กัลลิเวอร์ ยักษ์ใหญ่รถยนต์มือสองแห่งประเทศญี่ปุ่นประกาศจับมือวี-กรุ๊ป เล็งขยายเครือข่ายธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มือสองในไทย 100 สาขาภายในปี 2558 เพื่อเป็นฐานกระโดดต่อสู่เออีซี
คัทซึชิ โนมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วี-กัลลิเวอร์ เปิดเผยว่ากัลลิเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองรายใหญ่ในญี่ปุ่น ได้ร่วมทุนกับวี-กรุ๊ป ด้วยสัดส่วนการลงทุน 51:49 เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นการขยายออกนอกญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในเอเชีย
ศูนย์บริการแห่งแรกของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่บนถนนศรีนครินทร์ใช้งบประมาณในการลงทุน 10 ล้านบาท และบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายขยายศูนย์บริการเพิ่มเป็น 15 แห่งในปีนี้และ 100 แห่งในปี 2558 ในรูปแบบของการขยายสาขาของแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศไทย
“เรามองว่าตลาดรถยนต์มือสองในประเทศไทยยังมีความน่าสนใจอยู่ แม้จะได้รับผลกระทบจากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าของรถในตลาดหดลงไป 10-15% แต่ก็มองว่าเป็นจุดต่ำสุดของราคารถมือสองแล้ว จากนี้ตลาดน่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติ ทำให้ราคาจำหน่ายน่าจะกลับมาดีอีกครั้ง”
ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลของกัลลิเวอร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มองว่าตลาดรถยนต์มือสองในประเทศไทยน่าจะมีขนาดประมาณ 1 เท่าตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ใหม่ และประเทศไทยมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของรถในภาคครัวเรือนแค่ 13.8% ทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมาก เมื่อเทียบกับในญี่ปุ่นที่ตัวเลขนี้สูงถึง 86.5%
โนมูระกล่าวถึงจุดขายของกัลลิเวอร์ว่า ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยจะเน้นการเสนอราคาที่ยุติธรรมและความหลากหลายของรถยนต์ให้ลูกค้าเลือก โดยแต่ละศูนย์จะสต๊อกรถยนต์ให้เพียงพอ โดยคาดว่าศูนย์กัลลิเวอร์แต่ละแห่งจะมียอดจำหน่าย 30-50 คันต่อเดือน
นอกจากนี้ ยังได้เน้นการรับประกันคุณภาพของรถที่จำหน่ายเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด โดยลูกค้าสามารถขายรถคืนให้กับบริษัทฯ ได้ภายใน 30 วัน หากไม่พึงพอใจในตัวสินค้า และยังเสนอการรับประกันให้กับลูกค้าฟรี 6 เดือนหรือ 1 หมื่นกิโลเมตรอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การร่วมมือกับวี-กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจรถยนต์ในประเทศไทย จะทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการดูแลลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากวี-กรุ๊ปเองมีธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ใหม่ และศูนย์บริการรถยนต์ รวมไปถึงอู่ซ่อมสีมาตรฐานที่สามารถดูแลรถยนต์ได้อย่างครบวงจร
โนมูระกล่าวต่อว่ากัลลิเวอร์เองมองถึงการขยายไปดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน หลังการเปิดเขตประชาคมเสรีอาเซียนเช่นกัน โดยอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม มองว่าจำเป็นที่จะต้องดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้ดีเสียก่อน เพื่อให้มีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจไปประเทศอื่น ๆ ในอนาคต
ความคิดเห็น