สนามนูร์เบอร์กริง หรือที่รู้จักในชื่อ “เดอะริง” สนามแข่งรถระดับตำนานของเยอรมนี ตั้งอยู่ในเมืองนูร์เบอร์ก ประเทศเยอรมนี ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสนามที่ขับยาก ท้าทาย และอันตรายที่สุดสนามหนึ่งในโลก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาคดเคี้ยวทำให้เส้นทางที่พาดผ่านต้องลัดเลาะไปตามภูมิประเทศ บนระยะทางยาวกว่า 26 กิโลเมตร บนทางราบสูง-ต่ำ ทั้งโค้งแคบ หักศอก และเป็นโค้งอันตรายถึง 73 โค้ง ซึ่งในอดีตถูกใช้เป็นสนามแข่งรถสูตรหนึ่ง รายการเยอรมันกรังด์ปรีซ์ตั้งแต่ปี 1947 จนถึง 1970 นอกจากนั้นสมาพันธ์ยานยนต์แห่งประเทศเยอรมัน (ADAC - Allgemeiner Deutscher Automobil Club) ยังได้ใช้สนามแห่งนี้เป็นหนึ่งในรายการ ADAC 24Hours Rennen Nürburgring ตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า นูร์เบอร์กริง หรือ “Green Hell” นรกสีเขียว ชื่อเล่นที่นิยามมาจากรูปแบบของสนามแข่งขัน ที่นักขับมากฝีมือได้ให้นิยามไว้ จะมีความยากลำบากและอันตรายมากขนาดไหน แต่สนามแห่งนี้ กลับมีมนต์ขลังและเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักขับ และคาร์เมคเกอร์จากทั่วโลกที่พร้อมใจ จะฝ่าฟัน ความยากลำบาก และขีดจำกัดของรถและร่างกาย รวมถึงการควอลิฟายด์ให้ผ่านกฎ กติกา ของสนาม ที่ได้กำหนดไว้ว่าผู้ที่จะสามารถลงแข่งขันในรายการ 24 hrs. Nürburgring ได้จะต้องมีประสบการณ์ในการขับ สนาม Nürburgring 26 กิโลเมตร และมีชั่วโมงสะสมไม่น้อยกว่าคนละ 6 ชั่วโมง ในรายการ VLN (Veranstaltergemeinschaft Langstreckenpokal Nürburgring) ที่จัดโดยผู้บริหารเมือง นูร์เบอร์ก ซึ่งหากผ่านการทดสอบนี้ถึงจะได้รับใบอนุญาตและสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในรายการ นูร์เบอร์กริง 24 ชั่วโมง ต่อไปได้ รวมถึงรถยนต์ที่จะสามารถนำมาใช้ในการแข่งขันต้องเป็นรถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นรถในรูปแบบโปรดักชั่นคาร์ หรือรถที่จำหน่ายอยู่ในโชว์รูมและมีการนำมาโมดิฟายด์บางส่วน เพื่อนำไปแข่งขัน นูร์เบอร์กริง จึงเป็นรายการแข่งขัน 24 ชั่วโมง ติดอันดับ 1 ใน 3 ของเวิร์ลกรังด์ปรีซ์ ที่คาร์เมคเกอร์จาก ทั่วทุกมุมโลกต่างต้องการส่งโปรดักชั่นคาร์เข้ามาแข่งขัน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและสมรรถภาพของรถ ในแต่ละรุ่น โดยในรายการนี้ ได้แบ่งรุ่นรถออกเป็นประเภทของรถยนต์คือ
SP : คือรถที่แต่งมาสำหรับการแข่งขัน แบ่งเป็น Sp 1 Sp2 SP3 และ Sp4
V : คือรถโปรดักชั่นคาร์ที่ผลิตจำหน่ายในศูนย์จำหน่าย V3 V2 V1 และในแต่ละประเภทยังแบ่งตามรุ่นความจุของเครื่องยนต์ คือ รุ่น ความจุเครื่องยนต์ 1,600 CC ,
รุ่น ความจุเครื่องยนต์ 1,601-2,000 CC และรุ่นความจุเครื่องยนต์ 2,001-3,000 CC โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ที่นิยมส่งเข้ามาเพื่อแข่งขันและทดสอบประสิทธิภาพจะเป็นรถยุโรป ทั้ง ปอร์เช่, บีเอ็มดับเบิลยู, เมอร์เซเดส-เบนซ์, ออดี้, เปอโยต์ ,โฟล์คสวาเกน, เรย์โนลด์, โอเปิล ฯลฯ ส่วนในกลุ่มเอเชียจะเป็นรถญี่ปุ่น คือ โตโยต้า 86, มาสด้า, นิสสัน, ซูบารุ ฯลฯ
ด้วยความเข้มข้นของรูปแบบการแข่งขันและความยากและท้าทายของสนามจึงเป็นที่มาของความ ภาคภูมิใจในฐานะทีมตัวแทนจากประเทศไทยทีมแรกที่ฝ่าฝันอุปสรรคและก้าวผ่านขีดจำกัดของคนและ รถเข้าสู่สนามการ แข่งขัน ภายใต้ชื่อ “โตโยต้า ทีมไทยแลนด์” โดยมี 4 นักขับสุดยอดฝีมือ อย่าง สุทธิพงศ์ สมิตชาติ, ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ, ณัฐพงษ์ ห่อทองคำ และกีกี้- ศักดิ์ นานา ที่จะไปสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการ มอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทย กับรถยนต์ New Toyota Alits Esport 1800 จาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่พร้อมจะไปลงแข่งขันเพื่อทดสอบสมรรถนะของรถ ทั้งขุมพลังของเครื่องยนต์ อัตราเร่ง อัตราทดเกียร์ สปีดต่างๆ ไปจนถึงระบบช่วงล่าง การยึดเกาะถนน และระบบรักษาความปลอดภัยทั้งระบบเบรก และระบบนิรภัยที่มีติดตั้งอยู่ในรถยนต์
นายสุทธิพงศ์ สมิตชาต (อาร์โต้) หัวหน้าทีมนักแข่ง ได้กล่าวว่า “ถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นเกียรติประวัติสำหรับพวกเราทุกคน ทั้งนักแข่งและทีมงาน ที่ได้รับการสนับสนุน จาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ให้ได้มีโอกาสไปร่วมการแข่งขันในรายการสำคัญระดับโลกและเป็นอีกหนึ่ง บททดสอบที่ท้าทายภายใต้เกียรติประวัติอันยาวนานตลอด 28 ปี บนเส้นทางมอเตอร์สปอร์ตของ โตโยต้า ทีมไทยแลนด์ ที่ได้สร้างผลงานอันน่าภาคภูมิใจและมีชื่อเสียงในแถวหน้าของภูมิภาคเอเชีย ครั้งนี้นับเป็น ครั้งแรกที่ทีมได้ไปแข่งในสนามยุโรป เป็นความแปลกใหม่ทั้งเส้นทาง และรูปแบบการแข่งขัน รถยนต์ที่ลงแข่ง ในสนามซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยุโรป ภายใต้กฎ กติกา อันเข้มงวดที่ได้ถูกจัดทำไว้เพื่อความปลอดภัย สูงสุดสำหรับนักแข่งทุกคน ถือเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่สำหรับทีมครับ”
และจากประสบการณ์ในช่วงควอลิฟายด์ ก่อนไปลงแข่งขันในรายการ นูร์เบอร์กริง 24 ชั่วโมง พวกเราทุกคน ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ที่เคยสะสมมาต่อยอดในการขับครั้งนี้ เพราะแม้ระยะทางเพียง 26 กิโลเมตร ด้วยความเร็วมากกว่า 150 กิโลเมตร / ชม. ก็ทำให้ทีมนักแข่งต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะในทุกวินาที มีความสำคัญและสามารถมีการปรับเปลี่ยนได้อยู่ตลอด ด้วยรูปแบบการแข่งขันที่ยาวนานถึง 24 ชั่วโมง นักขับทั้ง 4 คน ต้องผสานใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อทีมเวิร์คที่สมบูรณ์แบบ รถพร้อม นักแข่งพร้อม ทีมงานทุกคน เป็นหนึ่งเดียวกันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ผมเชื่อมั่นว่า โตโยต้า ทีมไทยแลนด์จะสามารถจบการแข่งขัน ในรายการสุดหินครั้งนี้ได้อย่างสวยงาม และยังได้รางวัลเป็นประสบการณ์พิเศษอันล้ำค่า เพื่อนำมาพัฒนารถยนต์ ให้มีประสิทธิภาพก้าวไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
ร่วมติดตามเป็นกำลังใจให้กับ 4 นักแข่งตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันในรายการ ADAC 24hrs Nurburgring จากเมืองนูร์เบอร์กริง ประเทศเยอรมนี ได้ระหว่างวันที่ 19-22 มิ.ย.นี้ และติดตามเพิ่มเติมได้ทาง www.toyotateamthailand.com และ facebook/ToyotaTeamThailand
ความคิดเห็น