รีวิวเบาๆ ขี่ Ducati Monster 796 Corse Stripe ออกทริป กินลม ช่วงสิ้นปี Share this
รีวิวมอเตอร์ไซค์
โหมดการอ่าน

รีวิวเบาๆ ขี่ Ducati Monster 796 Corse Stripe ออกทริป กินลม ช่วงสิ้นปี

Pon Piantanongkit
โดย Pon Piantanongkit
โพสต์เมื่อ 26 December 2556

และแล้วก็ เข้าสู่ช่วงปลายปีกันเรียบร้อย เวลาผ่านไปไวอีก 1 ปี และช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมานี้อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น หลายคนอาจได้ลาหยุดยาว เพื่อหยุดพักเทศกาลปีใหม่ ไปดื่มด่ำกับลมหนาวในต่างจังหวัด หลายคนยังคงมุ่งหน้าทำงานกันอย่างต่อไป และในช่วงสิ้นปีก่อนเข้าเทศกาลคริสมาสต์ ทางเราได้รับเชิญจาก Ducati Thailand ให้ไปร่วมทดลองขี่เจ้า Ducati Monster 796 Corse Stripe ตัวใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวกันไปในงาน Motor Expo 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งในทริปนี้เป็นการขี่เดินทาง แบบพักผ่อนชิลๆ สบายๆ สำหรับ Monster ขาว-แดง M796 ตัวใหม่นี้ ที่อัพราคาขึ้น มาจาก M795 ABS 10,000 บาท จะได้อะไรเพิ่มมา แล้วคุ้มค่ากันมากมากแค่ไหน กันบ้างต้องมาดูกัน

M796-Gang_resize

เมื่อเช้าวันที่ 23 ธค. ได้เริ่มต้นการนัดหมายของทริปนี้ ที่โชว์รูม Ducati วิภาวดี พร้อมบรีฟเส้นทาง และรายละเอียดก่อนออกเดินทางกัน เนื่องจากในทริปนี้ มีนักข่าวถึง 20 คน ขี่รถ 20 คัน ต้องแบ่งออก เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คัน โดยแต่ละกลุ่มจะมี Marshal ขี่ Multistrada คอยคุมดูแลความปลอดภัย กลุ่มละ 3 ท่าน สำหรับกลุ่มแรก จะได้ขี่ M796 ใหม่หมดทั้ง 10 คัน และกลุ่ม 2 จะมีรถปนกันหลากรุ่น ทั้ง M795, Hypermotard, Hyperstrada, Street Fighter และ Diavel ซึ่งผมโดนจับให้อยู่กลุ่ม 2 ในวันแรก และ ถูกจัดให้ขี่ M795

M796_resize

หลังบริฟเตรียมความพร้อมเสร็จ จึงออกเดินทางกันในช่วงเช้า ซึ่งยัง8งขี่เกาะกลุ่มเป็นขบวนกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลาง การจราจร ที่หนาแน่น พอสมควรในช่วงเมือง และต้องใช้ทักษะส่วนตัว กับการมุดรถติด ซึ่งในช่วงนี้ ผมแอบรู้สึกดีใจที่ได้ขี่ M795 ที่คันเล็ก และมีน้ำหนักเบา คล่องตัว ช่วยให้มุดหลบหลีก ได้อย่างคล่องแคล่ว กว่า พี่ๆท่าน อื่น ที่ขี่ Hyperstrada ที่มีกระเป๋าข้าง แต่หลังจากหลุดพ้นช่วงตัวเมืองไปแล้ว ชักอยากขี่เจ้า Diavel ขึ้นมาทันที เพราะเจ้า M795 นี้ยังคงให้ ความรู้สึกเช่น เคย คือ เครื่องสั่นราวกับเจ้าเข้า ยิ่งความเร็วสูง แฮนด์ยิ่งสั่นหนัก และรู้สึกถึงไอร้อนบริเวณหน้าขา รวมถึงบริเวณก้น จากท่อไอเสีย ที่ออกท้าย ทำให้ทุกครั้งที่ติดไฟแดง เกินกว่า 30 นาที ผมเลือกที่จะดับเครื่องมันซะเลย

parade_resize

แต่สิ่งหนึ่งที่ ทำรู้สึกดีกว่าการขี่ Hyperstrada ที่ไป Group Test มาล่าสุดมาก นั่นคือ คันเกียร์ที่นิ่ม ไม่แข็งทำให้งัดขึ้นได้โดยง่ายสบายกว่าเยอะ รวมถึงการหาเกียร์ว่าง ก็ทำได้ อย่างง่ายดายเช่นกัน

สมรรถนะของขุมพลัง L-Twin Desmodromic ยังคงให้พละกำลังกับการใช้งานได้อย่างพอเพียง กำคลัช เตะเกียร์ เปิดคันเร่งนิดๆ รถก็สามารถพุ่งทะยาน ไปข้างหน้าพร้อมแซง รถที่สัญจรไปมา ได้อย่างสบายๆ กับแรงบิดถึง 78Nm ซึ่งการกระแทกเปิดคันเร่งหมด ในเกียร์แรกนั้นยังคงต้องระวัง เนื่องจากแรงบิดที่ค่อนข้างสูงมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ บวกกับน้ำหนักตัว ที่เบาเพียง 169 กก. (dry weight) กับยางหลังขนาด 160mm รุ่น Pirelli Angel การเปิดคันเร่งหนักๆ ตั้งแต่เกียร์ต้นๆ ถ้าคุมแฮนด์ไม่ดี อาจมี Slip ออกมาบ้าง เนื่องจากไม่มี Traction Control และยิ่งเห็นได้ชัด ในจังหวะเลี้ยวรถ ลองเข้าที่เกียร์ 1 ตอนออกโค้ง เปิดคันมากไปหน่อย ล้อหลังมีอาการ Slide ออกนิดๆ ให้พอเร้าใจกันบ้าง แต่หลังจากเกียร์ 2 ไปแล้ว เปิดคันเร่งลากรอบไป จนเกินกว่า 6,000rpm จะเริ่มรู้สึกได้แล้วว่า แรงบิดเริ่มตก ซึ่งทางที่ดี หากต้องการออกตัวแบบดีดๆ เน้น Torque และให้ความเร็วมาต่อเนื่องควรงัดเกียร์ขึ้น ที่รอบก่อน 6,250rpm เพราะถ้าหากลากรอบเกิน 6,250rpm ไปซึ่ง เป็นช่วงที่แรงบิดเริ่มตก แล้ว จะเริ่มรู้สึกรถมีอาการ ตื้อๆ แต่ม้ายังคงมีมาให้ใช้ ถึงรอบประมาณ 8,250rpm ซึ่งเป็นรอบที่ม้าออกมาสูงสุด แต่ก็ไม่ควรลากมาถึงตรงนี้ เพราะ ความรู้สึกหวือหวา มันเริ่มหมดไปตั้งแต่รอบ 6,000rpm แล้ว

Me4_resize

ถึงแม้ว่าทริปนี้จะเป็นทริปขี่เที่ยวสบาย กินลมชมวิว แต่ทว่า จากการขี่ตามขบวน ไมล์รถผมยังมีให้เห็น เลข 180 กม./ชม. + อยู่ ทีเดียว ซึ่งการที่ต้องควบ Monster แดง ในระดับ 140 กม./ชม. ขึ้นไป โดยที่ไม่ก้มลง ช่างเป็นเรื่องที่ท้าทายลมอย่างมาก เนื่องจาก Wind Sheld ขนาดจุ๋มจิ๋มที่ติดมา ดูไม่ค่อยจะช่วยสักเท่าไร และแฮนด์หน้าที่ดูเบา และไวไปหน่อย การทำความเร็วสูงจึงต้องคุมหน้าให้จิกเกาะถนนให้ดี สำหรับผม มองว่าเจ้า Monster ให้ขี่แบบสบายๆ ไม่เครียดจนเกินไป ความเร็วสัก 120 กม./ชม. ดูกำลังดีกับการที่ ไม่ต้องก้มหมอบหลบลมกันให้เหนื่อย และเครื่องไม่ต้องสั่นสะท้านขึ้นมาถึงแฮนด์มากจนเกินไป เพราะการควบคุมแฮนด์นั้นดูมีน้ำหนักเบา

Monster796_resize

สำหรับอีกวันขากลับ ก็ได้มีการสลับกลุ่มกันระหว่าง กลุ่ม 1 และ กลุ่ม 2 ซึ่งในกลุ่มผมทั้งหมด ได้ถูกย้ายมาขี่เจ้า M796 Corse Stripe ทั้งหมด

M796 ยังคงใช้เครื่องยนต์บล๊อกเดิมกับ M795 แบบ L-Twin 803cc 2 วาล์ว ต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ มีกำลัง 87 แรงม้า @ 8250rpm และแรงบิด 78Nm @ 6250rpm

แม้จะใช้เครื่องบล๊อกเดียวกัน แต่รายละเอียดอื่นๆ แตกต่างกันพอสมควร หลักๆ คือ มีลายขาวพาดกลางผ่านลำตัว และ การเปลี่ยนมาใช้สวิงอาร์มเดี่ยว ส่งผลให้ ความสูงเบาะ ถูกยกขึ้นสูงกว่า M795 ถึง 30mm จาก 770mm กลายเป็น 800mm ตูดโด่งเพิ่มขี้นส่งผลให้ท่านั่งขี่ดูเท่ สปอร์ตยิ่งขึ้น แต่ สำหรับผม มันเมื่อยขึ้นกว่าการนั่งขี่ 795 อยู่พอตัวเลย นอกจากนั้นรายละเอียดอื่นๆ จะเป็นพวกจุกจิกเล็กน้อย เช่น แฮนด์บาร์ จะใช้วัสดุงานที่ดีกว่าเป็นแบบเคลือบยิงทราย แทนของเก่าที่เป็นแฮนด์บาร์ที่เป็นวัสดุชุมโครม ซึ่งดูไม่ค่อยจะมีราคานัก จนผู้ใช้ Monster หลายคน ต้องไปเปลี่ยนแฮนด์บาร์กันจำนวนมาก แต่ M796 นี่ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนเสียตังกันเพิ่มเลย เพราะมันดูดีอยู่แล้ว

Monster2_resize

สำหรับรายละเอียดทางเทคนิค ส่วนอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิมทั้ง เบรก, โช้คอัพกันสะเทือน แตกต่างกันที่ ใช้สวิงอาร์มหลังเดี่ยว และใช้ล้อ 5 ก้านคู่แทน 3 แบบ 3 ก้านเดิม ยางหน้าปรับไซส์เป็น 120/70 แทน 120/60 และหลังใช้เป็น 180/55 แทน 160/60 ของ Pirelli Diablo Rosso II แทน Pirelli Angel ST ซึ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความต่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในจังหวะ วาดโค้งยาวๆ สามารถแบนโค้งได้อย่างมั่นใจมากขึ้นทีเดียว กับหน้ายาง 180 ที่ให้ Grip การยึดเกาะที่ดีขึ้น ร่วมกับยางซีรีย์สูงขึ้น

Me3_resize

โดยรวมแล้ว การขับขี่ M796 นั้น ใฟ้ฟีลลิ่งที่แตกต่าง จาก M795 หลักๆ เลย คือท่านั่งที่ดูสปอร์ตขึ้นจากตำแหน่งเบาะที่ดูสูงขึ้น นั่นส่งผลให้มันเมื่อยขึ้นด้วย การออกตัวแบบเปิดคันเร่งหนักๆ ดูจะลดอาการ Slide ได้น้อยกว่า M795 จากขนาดยางที่กว้างขึ้นอีก 20mm และนั่นส่งผลให้เทโค้งได้มากขึ้นด้วย แต่ด้านอื่นๆ โดยรวมแล้วก็ เหมือนๆ กัน ทั้งการมุดการขับขี่ในตัวเมือง ยังคงคล่องตัว เพราะน้ำหนักเท่ากัน และไอร้อนจากเครื่องยนต์ และท่อ ก็มีมาเช่นเดิม รวมถึงการขี่ที่ความเร็วสูง แล้วเมื่อยเนื่องจากแฮนด์บาร์ที่สั่นสะท้าน จนเล่นเอาแขนแทบชา แต่ถึงยังไงในวันขากลับ ที่ขี่เจ้า M796 นี้ ยังมีได้เห็นตัวเลข 190 กม./ชม. + ซึ่งท่ามี wind shield หน้าช่วยลดแรงลม หน่อย คงได้ขึ้น 200 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่จุดเดิมที่ยังต้องระวังกับการขี่ที่ความเร็วสูง คือ หน้าเบา ซึ่งต้องคอยหมอบ และหนีบแขนแนบตัวถัง เพื่อให้หน้าจิกกดอยู่กับพื้นถนนมากที่สุด

Corse-Team_resize

สรุปปิดท้าย Ducati monster M796 Corse Stripe ใหม่ มาในราคา 449,500 บาท อัพราคาเพิ่มจาก M795 ABS มาเพียง 10,000 บาท กับ การได้แค่ สวิงอาร์มเดี่ยว ก็คุ้มค่าแล้ว รวมถึงการได้ล้อ และ ยางที่ใหญ่ขึ้น กับ ซีรีย์ Rosso II และรายละเอียดจุกจิก อื่นๆ อย่าง ลายสติกเกอร์พาดลำตัว, แฮนด์บาร์ เป็นต้น แค่นี้ก็ คุ้มเกินคุ้ม สำหรับผู้ที่คลั่งไคล้ในแบรนด์ Ducati อยากที่จะมีมอไซค์ แบรนด์ในฝันของใคร หลายๆ คนมาครอบครอง Ducati Monster 796 Corse Stripe คันนี้ ถือเป็น รถรุ่นเริ่มต้นที่น่าสนใจใช้ได้ หรือ ถ้าอยากประหยัดงบขึ้นอีกหน่อย ทาง Ducati ก็ยังมี ตัว Monster M795 ตัวไม่มี ABS ทำราคาอยู่ที่ 399,990 บาท จากปกติ 409,990 บาท ให้เป็นตัวเลือกกันอีกด้วย (แต่สำหรับผม ยังมอง Hypermotard ว่าเป็นคันที่อยากได้ ขี่สนุก และดูจะคุ้มค่ากับราคา และเทคโนโลยีที่สุด ของ Ducati ณ ตอนนี้)

ขอขอบคุณ Ducati Thailand กับทริปทดสอบ M796 Corse Stripe ในครั้งนี้

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver

รูปหมู่_resize


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ