หลังจากใช้ชีวิตบนอี300 บลูเทค ไฮบริดมาตลอดทั้งวัน และพยายามที่จะขออี200 คาบริโอเลต์มาประจำการณ์ในช่วงขากลับจากหัวหิน แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างฝัน เพราะทีมงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่งกุญแจของอี200 เอ็กเซกคลูทีฟมาให้ พร้อมบอกว่าตัวเปิดประทุนให้ร้องเพลงรอไปก่อนนะจ๊ะ
ไม่เป็นไรครับ เอาตัวไหนมาให้ก็ขับตัวนั้น แล้วก็เลยถือโอกาสมารายงานอย่างต่อเนื่องกันไปเลยสำหรับรถยนต์ในตระกูลอี-คลาส เพราะจริง ๆ แล้ว เครื่องยนต์ในรุ่นอี200 ตัวนี้ก็ถือว่ามีความใหม่ในตัวพอสมควร
ตัวถังภายนอกและรูปร่างหน้าตาไม่ได้แตกต่างอะไรกับในรุ่นบลูเทค ไฮบริดมากนัก ขณะที่อุปกรณ์ในห้องโดยสารมีมาให้น้อยกว่า เพราะตัดออกไปหลายอย่างเหมือนกัน ที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือระบบนำทางที่หายไปจากหน้าจอ ขณะที่อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยก็มีตกหล่นไปหลายรายการ
ความโดดเด่นของเครื่องยนต์เบนซินบลูไดเรกต์ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินแบบแถวเรียง 4 สูบนั้น ทีมเบนซ์คุยว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงานและมีความแรงมากขึ้น เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นเก่า ๆ ที่ผ่านมา
เป็นผลมาจากการปรับมาใช้หัวฉีดเพียโซ่ ในการฉีดเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในเครื่องยนต์วี6 และวี8 แต่เป็นการนำมาใช้กับเครื่องยนต์วี4 เป็นครั้งแรก
เครื่องยนต์รุ่นใหม่ของเบนซ์ซึ่งเป็นเครื่องยนต์พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า พร้อมด้ยแรงบิดระดับ 300 นิวตัน-เมตรที่มาตั้งแต่ 1,200 ต่อนาทีเป็นต้นไป โดยวิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.9 วินาทีและทำความเร็วสูงสุด 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์คุยว่าด้วยเทคโนโลยีรุ่นใหม่นี้ จะทำให้เครื่องยนต์มีสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ได้ทิ้งในเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน โดยเคลมไว้ที่ระดับ 15-18 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งในการขับขี่จากหัวหินมากทม. ทำไปได้ที่ประมาณ 14 เกือบ 15 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าใกล้เคียง
ในด้านของการขับขี่ เอาจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าเครื่องยนต์รุ่นนี้ออกแนวขับเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ มากกว่าที่จะไปขับเร่งปรื๊ดปร๊าดแบบในรุ่นบลูเทค ไฮบริด เพราะด้วยแรงม้าแรงบิดคงเหมาะกับผู้บริหารที่ต้องการใช้ชีวิตแบบธรรมดาบนท้องถนนมากกว่า
ตัวรถออกอาการโยนตัวน้อยกว่าในรุ่นไฮบริดครับ พอดีไม่มีทีมงานของเบนซ์ให้ถามข้อข้องใจแล้ว ก็เลยอนุโลมว่าน่าจะเป็นผลมาจากน้ำหนักของรถที่ดูท่าจะเบากว่ารุ่นไฮบริดอยู่พอสมควร ทำให้การตอบสนองเรื่องความสบายมีให้มากกว่า
กับราคา 3.39 ล้านบาท พูดง่าย ๆ ก็คือถูกกว่ารุ่นไฮบริด เอ็กเซกคลูทีฟ 3 แสนบาท และถูกกว่าไฮบริด เอเอ็มจี 7 แสนบาท ก็คงต้องไปเลือกเอาเองว่าอยากได้รถแบบไหน เพราะถ้าเป็นมนุษย์พันธุ์เท้าหนักอย่างผม คงยอมหยอดกระปุกเพิ่มอีก 7 แสนบาทแล้วข้ามไปเล่นเอเอ็มจีเลยทีเดียว
แต่หากคุณเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่อยากได้รถยนต์ตราดาวที่นั่งสบาย ขับไปเรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยมาก มีจังหวะเร่งแซงได้อย่างสนุกสนานในระดับหนึ่ง ขับในเมืองก็ดี ขับไปต่างเมืองก็ไว้ใจได้ แถมคิดว่าเอาเงินส่วนต่างไว้เติมน้ำมันดีกว่า แถมไม่ต้องกังวลกับเรื่องแบตเตอรี่่ไฮบริดว่าจะพังหรือไม่อีก อี200 ก็อาจจะเพียงพอสำหรับคุณ
เพราะแม้เบนซ์จะประกาศรับประกันแบตเตอรี่นาน 10 ปี แต่ก็พ่วงด้วยเงื่อนไขต้องเข้ารับบริการจากศูนย์บริการอย่างเป็นทางการตลอด 10 ปีนะครับ ถ้าเผลอออกไปเข้าศูนย์บริการข้างนอกก็จบกันทันที
ลองดูก็แล้วกันนะว่าชอบแบบไหน รักจะใช้ชีวิตอย่างไร ตามสบายได้เลย...
ใครสนใจจะตามไปอ่านทดลองขับ อี300 บลูเทค ไฮบริด ตามมาได้ ที่นี่
ขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับทริปทดสอบแสนสนุก
ผู้เขียน golfautospinn พูดคุยกันได้ที่ pisan.i@icarasia.com และเฟซบุ๊ค Autospinn.Fans
ความคิดเห็น