พิทยา ธนาดํารงศักดิ์ : ป้้นตงฟงสู่ขวัญใจเอสเอ็มอี

ในบรรดารถยนต์สัญชาติจีนที่เดินหน้าเข้ามาท้าทายตลาดประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่ามีหลายแบรนด์ที่เดินเข้ามาและเดินจากไปจากตลาดประเทศไทยเงียบ ๆ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นที่เข้มแข็งได้

แต่กับตงฟง มอเตอร์สแล้วถือว่ามีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากอายุอานามในประเทศไทยมายาวนานกว่า 5 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งมาถึงตอนนี้ พิทยา ธนาดํารงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศว่าจากนี้ไปคือการก้าวสู่ขั้นต่อไปของตงฟง หลังจากเดินหน้าพัฒนาตลาดมาอย่างต่อเนื่อง

เขายอมรับว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมาต้องทำการบ้านอย่างหนัก เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยนั้นยังมองภาพลักษณ์ของรถจากประเทศจีนไม่ดีนัก ขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายที่เข้ามาและออกไปเนื่องจากแข่งขันไม่ได้นั้น ก็ส่งผลกับภาพลักษณ์ของรถยนต์จากแผ่นดินใหญ่พอสมควร

"เมื่อก่อนคนจะมองว่ารถจากจีนแข่งกันที่ราคาเป็นหลัก แถมต้องแข่งกับผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น ซึ่งตลาดรถปิกอัพเล็กนั้นเติบโตมาได้ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้เล่นจากญี่ปุ่นรายหนึ่งลงมาเล่น จากนั้นแบรนด์ใหญ่ ๆ ก็เริ่มเข้ามา ทำให้ผู้บริโภคมองว่าตัวสินค้าเองไม่ได้เลวร้าย ทำให้ตงฟงมีโอกาสจากตรงนี้"

5 ปีที่ผ่านมา ตงฟงในประเทศไทยเดินหน้าทำตลาดด้วยแนวทางที่ไม่แตกต่างอะไรจากค่ายรถยนต์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการทั่วประเทศ การจัดกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร รวมไปถึงการร่วมทุนกับบริษัทแม่เปิดโรงงานประกอบรถปิกอัพเล็กในประเทศไทยขึ้นมา

การทำตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ทอดทิ้งผู้บริโภคทำให้ตงฟงมียอดจำหน่ายเพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผสานกับการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ ๆ เพื่อเอาใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปีนี้ก็มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ใหม่ทั้ง 4 รุ่น รวมถึงเปิดตัวรถปิกอัพเล็กเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อเอาใจลูกค้าที่ไม่ต้องการรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินติดก๊าซแอลพีจีที่ทำตลาดอยู่

ทั้งหมดนี้ทำให้พิทยามั่นใจว่ายอดจำหน่ายของบริษัทในปีนี้จะเติบโตขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 3,000 คัน ซึ่งในช่วง 5 ปีแรกที่ทำตลาดมานั้น มีลูกค้าที่เลือกเป็นเจ้าของรถตงฟงไปแล้วมากกว่า 1 หมื่นคัน ซึ่งตงฟงนับเป็น 1 ใน 3 ผู้ทำตลาดหลักของรถปิกอัพเล็กในปัจจุบัน

"ตอนนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่ 3 รายครองตลาดอยู่เท่า ๆ กัน ตลาดเองยังไม่ใหญ่มาก แต่หากมีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมมองว่าความต้องการตรงนี้ยังมีอยู่ เอสเอ็มอีไทยยังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ หากสามารถพัฒนาโครงการต่าง ๆ มารองรับความต้องการของลูกค้าได้ อนาคตก็อาจจะเห็นตลาดที่ระดับ 5 หมื่นคันต่อปีได้"

สำหรับแผนงานหลักของตงฟงในปีนี้คือการเปิดโครงการรถยนต์มือสอง ภายใต้ชื่อ 'ตงฟง เยส' เพื่อขยายฐานลูกค้ารวมถึงการรักษาราคาจำหน่ายรถยนต์มือสองของบริษัท ซึ่งจะทำให้ตงฟงกลายเป็นผู้ประกอบการรถยนต์จากประเทศจีนรายแรกที่มีการเดินหน้าโครงการในลักษณะดังกล่าวในประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการเจรจากับสถาบันผู้ให้บริการทางการเงินอย่างธนาคารกสิกรไทยที่จะเข้ามาดูแลอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์มือสองของบริษัท และได้ศึกษาแนวทางในการทำตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่เพื่อรองรับโครงการนี้เช่นกัน

"เมื่อก่อนนี้รถยนต์ของตงฟงอาจจะไม่มีการจำหน่ายเป็นมือสอง คนที่เข้ามาซื้อก็ต้องคิดหนัก โครงการนี้จะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจรถใหม่เดินหน้าได้ไวขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ที่รายได้น้อยกว่าก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ตงฟงได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งกสิกรไทยที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรในโครงการนี้ก็มั่นใจ เนื่องจากที่ผ่านมาตงฟงมียอดหนี้เสียจากรถใหม่ต่ำมากเพียง 2% เท่านั้น"

ในส่วนของโรงงานนั้นได้มีการลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มด้านข้างของโรงงานเดิมอีก 64 ไร่ ด้วยงบประมาณกว่า 150 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ตงฟงยังไม่ได้ทำตลาดในปัจจุบัน ซึ่งมองไปถึงการรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต รวมไปถึงการเปิดประชาคมเสรีอาเซียนเช่นกัน