ในช่วงหลังๆ มานี้เราจะพบว่า Trend รถยนต์ส่วนมาก เริ่มหันไปทาง SUV กันมากขึ้น ทั้ง B-SUV จนไปถึง Full Size SUV ไม่ว่าจะค่ายรถบ้าน ยันค่ายรถหรู ต่างหันเหมุ่งเน้นรุกตลาดกลุ่มรถอเนกประสงค์มากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมไปว่า กลุ่มรถเล็ก อย่าง B-Segment นี้ ถือเป็นรถที่ครองยอดขายการตลาดเป็นกลุ่มมวลมหารถยนต์อยู่
และรถยนต์กลุ่มนี้ ที่กวาดยอดขายไปดิบดีไปเป็นจำนวนมาก ในบ้านเรา คันหนึ่งก็คงหนีไม่พ้น Honda City โดยที่ยอดขาย Honda City ปีที่แล้ว กลับทำยอดออกมาได้ดีเกินคาด เล่นเอารถที่เปิดตัวแบบ World Premiere อย่าง Toyota Vios โฉมใหม่ มีงง แต่นั่นอาจเป็นกลยุทธ์ในส่วนของการตลาด ที่จะระบายรถ Honda City เดิม เพื่อรองรับการมาของ 2014 Honda City โฉมใหม่ล่าสุดนี้ ซึ่งถือเป็น เจนเนอเรชั่น 4 ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กับ Concept Be Your Best
และแน่นอนกับ โฆษณาของรถยนต์ Honda ที่มักทำผู้เขียน เคลิ้ม ไปกับเพลงอันแสนไพเราะ และเนื้อหาในการนำเสนอ ที่ต้องถือว่าถ่ายทอดออกมาได้ดี จนทำให้ผมต้องรู้สึกคล้อยตามกับรถยนต์คันนี้ที่แฝงความหรูหรา ในแบบที่กัปตัน จะต้องเลือกขับ ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องขออยากทดสอบสัมผัส กับการได้ลองเป็นรถที่กัปตันนักบิน เลือกใช้กันสักหน่อยล่ะ เพื่อจะปั้นออกมาเป็นรีวิว ให้แฟนๆ ผู้อ่านลองมาอ่าน หรืออาจจะไปสัมผัสด้วยตนเองที่โชว์รูม Honda กันดู
มาเริ่มมองกันที่รูปลักษณ์ภายนอก 2014 Honda City โฉมใหม่นี้ ในบางครั้งที่กำลังขับรถอยู่ และหันมองที่กระจกมองหลัง จะพบว่า หากมองผ่านๆ อาจดูไม่แตกต่างจาก City โฉมเดิมนัก จนเมื่อเข้ามาใกล้ๆ และเห็นความต่างจากด้านข้างและไฟท้าย ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนชื่นชม (รวมถึงผู้เขียน) คือ บริเวณไฟท้ายด้านหลัง ที่รับกับแนวเส้นโป่งหลัง ที่ทำให้ดูคมขึ้น และมีมิติที่ดูชัดขึ้น แต่ไม่ได้โป่งหนาเทอะแบบรถซิ่ง และ สวมล้อ 16” ลวดลายใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยวแฝงความหรู ในรุ่น SV และ SV+ คันนี้ ที่ถูกหุ้มด้วยยาง Bridgestone Turanza 185/55/16
หากเทียบกับรุ่นเดิม จะพบว่ามีมิติ ยาวขึ้น 45 มม. ฐานล้อยาวขึ้น 50 มม. สูงขึ้น 5 มม. กว้างเท่าเดิม 1,695 มม.
นั่นจะพบว่าจุดต่างคือ จะยาวกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ตอนหลัง และห้องเก็บสัมภาระที่มีพื้นที่มากขึ้น มีความจุ 536 ลิตร
สำหรับห้องโดยสารภายใน เมื่อเปิดประตูด้วยระบบ Keyless เข้ามา จะพบวัสดุหุ้มเบาะภายในเป็นผ้า พื้นที่ภายในที่ดูกว้างขึ้น รำคาญพนักพิงหัว และเบาะที่ดู อาจนั่งไม่สบายมากนัก
พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังนั่งสบายขึ้น ขยายความกว้างของพื้นที่หัวไหล่เพิ่ม 40มม. พื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60มม. แต่สำหรับเบาะตอนหน้า จากที่ได้ลองขับมาพบว่า จุดที่น่ารำคาญคือ พนักพิงศรีษะ กับรูปทรงเบาะที่ดูจะทำให้นั่งไม่สบายเท่าที่ควร จนทำให้ต้องถอดพนักพิงศรีษะออก เนื่องจากมุมหนุนที่ไม่รับกับศรีษะ
เบาะตอนหลังพับ 60:40 ได้ ในรุ่น SV และ SV+ ซึ่งต้องดึงปุ่มพับเบาะที่ห้องโดยสารตอนหลัง จึงสามารถพับลงได้
จะมีปุ่ม Push Start ทางด้านซ้ายของพวงมาลัย และปุ่ม ECON ทางด้านขวาของพวงมาลัย ซึ่งอยู่ใกล้กับปุ่มปิด TCS (Traction Control) ด้านเครื่องปรับอากาศเป็นระบบแอร์อัตโนมัติ ที่การใช้งานถือว่าทำได้เย็นฉ่ำ ถูกใจคนไทยที่ต้องเจอสภาพอากาศร้อนสูง พวงมาลัย 3 ก้าน polyurethane รูปแบบใหม่ของ Honda ปรับ 4 ทิศทาง มีสวิทช์ Multifunction และ Cruise Control รวมถึงปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ พร้อมแป้น Paddle Shift ขนาดเล็ก ยึดติดกับตัวพวงมาลัย
แผงคอนโซลหน้าที่ดูแบนราบ มีหน้าจอขนาด 7” ดูล้ำยุคสมัย นี่คือหัวใจสำคัญของ ห้องโดยสารของ Honda City 2014 นี้เลย มันสามารถใช้เป็น Wifi Hotspot ได้ด้วย แถมสามารถเชื่อมต่อ Siri Eyes Free ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่ต้องละสายตาจาก Smart Phone อีกต่างหาก อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับกล้องมองภาพด้านหลังเมื่อคุณเข้าเกียร์ R สำหรับระบบเครื่องเสียง ถ่ายทอดเสียงผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth เป็นมาตรฐาน ส่วนระบบเชื่อมต่อก็มีครบ ทั้ง USB, AUX in จนถึงสาย HDMI แต่จะไม่มี CD Slot กับระบบนำทางมาให้ ซึ่งทาง Honda Recommend ให้ใช้ Honda Link Application นอกจากนั้นยังเอาใจผู้ชอบเล่น Smartphone ด้วยช่อง Power Outlet สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอีก 2 ช่อง
ในด้านการล๊อกและปลดล๊อก ประตู อาจเป็นอะไรที่ งง สักเล็กน้อย คือ ถ้ากดล๊อกจากกุญแจ ก็ต้องปลดจากกุญแจ แต่ถ้า ล๊อกจากปุ่มที่มือจับประตู ก็เพียงแค่เอามือมาจับที่ประตู จะมีเซ็นเซอร์ปลดล๊อกให้อัตโนมัติ
ขุมพลังเครื่องยนต์ ที่จริงแล้วมันก็คือบล๊อกเดิมกับ Honda City โฉมเก่า ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC 1,497cc แต่มีการปรับจูนใหม่ เพื่อให้รอบรับกับเกียร์ CVT ลูกใหม่ และ รองรับน้ำมัน E85
ได้แรงม้าสุทธิ 117 แรงม้า @6,000rpm และ แรงบิด 146Nm@4,700rpm สังเกตุได้ว่า ม้าโดนตอนหายไป 3 ตัว แต่กำลังออกมาไวกว่าเดิม ถึง 600rpm แรงบิดเพิ่ม 1Nm มาไวกว่าเดิม 100rpm
มีตัวเลขเคลม อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 17.7 กม./ลิตร (เบนซิน) และปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัม/กม.
หากขับด้วยโหมด ECON กำลังเครื่องยนต์จะถูกปรับให้การตอบสนองช้าลง ซึ่งจะประสานสอดคล้องกับ Eco Coaching ที่จะช่วย ไกด์ ให้คุณขับรถประหยัด ด้วยแถบสีบนมาตรวัด
แต่เมื่อมาลองขับโดยเน้นสมรรถนะ พบว่ากำลังเครื่องยนต์ ยังคงมีดี ไม่ขี้เหล่ เมื่อเทียบกับรถ B-Car ในพิกัดเดียวกัน และหากเทียบกับรุ่นเดิม พบว่าความดิบลดลงจากการใช้เกียร์ CVT และมันดูให้การตอบสนองจากแป้นคันเร่งที่แม่นยำขึ้นเล็กน้อย แม้ว่า แรงม้าลดลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าสมรรถนะ ในการออกตัว หรือ เร่งแซงดูด้อยลงแต่อย่างใด
มาลองดูตัวเลขสมรรถนะที่เราทำกันได้ โดยวัดผ่าน OBD Bluetooth ได้ดังนี้
0-100 กม./ชม. ใน 12.054 วินาที ¼ mile 19.257 วินาที (โหมด D)
0-100 กม./ชม. ใน 11.731 วินาที ¼ mile 18.687 วินาที (โหมด S)
Top Speed ที่ทำได้ ราว 197 กม./ชม. ซึ่งเราคาดว่าถ้าถนนโล่งยาวๆ กว่านี้ 200 กม./ชม. มีได้เห็นแน่
โดยรวมแล้ว ถือว่า สมรรถนะ ของเครื่องยนต์ตัวนี้ มีการปรับจูนมาใช้ได้เลย ในช่วงกำลังตีนต้น ก็ถือว่าเป็นไปตามคาด แต่ ช่วงปลายกับไหลเรื่อยๆ เกินความคาดหมาย แม้แรงม้าจะลดลงเล็กน้อยแต่ด้วยการปรับจูนเครื่องให้เข้ากับเกียร์ใหม่ ทำให้มันดูลงตัวกว่าเดิม
ในด้านของตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง จากมาตรวัดหน้าจอ การวิ่งเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม. ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กม./ลิตร และหากวิ่งแช่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. แบบรักษาคันเร่งให้เนียนที่สุด ตัวเลขออกมาสวยที่ 18.1 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริปที่เราได้นำรถมาจะได้ 16.1 กม./ลิตร
แต่ในทางปฏิบัติจริง คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองน่้าจะอยู่ที่ราว 14.5 กม./ลิตร ซึ่งเทียบกับน้ำมัน 1 ถังจากที่เราได้ลองวิ่งทดสอบดู พบว่าสามารถวิ่งได้เกิน 600 กม. สบายๆ
- หมายเหตุการทดสอบทั้งหมดนี้ ใช้น้ำมัน E10 แก๊ซโซฮอล์ 91
ระบบส่งกำลังเกียร์ จากที่เคยใช้เกียร์ Torque Converter 5 AT ในโฉมเดิม ถูกปรับเปลี่ยน มาใช้เป็น CVT EarthDream ที่ปรับซอยถึง 7 Speed ในโหมด S ด้านการใช้งาน ที่จริง ต้องถือว่า เกียร์ลูกใหม่นี้ ทำงานกับเครื่องยนต์บล๊อกเดิมที่ปรับจูนมาได้เข้ากันดีทีเดียว การขับขี่จากตำแหน่งเกียร์ D ก็สามารถ Shift เปลี่ยนเกียร์ได้เลยจาก แป้นที่พวงมาลัย ซึ่งจะมีอัตราทดเท่ากับในโหมด S แต่ จะว่า หากขับไปสักพัก เกียร์จะกลับสู่โหมด D เองอัตโนมัติ ดูๆแล้วจะเหมาะสำหรับ การใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วแบบกระทันหันเสียมากกว่า ซึ่งจะได้แรงดึงจากเครื่องยนต์พอสมควร ช่วยชะลอความเร็วได้ดีเยี่ยม
หรือ หากต้องการเร่งแซง แนะนำว่าใช้กระแทกคันเร่งลงหมด ดีกว่าการต้องมาไล่เกียร์ ให้ยุ่งยาก เพราะสำหรับเกียร์ CVT ลูกนี้ เท่าที่เราลองเล่นสับเกียร์เอง โดยลากรอบไปที่ Redline เพื่อสับเกียร์ที่ 6,000rpm จังหวะที่มีแรงม้าสูงสุดออกมา พบว่า การตอบสนองของอัตราเร่ง ไม่ดีเท่ากับโหมดออโต้ หรือ หากต้องการความกระฉับกระเฉงฉับไวขึ้น เพียงกระโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และ กระแทกคันเร่ง รถก็ พร้อมพุ่งทะยานแซง รถคันหน้าได้อย่าง ไม่ยากเย็นจนเกินไป
สำหรับความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบ เครื่องยนต์ ได้ทำการวัด 3 ค่า ได้ ดังนี้
80 กม./ชม. = 1,500rpm 100 กม./ชม.= 1,900rpm 120 กม./ชม= 2,250rpm
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน Polyurethane ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 ม. ช่วงสาวพวงมาลัย ดูเบาสัมผัสได้ถึงระบบมอเตอร์ช่วยผ่อนแรง กำลังทำงาน แต่ไม่เบาหวิวคล่องตัว ชนิดไร้น้ำหนักแบบ Jazz และ City โมเดลเก่า ซึ่งในช่วงสาวความเร็วต่ำนี้ ผู้เขียนรู้สึกชอบมากกว่ารุ่นเดิม เพราะมันดูให้ฟีลลิ่งในการขับขี่ที่ดูดีกว่า ไม่ไวจนเกินไปนัก แต่ที่ความเร็วสูง ยังพบว่าน้ำหนักดูเบาไปอยู่หน่อย และไม่มีหนักแน่นในโค้ง เท่ารุ่นเดิม คือ การตอบสนองของพวงมาลัยดูดีแม่นยำกว่าเดิม และดูให้ความรู้สึกในการรับรู้ที่ดีกว่า แต่ โมเดลเดิม จะมีความหนักแน่นที่ความเร็วสูงและการเข้าโค้งที่ดีกว่าหน่อย
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม เราพบว่า หากเทียบกับ รุ่นโมเดลเก่า มันจะดูนุ่มขึ้น เล็กน้อย และการขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ดูจะไม่เลวร้ายนัก อาจมีหวิวๆ ให้เห็นช่วงความเร็ว 170 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ในการใช้งานที่ความเร็วเดินทางปกติ ระดับ 120 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีพอตัว
แต่เราพบว่า หากขับขี่ในทางโค้ง หรือเลี้ยวกลับรถ โดยที่กดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่งของแป้นเท่านั้น รถจะส่ายมีอาการ Slip ให้เห็นของหน้ายาง ที่ดูไม่ค่อยจะเกาะถนนนัก และที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ยังพบว่าช่วงล่างยังดูอาจจะไม่เกาะถนนในโค้งนัก ซึ่งส่วนหนึ่งมากจากหน้ายางด้วย ซึ่งหากเข้าที่ความเร็วสูงเกินกว่านี้ไป จะมีเสียงยางกรีดร้องดังออกมาต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่ได้กระแทกคันเร่ง
ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์แบบมีครีบระบายความร้อนมาให้ และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้แต่ในรุ่น Top SV คันนี้ ซึ่งการที่ปรับลดสเป็กนั้น ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการด้านการหยุดรถ นั้นดูแย่ลง แต่อย่างใด ในเชิงของความรู้สึกในการขับขี่ กลับรู้สึกว่า มันออกจะเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ คือ ไม่พบอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ ที่มักพบ กับ Jazz และ City โมเดลเก่า และไม่ต้องลงน้ำหนักแป้นเยอะ เพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เกิดขึ้นเพื่อหน่วงหยุดรถได้ และมันทำให้การเบรก สามารถทำได้อย่างนุ่มนวลกว่าตัวเก่าด้วย
ในด้านระบบความปลอดภัย ของ Honda City 2014 ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขาย ที่ให้ระบบช่วยเหลือในด้านความปลอดภัย มาให้ครบตั้งแต่รุ่นล่างสุด ทั้ง ABS, EBD, BA, TCS(ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อกระทืบเบรกกระทันหัน) สำหรับในรุ่น SV+ นี้ จะมี side curtain airbag ให้อีกด้วย
สรุป 2014 Honda City ใหม่ รถ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นระบบช่วยความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่าง ในแบบที่หาไม่ได้ในค่ายอื่น เพียบพร้อมด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าชาวบ้าน อีกทั้งสมรรถนะที่ดีขึ้นนิด และประหยัดกว่าเดิมอีกหน่อย กับของเล่นที่มาให้เพียบ ทั้งภายใน และฟังก์ชั่น ต่างๆ แม้ราคารุ่น Top จะดูแพงกว่าชาวบ้าน แล้วไง? ของเขาให้เยอะกว่า นั่งสบายกว่า แถมรูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้น ให้ความหรูเกินกว่ารถ Sub-Compact ด้วยกัน เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยากได้รถ Sub-Compact ที่ มีสมรรถนะ กลางๆ การโดยสารที่ค่อนไปทางสบาย และเป็นผู้ชอบในเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อ และออปชั่นความปลอดภัย ก็จัดรุ่น SV+ ไปเป็นกัปตันมาวิน ได้เลย แต่ต้องกัดฟันนิด เพราะราคานี้เพิ่มตังอีกหน่อย หลายคนอาจมองว่า เล่นรถระดับ C-Car ได้เลยนะ ซึ่งผู้ซื้อคงต้อง เลือกตัดสินใจกันเอาเองแล้วล่ะ ทางที่ดี ไปลองขับที่โชว์รูม Honda สักรอบ ว่าคุณจะติดใจกับสิ่งที่ให้มาไหม หรือ อาจเพียงหลงไปกับเสียงเพลงโฆษณา Be Your Best
ขอขอบคุณ Honda Automobile สำหรับรถทดสอบ 2014 Honda City รุ่น SV+ คันสีเทา 749,000 บาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
รายละเอียดทางเทคนิค 2014 Honda City
ใช้เครื่องยนต์ DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตันเมตร
ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT EarthDream ลงสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า FF
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
ระบบเบรก จานดิสก์คู่หน้า และคู่หลังแบบดรัม
ระบบกันสเทือน ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีม H-Shape
พบรถ Honda และ Honda City มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น