนใหญ่จะออกมาทำตลาดในคนวัยทำงานแทบทั้งสิ้น ถ้าไม่นับ March และในวันนี้ทางเราได้มีโอกาสขับเจ้า Nissan Pulsar นี้อีกครั้ง จึงได้กลับมาทำรีวิวทดสอบ แบบจริงจังอีกสักครั้งหนึ่ง
สำหรับการขับทดสอบรถในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ Nissan มอเตอร์ (ประเทศไทย) สำหรับรถยนต์ Nissan Pulsar 1.8 V Navi รุ่นท๊อป สีแดง Radient Red คันนี้ ราคา 976,000 บาท
รูปลักษณ์ Nissan Pulsar เน้นดีไซน์แบบสปอร์ต 5 ประตู เน้นความปราดเปรียวลู่ลม ด้วยการดีไซน์ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำ รวมถึงเน้นความคล่องตัวสูงสุดประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และได้มีการดีไซน์ภายใต้ Concept Smart Stress-free Premium Hatchback และได้รับแรงบรรดาลใจจากรถสปอร์ต อย่างรุ่น 370Z ตามแนวเส้นสายของตัวรถ Waist Line แต่น่าเสียดายที่ใน โฉม 1.8 V Navi ตัวท๊อปนี้ กับไม่มีชุดแต่งรอบคันให้เหมือนตัว 1.6 SV
จากที่เคยสอบถามไปในตัว Sylphy ว่าสเป็กจีน ให้โคมไฟแบบโปรเจคเตอร์ ทำไมประเทศไทยถึงกั๊กสเป็กเอาไว้ มาใน Nissan Pulsar โฉมทำตลาดไทยนี้ ก็ไม่กั๊กจับใส่ให้ด้วย ซึ่งเป็น โปรเจคเตอร์ Bi-Xenon ปรับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ ในรุ่นท๊อป V Navi นี้จะมี Sun-Roof มาเสริมความเท่อีกด้วย กับล้อแม็กขอบ 17” ลายใหม่ สวมยาง Continental 205/50/17 (รวมถึงล้ออะไหล่ด้วย) ด้านท้ายตัวรถ มีกล้องมองภาพด้านหลังให้ เมื่อเข้าเกียร์ R ภาพจากหน้าจอ จะตัดมาที่กล้องโดยทันที ที่ประตูมีระบบ Keyless ให้โดยไม่ต้องหยิบกุญแจรีโมทออกมากด ปลดล๊อกให้เสียเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นจุดที่ Nissan พยายาม ทำให้ Pulsar นี้กลายเป็น Premium Hatchback ในคลาสนี้
สำหรับสีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ แดง Radient Red, ดำ Black Star, เงิน Brilliant Silver, ขาว White Pearl, เทา Deep Iris Gray, ทอง Mellow Gold
ห้องโดยสารภายใน เมื่อกดปุ่ม Keyless ที่ประตู และเปิดประตูเข้ามาภายใน จะพบกับดีไซน์ห้องโดยสาร แบบนกนางแอ่นเช่นเดียวกับ Nissan Sylphy แต่มีจุดที่แตกต่าง คือ ภายในตกแต่งโทนสีดำ เบาะหนังสีดำในคู่หน้า ที่มีความโอบกระชับมากขึ้น และพนักพิงศรีษะ มีขนาดใหญ่ รองรับช่วงท้ายทอยด้านหลังศรีษะได้ดี , Trim Console เปลี่ยนเป็นลายสีเงินอลูมีเนียม ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่าคลาสสิค แบบลายไม้ ใน Sylphy, ปุ่มเปิด Sunroof อยู่บริเวณที่เก็บแว่นตรงไฟส่องแผนที่ การปรับเอนเบาะทำได้ ลำบาก เนื่องจากแขนติดที่เท้าแขนด้านขวา พวงมาลัยมีปุ่ม Cruise Control เพิ่มมาให้ทางด้านขวา และในรุ่นนี้เป็นรุ่น ท๊อป Navi ซึ่งจะมีจอขนาด 5.8” อยู่ที่คอนโซลกลาง ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าใช้งานยากในการจะคีย์หาเป้าหมายเพื่อที่จะเซ็ตเป็นจุดหมายปลายทาง จนผมยอมเปิดจากโทรศัพท์ด้วย Google Map ง่ายกว่าเยอะ และ เบาะหลังสามารถปรับ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารได้ ในขณะที่ Sylphy ไม่สามารถปรับได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความจุสัมภาระด้านท้ายที่ขนาด 310 ลิตร ให้สามารถใส่ของเพิ่มเข้าไปได้อีก นอกจากนั้น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา และเครื่องปรับอากาศตอนหลัง ก็มีให้ปกติ ในรุ่น 1.8
สำหรับมุมมองทัศนวิสัย กับการที่ได้อยู่ ด้วยกัน 3 วัน พบว่า มันมีทัศนวิสัย ดีกว่า Ford Focus ที่ผมได้ขับมาก่อนหน้านี้มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะดีไปทั้งหมด บริเวณเสา A ถึงแม้ ตัวเสาจะไม่หนามากนัก แต่ความโค้งมนจากดีไซน์ที่ลาดลงเข้าหาลำตัว ทำให้มันดูจะบังมุม บางมุม ในจังหวะ ที่มีรถสวนเยื้องมา หรือจังหวะ กลับรถอยู่บ้าง แต่นั่น ยังไม่เป็นปัญหา เท่ากับกระจกมองข้าง ที่มุมด้านในลำตัวจะถูกตัดมุมมองหายไป และพอเราปรับเข้ามาให้ใกล้ๆ เห็นตัวรถสักเล็กน้อย มุมมองด้านนอก ก็จะเก็บรถที่แล่น ตามหลังอยู่ช่วง คันถึงสองคันรถได้ไม่หมดดี ซึ่งต้องระวัง ในด้านทัศนวิสัยด้านหลัง ก็ถือว่า ไม่ขี้เหล่นัก กับรถสไตล์ 5 ประตู ยิ่งมีช่องกระจกระหว่าง เสา C และ D ยิ่งช่วยในจังหวะกลับรถได้ดียิ่งขึ้น แต่ด้วยเสา D ที่หนา ร่วมกับ พนักศรีษะตอนหลัง ก็ ยังถือเป็นอุปสรรคในการมองอยู่ดี
ขุมพลังเครื่องยนต์ แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,798cc รหัส MRA8DE (บล๊อกเดียวกับ Sylphy 1.8) มาพร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously-Variable Timing Control) ทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ช่วยเรื่องประหยัดขึ้น และเงียบขึ้น ให้กำลังสูงสุด 131 แรงม้า ที่ 6000rpm และ แรงบิดสูงสุด 174Nm ที่ 3600rpm
สำหรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ ถือว่า ทำได้ไม่เลว กับรถในคลาส 1.8 ด้วยกัน ในการขับขี่ การตอบสนองของคันเร่งถือว่าทำได้รวดเร็วใช้ได้ ไม่ต้องแตะคันเร่งลึก รถก็สามารถพุ่งทะยานไปได้อย่างรวดเร็ว ในการแซงรถคันอื่น ที่ช่วงความเร็วต้น และในจังหวะกลับรถ ลองกระแทกคันเร่ง ประมาณ ¾ รถส่งผ่านแรงบิด 173Nm ออกมาสู่ล้อคู่หน้า ซึ่งทำให้รถเกิดอาการล้อหมุนฟรี ดังเอี๊ยด สร้างความเร้าใจไม่ใช่น้อย
สำหรับในวันที่เราต้องการจะทำการทดสอบอัตราเร่ง ในตกหนัก ทั้ง 2 วัน และยางรถดูจะไม่มี Grip ที่ดีพอในการรีดน้ำ จึงไม่ได้ทำการทดสอบ 0-100 กม./ชม. และ Top Speed เนื่องจากอันตรายสูง แต่ได้มีโอกาสจึงลองทดสอบอัตราเร่งในช่วง 80-120 กม./ชม. ทำได้ใน 8.64 วินาที ซึ่งยังถือว่าทำได้อยู่ในเกณฑ์ระดับกลางๆ กับรถพิกัด 1.8 ทั่วไป เพราะในคลาสนี้ ตัวที่ทำได้ดีที่สุดเท่าที่เคยลองมา ยังคงเป็น Elantra อยู่ดี
ด้านอัตราสิ้นเปลือง การวิ่งใช้งานจริง แบบเดินทางไกล ใช้ความเร็วเฉลี่ย 100 กม./ชม. เร่งแซงบ้าง ได้อยู่ที่ 14 กม./ลิตร แต่เมื่อวิ่งในเงื่อนไขใกล้เคียงกัน แต่อยู่ใน กทม. วิ่งออกไปทางชานเมือง อย่างเส้นราชพฤกษ์ จะอัตราสิ้นเปลืองจะตกลงมาอยู่ที่ ราว 13 กม./ลิตร + เล็กน้อย
*เพิ่มเติม ในตลาดออสเตรเลียมีรุ่นเครื่องยนต์ฉีดตรง (Direct Injection) ขนาด 1.6 ลิตร ผูกโบ พละกำลัง 188 แรงม้า และแรงบิด 240Nm ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา และเกียร์ X-Tronic CVT ซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในช่วง 7.0-7.5 วินาที ตามเคลมจาก Nissan Australia ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ในตอนแรกผมก็คงรู้สึกเฉยๆ เพราะว่าบ้านเราคงไม่ได้มีบุญได้ขับเป็นแน่แท้ แต่แล้ว ณ วันที่ผมเขียนบทความรีวิวนี้ (23 ตค. 2556) ทาง Nissan Australia ได้ยืนยัน ว่าไม่ลืมที่จะเปิดตัว Pulsar SSS Sedan (Sylphy บ้านเรา) ซึ่งเตรียมเปิดตัวใน ไตรมาสที่ 2 ปีหน้า ทำให้ผมกลับมาสะดุด คิดถึงคำพูด ของคุณชนกนันท์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายประชาสัมพันธ์ Nissan Motors ประเทศไทย ในช่วงที่ได้ไป Group Test เจ้า Pulsar เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งผมได้บ่นอุบว่า Nissan Pulsar มันก็ดูเป็นรถที่ดีนะ แต่สปอร์ตก็ยัง ดูจะไม่สุดเท่าไร ถ้ามีรุ่นเกียร์ ธรรมดา หรือตัวแต่ง ในแบบรุ่นสมรรถนะสูงให้ คงจะตอบโจทย์ตลาด กลุ่มผู้รักการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งคุณชนกนันท์ ได้พูดทีเล่นกับ ผมประมาณว่า รู้ได้ยังไงว่าในอนาคต จะไม่มีมา ซึ่งตอนแรก ผมก็ ไม่ได้เอะใจอะไร นัก เพราะ พอรอมาดูในวันเปิดตัว ที่ W hotel รุ่นที่มีมาเพิ่ม คือ 1.6 SV ที่มาพร้อมชุดแต่งรอบคัน ที่ดูดุดัน สปอร์ตกว่า 1.8 V ตัวท๊อป เสียอีก และ สมองผมก็ได้ได้คิดฝัน ปะติดปะต่อเรื่องไปเอง ถึงความเป็นไปได้ที่ Nissan ประเทศไทย จะเปิดรหัสตัวแรง SSS นี้ในปีหน้า แบบตลาดออสเตรเลีย หรือไม่ และถ้าสิ่งที่ผมคิดเป็นจริง นั่นหมายความว่า Nissan ได้แหกกฎเกณฑ์ ที่ค่ายอื่นในบ้านเราทำกัน ก็คือ รถรหัสตัวแรง คนไทยไม่มีทางได้ขับ ขับแต่รุ่นเครื่องยนต์พื้นฐานไปซะ ถ้าอยากขับ ก็ สั่งนำเข้ามาเอง โดนภาษี กันแบบขูดเลือดขูดเนื้อเอาเอง ซึ่งผมคาดหวังว่าขอให้สิ่งที่ผมคิด นั้นเป็นจริง คงทำให้ใครหลายคน ลืม Civic Si, Focus ST, Impreza WRX, หรือ แม้กระทั่ง Evolution ไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะ
ระบบส่งกำลัง เกียร์ X-Tronic CVT ที่ถือเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Nissan ยังคงถือเป็นเกียร์ CVT ที่ยอดเยี่ยม ทั้งในด้านความนุ่มนวล, ตอบสนองรวดเร็วฉับไว, ประหยัดน้ำมัน แต่ในการขับขี่ที่เน้นสมรรถนะ บางจังหวะ และต้องการจะเลิกขับในสไตล์ซิ่งแบบนั้น เกียร์กลับฉลาดเกินไป คือยังเรียนรู้อยู่ว่าเราต้องการรอบเครื่องยนต์ เอาไว้ใช้เรียกแรงม้า แต่ในความเป็นจริงเราเลิกขับขี่ในแบบนั้นแล้วต้องการกลับมาขับแบบประหยัดตามปกติ ซึ่งก็ต้องรอให้เกียร์ ค่อยๆ รับรู้การขับขี่กลับมาในแบบปกติ รวมถึงการพยายาม Kickdown ลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของคันเร่ง เพื่อเร่งแซงแบบไม่เคี่ยนจนเกินไป เกียร์กลับยังดูตอบสนองแบบตื้อๆ กินกำลังเครื่องไปเสียหน่อย จนบางครั้งต้องกดปุ่ม Overdrive ที่หัวเกียร์ (ปุ่ม Sport) ช่วยเพื่อให้การตอบสนองนั้นฉับไวยิ่งขึ้น
ลองวัดความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ 3 ค่าได้ดังนี้ 80กม./ชม. =1250rpm, 100 กม./ชม.=1650rpm, 120 กม./ชม. =2000rpm
ระบบบังคับเลี้ยว การควบคุมของแฮนด์ลิ่งพวงมาลัยแบบผ่อนแรงไฟฟ้า EPS ที่มีรัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร นั้น พวงมาลัยดูเบา แต่ไม่ถึงขั้นไร้น้ำหนักขนาด Ford Focus 2.0 Hatchback ที่เพิ่งทดสอบไปก่อนหน้านี้ ยังพอรู้สึกถึงความหนืดมือบ้างเล็กน้อย ซึ่งก็จะมีข้อดีข้อเสีย ต่างกันไป คือ ไม่เบาโว๋ง แต่การเคลื่อนตัว หรือสาวจอดรถ ก็ขาดความคล่องตัวไปสักเล็กน้อย (แต่ถ้าเทียบกับพวงมาลัยชนิดอื่นๆ ถือว่าคล่องตัวสูงแล้ว) แต่ทว่าพวงมาลัยของ Nissan Pulsar ยังคงให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี และที่สำคัญ คือ พวงมาลัยเบาเกินไปในช่วงความเร็วที่สูงขึ้น ดูจะยังไม่ค่อยสัมพันธ์กันระหว่างน้ำหนักกับความเร็ว สำหรับการควบคุมในโค้ง ทำได้ไม่ยากจนเกินไป แต่ยังต้องประคองวงเลี้ยวพวงมาลัยอยู่บ้าง จากการอาการเบาหวิวในโค้ง
ด้านระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ น้ำหนักในการลงแป้นเบรกกำลังดี ไม่ตื้น ไม่ลึกจนเกินไป การหยุดรถทำได้ดีพอตัว พอประมาณ ฟีลลิ่ง ดูเหมือนเดิม ตามแบบ Sylphy ที่ยังไม่ใช่เบรกแล้วหัวทิ่ม แต่ความสามารถในการหยุดนิ่งในจังหวะสุดท้ายเรายังต้องลงน้ำหนักเยอะมากขึ้นอยู่ เช่นในจังหวะที่รถติดไฟแดง หรือต้องเบรกหยุดจนจอดนิ่ง ยังอาจต้องเผื่อระยะไว้หน่อย แต่ความสามารถในการหน่วงลดชะลอความเร็วลง ยังถือว่ายังทำได้ดี ตอบสนองได้ดีรวดเร็วทันเท้า กรณีเบรกแบบ กึ่งๆฉุกเฉิน
ระบบกันสะเทือนช่วงล่าง นี่เลย คือหัวใจสำคัญ ที่ทำให้มันมีบุคลิก นิสัย ที่แตกต่างไปกับพี่ ในคราบ Sedan (Sylphy) ช่วงล่างดูแน่นจริง จนเรียกได้ว่าแข็งไปเลย ถึงขั้นนั่งได้ไม่สบายท้องน้อยนัก เวลาเจอหลุมบ่อ หรือ สะพานข้ามคลอง ขับมาเร็วๆ ไม่ชะลอ มีกระเด้งกระดอน มันพะยะค่ะ ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่า แข็งกว่า Mazda 2 ที่เป็น Sport ในกลุ่ม Sub-Compact เสียอีก แต่จุดที่ดีขึ้น คือ เวลาขับที่ความเร็วสูง รวมถึงการโยนโค้ง ช่วงล่างไม่ย้วย ให้เห็นนัก แต่อาการดื้อโค้ง (Understeer) ยังพอมีให้พบเห็นอยู่ และในคันนี้ รู้สึกยาง Continental ซึ่งที่จริง ถือว่าคุณภาพดีใช้ได้ ดูเนื้อยาง Grip (การยึดเกาะถนน) จะน้อยลงไปเยอะ ในจังหวะที่กลับรถ กดคันเร่งลงไป ราว ¾ รถมีอาการดริฟต์ ท้ายปัดออกให้เห็น ทำให้จังหวะในการโยนโค้ง ขณะถนนลื่น ซึ่งผมได้อยู่กับเจ้า Pulsar นี้แบบฝนตกตลอดทุกวัน ยังต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ในขณะที่ฝนตก
สรุป All New Nissan Pulsar รถยนต์ Sport-Hatchback ของค่าย Nissan ที่เรียกได้ว่า เป็นพี่น้องท้องเดียวกับ Sylphy ซึ่งแตกต่างกันทั้งหน้าตา ภายนอก และบุคลิก โดย Pulsar หน้าตา จะดูออกแนวสปอร์ต กว่า และบุคลิก ในการขับขี่ที่แตกต่างจาก Sylphy โดยสิ้นเชิง จากการเซ็ตช่วงล่าง ที่ออกมาแบบคนละขั้ว Pulsar หนึบกว่า แต่ก็แข็งกว่ามาก ในขณะที่ Sylphy จะนุ่มนิ่ม จนดูย้วยเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง แต่เมื่อเทียบ ออปชั่นที่ให้มาเต็มแบบไม่กั๊ก ผู้ที่ชอบรถที่ให้ความคุ้มค่า Nissan Pulsar ถือเป็นรถยนต์ 5 ประตูที่น่าสนใจทีเดียว ถึงแม้ว่า จะไม่ได้สปอร์ตออกมาเต็มตัว แต่โดยรวม ฟังก์ชั่นที่มีให้ใช้งานอย่างครอบคลุม พื้นที่โดยสาร และแอร์ตอนหลัง ดูจะทำให้มันเป็น Sport-Hatchback ที่ดูจะขับขี่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายที่สุดแล้ว (ยกเว้นช่วงล่างที่ดูจะแข็งเกินไป)
และเพิ่มเติมสำหรับปีหน้า เราคงต้องมาดูกันอีกทีว่า จะมีความเป็นไปได้บ้างหรือไม่ ที่เวอร์ชั่น SSS มาทำตลาดบ้านเราให้ดูมีสีสัน และสร้างความร้อนแรงให้กับ Hatchback หน้าตาเหมือนลูกหนูนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2013-Nissan-Pulsar-Testdrive/
ความคิดเห็น