ยามาฮ่า เจ้าพ่อรถจักรยานยนต์ออโตเมติกประกาศแผนงาน 3 ปีหวังชิงส่วนแบ่งตลาดกลับมา 25% ในปี 2559 เน้นการเปิดตัวสินค้าใหม่ 12 รุ่นให้ครอบคลุมทุกตลาด
ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านการผลิตรถจักรยานยนต์ใหม่ 12 รุ่นภายใน 3 ปีตามแผนงานเพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายและส่วนแบ่งตลาด โดยจะต้องใช้เงินลงทุนอีกกว่า 3,000 ล้านบาทไม่รวมการลงทุนด้านอื่น ๆ
ทั้งนี้ การเปิดไลน์ผลิตรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะต้องใช้งบประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อ 1 รุ่น โดยยามาฮ่าจะแนะนำรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่รุ่นแรกของปีนี้ในเดือนมี.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวรถยนต์ระดับโกลบอลโมเดลในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ยามาฮ่าประกาศแผนการทำธุรกิจของบริษัทระยะกลาง 3 ปี (พ.ศ.2557-2559) ตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด 25% จากที่ส่วนแบ่งตลาดหดตัวเหลือ 18.6% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งยามาฮ่าตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 20% ในปี 2557 ด้วยยอดขาย 3.6 แสนคัน จากตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน
จากนั้นก็คาดว่าบริษัทฯ จะเพิ่มยอดขายเป็น 4.2 แสนคันและ 4.75 แสนคันตามลำดับ ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 22.1% และ 25% ในปี 2558-2559 จากตลาดรวมที่คาดว่าจะทรงตัวที่ 1.9 ล้านคัน
ประพันธ์บอกว่าการที่จะประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น ยามาฮ่าจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นในการทำตลาดสินค้าทุกกลุ่ม โดยหากต้องการส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 25% ในภาพรวม ก็จะต้องมีส่วนแบ่งตลาดรถออโตเมติกมากกว่า 30% รถยนต์เกียร์ธรรมดามากกว่า 20% และรถกลุ่มสปอร์ตมากกว่า 25% โดยปัจจุบันฮอนด้ายังไม่ได้ทำตลาดรถกลุ่มสปอร์ตแต่คิดว่าเป็นตลาดที่เติบโต
"แผนงานหลักของยามาฮ่าในปีนี้ซึ่งจะเป็นปีฉลองครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งบริษัทในประเทศไทยก็คือการประกาศแบรนด์แคมเปญใหม่ “Revs Your Heart” จากนั้นก็จะเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องทุกเซกเมนต์ ซึ่งในอดีตยามาฮ่าเคยมีแชร์มากสุด 28% ดังนั้นการกลับไปมีแชร์ 25% ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล"
ยามาฮ่ายังมองถึงการพัฒนาเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 60% เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลักในทุกภูมิภาค โดยภายใน 3 ปี ศูนย์บริการแบบครบวงจรของยามาฮ่าจะเพิ่มขึ้นอีก 55 แห่ง เป็น 700 แห่งจาก 645 แห่งในปัจจุบัน
สำหรับภาพรวมของตลาดรถจักรยานยนต์ที่จะหดตัวในปีนี้ คาดว่าครึ่งปีแรกตลาดจะหดตัวอย่างรุนแรง จากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองที่คาดว่าจะสามารถแก้ไขได้ภายในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในช่วงเดือนแรกพบว่ามีการหดตัวแล้วกว่า 20% ซึ่งหากการเมืองยังยืดเยื้อก็อาจต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
“จากการที่หลายฝ่ายคาดการถึงอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศไทยจะอยู่ที่ไม่เกิน 2% แต่บริษัทมองว่า จีดีพีประเทศไทยจะโตในระดับไม่เกิน 3% ซึ่งคาดว่าจะเป็นในระดับดังกล่าวหากการเมืองไม่ยืดเยื้อมากนัก แต่มองว่าปัจจัยบวกในปี 2557 จะอยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการส่งออกที่ดีขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ขณะที่ปัจจัยลบอยู่ที่ปัจจัยทางการเมืองที่ทำให้นโยบายและแผนงานภาครัฐล่าช้าออกไป"
ความคิดเห็น