มาซามิชิ โคไก : มาสด้าอยากให้ทุกอย่างนิ่งเพื่อเดินหน้าต่อ

มาสด้าได้ฤกษ์เปิดสายการผลิตรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ล่าสุดที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ (เอเอที) ไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงทั้่งจากมาสด้า, เอเอที และจากรัฐบาลไทยเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก

หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คณะผู้บริหารของมาสด้า นำทีมโดย มาซามิชิ โคไก คณะกรรมการ, ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้พูดคุยอย่างใกล้ชิด

คำถามย่อมไม่พ้นสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคุกรุ่นในประเทศไทย มาซามิชิตอบอย่างชัดเจนว่า ในฐานะที่เคยประจำอยู่ที่ประเทศไทยมายาวนานกว่า 2 ปี ในช่วงที่เหตุการณ์สงบอยู่ เขาย่อมมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นเรื่องที่ดี และต้องการที่จะให้เหตุการทั้งหมดสงบลง เพื่อที่จะเดินหน้ากันได้อย่างเต็มที่

"สำหรับมาสด้ายังเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาเรามีการลงทุนโรงงานผลิตเกียร์สกายแอคทีฟไป โครงการอื่น ๆ อย่างอีโคคาร์ เฟส 2 นั้นก็อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในอนาคตหากมีการลงทุนเพิ่มที่สำคัญในประเทศไทย ก็พร้อมจะประกาศเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม"

โคไกบอกว่านับจากการประกาศลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์เอเอทีในปี 2540 เป็นต้นมา มาสด้ามองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ และยังมีศักยภาพในการส่งออกทั้งในเรื่องของระบบโลจิสติกและซัพพลายเออร์ ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ มาสด้ามองประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของมาสด้าในอาเซียน โดยไม่ได้มองเป็นแค่ฐานการผลิตธรรมดา แต่มีบทบทสำคัญในการส่งออก จนทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตเกียร์รุ่นใหม่ขึ้นมาในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยธุรกิจในประเทศไทย ภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงตลาดอื่น ๆ นอกจากนี้

โคไกยังได้กล่าวถึงแผนงานของมาสด้าในการจัดการผลิตในโรงงานใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ประกอบไปด้วยโรงงานที่ญี่ปุ่น, จีนและโรงงานน้องใหม่อย่างเม็กซิโก ซึ่งเขาระบุว่าการเปิดโรงงานทั้งหมดนั้นก็เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะในเรื่องของปัจจัยความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งโรงงานที่ญี่ปุ่นที่ผลิตอยู่ 8-9 แสนคันต่อปีนั้น มีแผนที่จะส่งออก 50% ภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2559

"การวางแผนการผลิตของมาสด้าไม่ได้มองเรื่องจำนวนผลิตเพียงอย่างเดียว แต่มองไปถึงซัพพลายเออร์ การจ้างงานและเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาตลอด ที่มาสด้าเรามีคำว่า Monosukari ซึ่งหมายถึงความชำนาญหรือความเชี่ยวชาญในการผลิต ซึ่งจะมีสิ่งนี้ได้ โรงงานต้องมีขนาดที่ใหญ่พอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องดูแลทั้งหมดไปพร้อม ๆ กัน"

ความสำคัญของการบริหารฐานการผลิตทั้ง 4 ก็คือการสร้างเสถียรภาพของธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยต้องสร้างสมดุลของกำไร ยอดการผลิตในแต่ละแห่ง โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบ โดยหลักสำคัญก็คือ ฐานการผลิตหลักทั้ง 4 แห่ง จะต้องเฉลี่ยกันไปในการสร้างเสถียรภาพโดยรวมให้กับมาสด้า

สำหรับภาพรวมของธุรกิจในอาเซียน นอกจากโรงงานเอเอทีที่มีกำลังผลิตของมาสด้าปีละ 1.2 แสนคันในการผลิตรถปิกอัพและรถยนต์นั่งแล้ว มาสด้ายังมีโรงงานในมาเลเซียและเวียดนามที่มีกำลังผลิตรวมกัน 3 หมื่นคันต่อปี ทำให้ภาพรวมของมาสด้าในอาเซียนนั้นสามารถผลิตรถยนต์ได้ปีละ 1.5 แสนคัน

ทั้งนี้ มองว่าแม้จะเกิดภาวะการชะลอตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย แต่หากมองภาพรวมของอาเซียนแล้ว ก็ถือว่าบรรยากาศยังดีอยู่เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ การหดตัวของประเทศไทยน่าจะเป็นเพียงการหดตัวระยะสั้น และหากมองในระยะกลางถึงยาวก็ยังมีศักยภาพในการที่จะลงทุนเพิ่มเติม

"ตลาดอาเซียนเองถือว่าในภาพรวมมีความแตกต่างกันมากในเรื่องของระดับความก้าวหน้าหรือล่าถอยทางธุรกิจ ประเทศที่มีผลกระทบก็มี ประเทศที่ไม่มีผลกระทบอย่างมาเลเซียหรือเวียดนาม มาสด้าก็มีการลงทุนขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายเพื่อหวังเพิ่มยอดขายในประเทศเหล่านี้ แต่มองในภาพรวมแล้วถือเป็นภูมิภาคที่ยังน่าสนใจ"

พบมาสด้ามือสองคุณภาพเยี่ยมที่ไทยคาร์ดอทคอม