ริวิวขี่ KTM Duke390 ใช้งานในเมืองจี๊ดจ๊าด แบบ Street Bike และขี่ท่องเที่ยวได้สนุก สไตล์ Naked Motard
KTM Duke390 รีวิว
KTM ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์มอเตอร์ไซค์ ที่มีสมรรถนะสูงจากยุโรป ประเทศออสเตรีย และรถที่มียอดขายดีที่สุดของ KTM Thailand นั่นก็คือ Duke ซึ่งกินยอดขายไปกว่า 70% ของทั้งแบรนด์ ในปี 2013 โดยตัวชูโรงคือ Duke 200 ซึ่งเป็นรถที่เริ่มต้นของ KTM Thailand และมีช่วงหนึ่งที่ปรับลดราคา ลงมาถึง ครึ่งแสน ช่วยกระตุ้นยอดขายให้เจ้า Duke ขึ้นไปอีก
และเมื่องาน Motor Expo 2013 KUNKA Corp ได้ฤกษ์เปิดตัว KTM Duke 390 ซึ่งถือเป็นรถสไตล์ Naked Bike ไซส์ไม่ใหญ่ไม่โต 373cc ที่ใช้แชสซีส์แบบเดียวกับ Duke 200 โดยเปิดตัวร่วมกับ Super Duke 1290 รถ Naked Bike ที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งนั่นทำให้มันเป็นอัศวินสีส้มของ KTM ที่จะมาเติมเต็มอุดช่องว่างระหว่าง Duke 200 และ Duke 690 ให้ไม่โดดห่างจนเกินไป และวันนี้เราได้มีโอกาส ขอยืมเจ้า Duke 390 สีขาว-ส้ม คันนี้มาทดสอบกันสักหน่อย ซึ่งนำไปวิ่งใช้งานทั้งในตัวเมือง และ วิ่งไปท่องเที่ยวออกนอกเมือง
ถ้าพูดถึงรถตระกูล Duke KTM ได้จัดสรรเครื่องยนต์มาให้เลือกแบบครอบคลุมทุกระดับถึง 7 รุ่นเครื่องยนต์ด้วยกัน 125, 200, 390 จะใช้แชสซีส์ตัวถังเดียวกัน 690 และ 690 R ซึ่งเป็นบอดี้ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด 990 Super Duke R และ 1290 Super Duke R ที่ถือเป็นสุดยอดของรถ Naked Bike แล้ว แต่ว่ารถ 2 ล้อ ที่มีกำลังถึง 180 แรงม้า มันคงไม่ได้เกิดมาสำหรับนักบิด 2 ล้อทุกคนอย่างแน่นอน (โดยเฉพาะเงินในกระเป๋าสตางค์ของคุณ) นั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่ Duke ได้แตกไลน์ ถึง 7 รุ่น เครื่องยนต์ ด้วยกัน เพื่อให้กลุ่มลูกค้า ทุกระดับ ทั้งฐานะและทักษะในการขับขี่ ได้มีโอกาสสัมผัส Naked Bike ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคันหนึ่งนี้
Duke 390 ถือเป็นตัวเครื่องยนต์แรงที่สุด ที่อยู่ในบอดี้ไซส์เล็กนี้ มีน้ำหนัก 139 กก. แบบ dry weight (Duke 200 หนัก 129 กก. Duke 125 หนัก 127 กก.) มีความสูงเบาะเท่ากันกับ Duke 200 ที่ 800mm
สิ่งที่แตกต่างเห็นจะเป็นลายสติกเกอร์ใหม่ กับสีล้ออัลลอยส้ม และตัวบล๊อกเครื่องยนต์ที่ดูจะเต็มเฟรมกว่าตัว 200 และด้วยความที่มันดูจะเต็มเฟรมไปนิด ตรงบริเวณคอท่อ ด้านซ้ายได้ทำให้บุบเว้าเข้าไปเล็กน้อยเพื่อให้หลบเฟรมถักสีส้ม ได้พ้น
ทางด้านสวิทช์แฮนด์ฝั่งสายมีไฟ Pass ให้ใช้ ด้านขวามีเพียง Switch Off-Run และสตาร์ทเครื่องยนต์ หันมามองที่หน้าปัด ที่เป็นเรือนไมล์ดิจิตอล ความเร็วบอกเป็นตัวเลข และรอบเครื่องยนต์เป็นแถบวิ่งอยู่ในแนวนอนด้านบน จุดเด่นเห็นจะเป็นไฟบอกเกียร์ ที่เป็นตัวเลขบอกตั้งแต่ 0-6 ด้านซ้ายบน ถัดลงมาจากบอกรอบเครื่องยนต์ นอกนั้นก็จะมีวัดทริป A,B และบอกอัตราสิ้นเปลือง และมีเซ็นเซอร์ขาตั้งบอกด้วย ว่า Side Stand Down เมื่อตั้งขาตั้ง สำหรับปุ่มกด ด้านซ้าย Mode และ Set ค่อนข้างแข็ง ดูกดลำบากนิด สำหรับปุ่มกดปิด-เปิด ABS คือปุ่มที่อยู่ด้านล่าง Set ไม่มีตัวอักษรระบุ
สำหรับท่านั่ง เบาะที่มีความสูง 800mm เมื่อเทียบกับรถน้ำหนักตัวเพียง 139 กก. ถือว่าสูงพอสมควร และด้วยรถที่เป็นแฮนด์บาร์สไตล์ Fat Bar ที่ดูกว้าง แถมปลายแฮนด์หักงุ้มขึ้น ทำให้ตำแหน่งวางมือจะถูกยกสูงขึ้นมา และดูจะต้องกางแบะข้อศอกออกเล็กน้อย ซึ่งดูท่าตัวเองแล้วอาจจะดูตลกไปสักนิด แต่นั่นก็ออกแนวท่าทางการขี่แบบรถ Enduro นั่นเอง แฮนด์สามารถหักวงเลี้ยวได้เยอะทีเดียว
สำหรับถังน้ำมันขนาด 11 ลิตร เชื่อมกับแฟริ่งตรงบริเวณปีกด้านหน้า มีส่วนเว้าที่รับกับต้นขาได้ค่อนข้างดี ดูเรียวกระชับ สำหรับเบาะคนขับขี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับขี่รถแนวสปอร์ตตูดโด่งอยู่ แต่สำหรับเบาะคนซ้อนดูถ้าแล้ว คงเหมาะแก่ สาวๆ ที่เอวบางร่างน้อย เพราะพื้นที่เบาะช่างเล็กเหลือเกิน ถ้าคนตัวใหญ่ นั่งลงไปก้นคนละล้นเบาะเป็นแน่
KTM Duke 390 ใช้เครื่องยนต์ 1 สูบ ขนาด 373.2cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 89mm x 60mm ในขณะที่ Duke 200 อยู่ที่ 72mm x 49mm พิกัด 373cc นี้สร้างกำลังได้ ม้า 43 แรงม้า ที่รอบ 9,500rpm และ แรงบิด 35Nm@7250rpm
ในด้านการขับขี่ ตั้งแต่วางมือลงที่ปลอกแฮนด์ จะพบว่าปลอกมือที่มีปุ่มเพื่อจับได้แน่นมือไม่ลื่น มันดูจะบาดฝ่ามือ หากไม่ใส่ถุงมือ ขับขี่ อีกทั้งรถคันนี้ได้ติดตั้ง Hand Guard มาให้ เพื่อเพิ่มความสวยงาม ในรถสไตล์แบบ Touring แต่ในการใช้งานจริงในตัวเมือง จะทำให้การมุดรถติดทำได้ยากขึ้นมากทีเดียว
หลังจากกดสวิทช์ติดเครื่องขึ้น เสียงมันช่างไม่ชวนเร้าอารมณ์เสียเลย เพราะออกแนวเหมือนลูกเป็ดอย่างไรอย่างงั้น แผ็ดๆๆ….. ออกมาเป็นลูกๆ แบบ สั้นๆ ซึ่งดูแล้วไม่น่าเกรงขาม ได้เวลาออกตัว เริ่มต้นกำก้านคลัช ที่ดูมีขนาดก้านสั้นจนไม่สามารถกำได้ครบทั้ง 4 นิ้ว ทำได้เต็มที่ 3 นิ้วจนมาถึงนิ้วนาง น้ำหนักของคลัชนั้นปานกลางไม่เบาจนเกินไป แต่ในการเข้าเกียร์ กลับพบว่าเกียร์นิ่ม จนแทบไม่รู้สึกถึงการเข้าเกียร์ และที่สำคัญมันหาเกียร์ N ได้ยากจริงๆ ในจังหวะจอดรถติด แถมร้อนขาซ้ายมาก จากการเดินคอท่อ ผ่านโครงถัก ซึ่งทำให้เวลาติดไฟแดงเป็นเวลานาน จึงควรที่จะดับเครื่องทิ้งเสียเลย และในจังหวะจะไฟเขียวก็ใช้กำคลัช และติดเครื่องยนต์เอาได้เลยพร้อมออกตัว
Duke 390 นี้ ดูจะเป็นรถที่ต้องเค้นกำลังในช่วงรอบสูง เพราะการขับขี่ที่ความเร็วรอบต่ำ โดยทั่วๆไป รู้สึกเหมือนให้ฟีลแบบขี่รถบ้าน อย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากกำลังเครื่องดูแทบจะไม่มีเลยที่รอบเครื่องต่ำ อีกทั้งไม่ควรขับหรือ เลี้ยงเกียร์สูงที่รอบเกินไป (ต่ำกว่า 2,500rpm) โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่อนคันเร่ง แล้วรอบเครื่องร่วงลงมาต่ำกว่า 2,500rpm รถจะออกอาการกระตุกดับ แบบเตือนว่าใช้เกียร์สูงเกินไปไม่เหมาะสมในขณะนั้น ซึ่งต้องลดเกียร์ลงมา โดยเฉพาะช่วงที่มุดรถติดขัด ใช้ความเร็วสูงไม่ได้ ต้องพยายามเลี้ยงคันเร่งรักษารอบเอาไว้ หรือใช้เกียร์ลงมาต่ำให้เหมาะสม และหากใครเป็นพวกชอบออกตัวแบบกำคลัชไหลออกไปก่อนนั่น เป็นเสี่ยงต่อการที่รถจะดับสูง
ถ้าหากต้องการสัมผัสถึงสมรรถนะที่จัดจ้านแท้จริงของเครื่องยนต์ตัวนี้ จะต้องเปิดคันเร่งกระแทกออก หนักๆ ลากรอบไปเกินกว่า 5,000rpm จะเริ่มสัมผัสได้ถึงสมรรถนะที่แตกต่างเริ่มสนุกสนานกับกำลังของเครื่องยนต์ 373cc ตัวนี้ และเมื่อลากไปจนถึงประมาณรอบ 7,000rpm (ช่วง Peak Torque) จะเริ่มรู้สึกว่ารถมีอาการเริ่มตื้อนิดๆ จาก Torque ที่ดูจะเริ่มไต่ลง แต่ยังเป็นช่วงที่ทำให้เราสามารถฟินได้ เพราะในช่วงนี้รอบเครื่องจะตวัดขึ้นต่อเนื่อง จากม้าที่กำลังมาเรื่อยๆต่อเนื่อง จนไปถึงรอบที่เป็นช่วงที่กำลังสูงสุดออกที่ราว 10,000rpm ซึ่งหากลากไปเกินกว่านี้ รถจะถูกทำการตัดรอบป้องกันการลากรอบสูงเกินไปทันที
ลองไล่ใหม่ตั้งแต่เกียร์ 1 สับเกียร์ที่ช่วง Max Power (ราว 9,500rpm) อัตราเร่งในช่วง 0-100 กม./ชม. พบว่าน่าจะ อยู่ที่ราว 6 วินาที ซึ่งดูน่าจะออกมาใกล้เคียงกันกับตัว Ninja 300 แต่ในช่วงความเร็ว 130 กม./ชม. ขึ้นไป ความเร็วจะขึ้นช้าลงแบบรู้สึกได้เลย ไม่จัดจ้านเหมือน ช่วงต้น และกลาง Top Speed น่าจะมากกว่า 170 กม./ชม. แต่การทดสอบของเราพอถึง 166 กม./ชม. รอบเครื่องอยู่ราว 9,000rpm+ จำต้องยกคันเร่งแล้ว เนื่องจากสภาพการจราจรไม่เอื้ออำนวย และ หน้ารถที่ดูไวและ เบา หากลากรอบ ไปถึงระดับ 8,000rpm จะเริ่มรู้สึกได้จากการที่เครื่องสูบเดียว ค่อนข้างสั่นส่งผลมาถึง การควบคุมแฮนด์ที่เริ่มจะส่าย
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ ขึ้นบนหน้าจอ ในตัวเมืองรถติดได้ที่ 22 กม./ลิตร และ การวิ่งเดินทางไกลได้ที่ 30.3 กม./ลิตร
สรุปแล้ว กำลังเครื่องยนต์ในการใช้งาน ถือว่าจัดจ้านพอตัวถ้าเล่นรอบเครื่องเป็น การขี่ในตัวเมืองที่พอมีช่องให้มุด ถือเป็นเรื่องหวานหมู ต่อการเร่งแซง และหลบหลีกจากน้ำหนักตัวที่เบาและถังน้ำมันกระชับต้นขา สะดวกต่อการหลบหลีก สำหรับการขี่เดินทางที่ไม่ไกลมาก ยังถือว่าพอทำได้ จากความเร็วในช่วงกลางที่ยังเค้นออกมาได้ไม่น่าเกลียด 120 กม./ชม.+ แต่หากขับแช่ความเร็วเกิน 150 กม./ชม. ดูจะไม่เหมาะสมกับเครื่องยนต์สูบเดียว ที่สั่นมาก และหน้าที่ค่อนข้างไว จึงไม่เหมาะกับการขี่รถที่ความเร็วสูงเกินไป
ระบบช่วงล่าง ใช้แกนโช้คหน้าเป็นแบบ UpSideDown ขนาดแกน 43mm จาก WP สำหรับด้านหลังเป็น Monoshock จาก WP เช่นกัน ยางที่ใช้เป็นยาง Metzeler Sportec M5 ล้อหลังให้มาใหญ่เต็มซุ้ม ใช้ยางขนาด 150mm และล้อหน้า 110 ซึ่งทำให้ใครๆ ที่ดูแล้วเห็นเจ้า Duke นี่ คงต้องเป็นรถที่ มี cc สูงกว่ารถบ้านทั่วไปอย่างแน่นอน จากขนาดล้อที่ดูใหญ่ ไม่สมสัดส่วนตัวรถที่ดูเล็ก ช่วงล่างให้ความรู้สึกที่แข็ง แต่ไม่เข้าขั้นพวกสปอร์ต แต่แฝงความนุ่มนวล ในรถสไตล์ Motard และไม่ดูย้วยเกินแบบรถ Enduro ฟีลลิ่งออกแนว Motard นั่นล่ะว่าง่ายๆ สามารถขี่ผ่านช่วงขรุขระ หรือทางรถไฟโดยไม่ดีดจนเกินไป แต่การขี่ที่ความเร็วสูงยังรู้สึกว่า หน้ารถยังไม่จิกเกาะถนนดีพอ ทำให้หน้าไว ส่าย ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากตัวรถที่ค่อนข้างสูงส่วนหนึ่ง และท่านั่งที่ลมปะทะค่อนข้างสูง
สำหรับเบรก ใช้ดิสก์หน้าเดี่ยวขนาด 300mm พร้อมคาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบ และหลังเดี่ยวขนาด 230mm พร้อมคาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ จาก bybre ซึ่งมาพร้อมระบบ ABS ซึ่งครั้งแรกที่ผม ได้เจอกับเจ้า Duke 200 เล่นเอาผมงง เลยว่า เบรก bybre คือ ? จนมานั่งหาข้อมูล bybre = by brembo brembo ได้ทำเบรกสำหรับรถขนาดเล็ก
ด้านการใช้งาน ถือว่าใช้ได้กับไซส์เครื่องยนต์ 390 ที่ใหญ่ที่สุดในบอดี้นี้ การตอบสนองเบรก โดยเฉพาะเบรกหลังทำได้เร็วฉับไว จนรู้สึกไวไปสักนิด และเบรกลงน้ำหนักได้หนักแน่น แต่จากความรู้สึกโดยส่วนตัว มันดูจะไม่คม แบบเบรก Brembo ตัวจริงเสียงจริงที่เคยสัมผัสนัก ถ้าหากเล่นเบรกหนักๆ หรือ ขี่แบบเน้นสมรรถนะ มันกลับดูรู้สึกเหมือนจะด้านๆ ทื่อๆ ในจังหวะสุดท้าย และดีไม่ดีเหมือนยางจะเริ่มเก่า และมีอาการไถลออกให้เห็นบ้าง ในจังหวะที่ ABS ทำงาน
สรุป
รถ KTM Duke 390 ถือเป็นรถสไตล์ Naked ที่ดูผสมความเป็น Motard เข้ามาด้วย ซึ่งทำให้มันดูเป็นรถ Street ที่พอจะเอาไปลุยได้บ้าง แม่ว่าดูจากทรงแล้ว คันไม่ใหญ่ สูบเดียว ความจุไม่เยอะเว่อร์ และการขับขี่เรื่อยๆ ที่รอบต่ำดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรง แต่ไม่ว่าใครก็ตามอย่าได้ประมาท หากเจ้า Duke 390 ได้ทะยานไปถึงรอบสูง พวกรถตระกูล 250, 300 และรถบ้านที่ทำแรง มีโดนในช่วงไม่เกินเกียร์ 3 แทบทุกราย
เมื่อเทียบกับงานวัสดุ และการประกอบที่อินเดีย อาจจะยังดูเนียนเท่ากับงานประกอบไทย และด้วยราคาที่ค่อนข้างแรงสักหน่อยจากกำแพงภาษี จึงทำให้ราคารถกระโดดไปไกลแตะหลัก 3.39 แสนบาท ซึ่งแพงกว่ารถตระกูล 650cc ของค่ายญี่ปุ่นไป จึงอาจทำให้ใครหลายคนมองว่า คุ้มหรือไม่ ไปซื้อตัวใหญ่เลยทีเดียวจบดีกว่าไหม? แต่อย่าลืมว่า การที่ซื้อ KTM นั่นคือ การซื้อ Brand และความเป็นเอกลักษณ์ของ KTM ที่ดูไม่เหมือนใคร เชื่อได้ว่าถ้าหากคุณ ขี่ Duke ไปบนท้องถนนใน กทม. ย่อมต้องมีคนหันมองคุณมากกว่า ตระกูล 650 ญี่ปุ่นเป็นแน่ เพราะอย่างตัวผมเอง ตอนจอดไฟแดง รวมถึงจอดได้ถ่ายรูปก็ได้มีผู้สอบถามว่า รถขนาดกี่ cc และราคาเท่าไร
ดังนั้นหากคุณต้องการรถแนว Naked ที่ไม่แรงจนเกินไป แต่จี๊ดจ๊าดแซ่บเอาเรื่อง น้ำหนักไม่เยอะ และได้ Look ในการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร แต่นั่น คุณต้องไม่คิดเรื่องภาษีที่ทำให้ค่าตัวมันโดดไปสูง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าคุณรักรถแบรนด์นี้จริงหรือไม่?
ขอขอบคุณ KUNKA Corp สำหรับรถ KTM Duke 390 สีขาว-ส้ม คันนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น