ริวิว Nissan Juke 1.6V Sport Crossover คันหล่อ คล่องตัว ขับดีระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ลงตัวนัก

Nissan Juke รถสปอร์ตอเนกประสงค์ ขนาดเล็ก ซึ่งมีดีไซน์ประหลาดตา ได้ถูกแนะนำสู่ตลาดโลกครั้งแรกในปี 2010 และบรรดาเศรษฐีผู้มีเงินในประเทศไทย ที่อยากขับเจ้ารถ Juke ดีไซน์โดดเด่นคันนี้ ก็จะต้องควักเงินเกือบ 2 ล้านบาท ในการเป็นเจ้าของ โดยการซื้อจากผู้นำเข้าอิสระ

แต่แล้ว เมื่อช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน ที่ผ่านมา Nissan Motors ประเทศไทย ก็ได้เปิดตัวทำตลาดเองอย่างเอาจริงเอาจังกับรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งได้นำเข้ามาจากอินโดนีเซีย ทาง Nissan ถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยกับรถ Sport ในคราบ Crossover คันนี้ และภายในสิ้นปีที่แล้ว Nissan Juke ได้กวาดยอดจองมากไปถึง 4,000 คันเลยทีเดียว และในวันนี้เราได้มีโอกาสทดสอบ Nissan Juke คันนี้กันแบบเดี่ยวๆ อีกครั้ง หลังจากที่เราเคยได้ลงรีวิวแบบกลุ่มกันไปแล้ว

รูปลักษณ์ของ Nissan Juke ถือได้ว่าเป็นจุดขายของรถยนต์คันนี้เลย เพราะมีความโดดเด่นจากรูปลักษณ์ที่แปลกตา กว่ารถคันอื่นๆ ซึ่ง ได้ทั้ง Look สปอร์ต, แกร่งบึกบึน, น่ารัก และนั่นเองที่รถคันนี้มีดีไซน์ภายนอกที่ไม่เหมือนใคร เริ่มตั้งแต่ไฟหน้าที่แยกกันออกจากกัน 3 ระดับ ไฟหรี่ ด้านบนสุด, ไฟต่ำโคมวงกลมตรงกลาง, ไฟตัดหมอก อยู่ล่างสุด

สำหรับโคมไฟหน้าใช้หลอดแบบซีนอน ไฟท้ายทรงบูมเมอแรงที่เป็นเอกลักษณ์จากการถอดแบบมาจากรถสปอร์ต 370Z

ทางด้านหลังได้ติดตั้งสปอยเลอร์อยู่เหนือไฟเบรกดวงที่ 3 มือเปิดประตูหลังแบบซ่อน อยู่ที่ด้านบนกระจก (แบบ Sonic Hatchback) ให้อารมณ์เสมือนการขับรถ Coupe 2 ประตู

มากับล้อแม็กลาย 5 ก้านคู่ขอบ 17” หุ้มยาง 215/55/17 จาก Bridgestone Turanza และมีปลายท่อโครเมียมออกทางฝั่งซ้าย ซึ่งนั่นทำให้มีถังน้ำมันอยู่ด้านขวา แบบรถยุโรป

สำหรับมิติตัวถัง มีความกว้างxยาวxสูง = 1,765x4,135x1,580 มม. มีระยะ Ground Clearance (ความสูงใต้ท้องรถ) = 180 มม. มีน้ำหนักตัวถัง 1,193 กก.

ภายในห้องโดยสาร หลังจากที่เปิดประตูเข้ามาด้วยระบบ Keyless แล้ว ก็จะพบปุ่ม Push Start แบบเดียวกับที่พบใน Nissan หลากหลายรุ่น (เช่นเดียวกับรูปทรงกุญแจที่พบใน Nissan หลายรุ่นเช่นเดียวกัน) ในรุ่น V นี้ จะใช้วัสดุเป็นเบาะหนังสีดำเดินด้านแดง มีโลโก้ Juke อยู่บนตัวเบาะ ตกแต่งด้วย Trim พลาสติกภายในสีแดงประกายสีสันสุดจี๊ด ตัวเบาะนั่งตอนหน้านั้นรูปทรงสปอร์ตมีปีกข้างโอบกระชับแบบ Semi-Bucket Seat เบาะหนังหนาพอประมาณ แต่ว่าเบาะที่รองรับศรีษะด้านบนดูจะติดกับศรีษะไปนิดนึง และตัวเบาะบริเวณที่รองต้นขาดูจะสั้นไปอีกนิดเช่นกัน สำหรับเบาะโดยสารตอนหลังเรียกได้ว่า เกือบจะแคบแบบรถ Coupe เลย คือพื้นที่วางขาช่างแคบเหลือเกิน แถมความยาวเบาะที่รองต้นขาก็สั้นอีก เหมาะกับเด็กตัวเล็กๆ ในการนั่งเสียมากกว่าผู้ใหญ่ อย่างเราๆ ซึ่งแนะนำว่ามันเหมาะแก่การไปไหนมาไหนเพียง 2 คนพร้อมซื้อของชอปปิ่งจุดของขนาดใหญ่พอได้ เมื่อพับเบาะหลังแบบ 60:40

จุดเด่นภายในห้องโดยสาร นอกจากสีการตกแต่งแล้ว ก็คือแผงควบคุมทั้งหมดที่อยู่ตรงกลาง ระบบ Infotainment i-CONNECT หน้าจอ 7” สัมผัส ที่สามารถถอดออกจากแผงคอนโซลได้ รองรับการเชื่อมต่อ USB, AUX, SD Card และเชื่อมต่อแสดงผลภาพจากกล้องมองหลังทันทีที่เข้าเกียร์ R มันยังสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เนตผ่านระบบ wifi ได้อีก ว่าไปแล้วจอ i-CONNECT นี่ก็ดูเหมือนเป็น Tablet ดีๆ ติดรถนี่เอง

ถัดลงมาที่หน้าจอแสดงผลแบบ Real Time i-CON ที่ใช้แสดงโหมดการขับขี่ และอุณหภูมิสลับกัน นอกจากนั้นที่ด้านบนจะมีปุ่มไฟฉุกเฉินอยู่โดดๆ ปุ่มเดียว

พวงมาลัยที่แทบเรียกว่า copy ทรงออกมาจาก 370Z ปรับได้เพียงสูง-ต่ำเท่านั้น มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงทางด้านซ้ายเท่านั้น

ในเรื่องของการจัดวางตำแหน่งวางแก้ว และช่องเก็บของ กลับดูไม่ดีนัก ช่องด้านหน้าคันเกียร์ เล็กแคบและแทบจะวางอะไรไม่ได้เพราะลื่นไถลหล่นออกข้าง ถัดลงมาหากวางแก้วน้ำลงบนช่องวางแก้วช่องแรกจะดูจะติดข้อซอกไปหน่อย หากต้องเข้าเกียร์และยิ่งมีผู้โดยสารตอนหน้า กำลังจะหยิบแก้วน้ำด้วยแล้ว ไม่สามารถที่จะจับที่บริเวณหัวเกียร์ได้เลย และหากจะวางแก้วตรงช่องที่ 2 จะต้องยกที่เท้าแขนขึ้นก่อนอีก สำหรับช่องวางของที่เท้าแขนตรงประตูก็เป็นช่องขนาดเล็กมาก จนอาจจะวางได้เพียงกุญแจเท่านั้น ส่วนตรงมือจับประตูดีไซน์แปลกตาดี การเปิดประตูต้องใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องวงกลมและง้างเข้าหาตัว

ขุมพลังเครื่องยนต์ Nissan Juke ได้ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร HR16 หัวฉีดคู่ (Dual Injector System) ซึ่งได้ยกมาจากตัว Sylphy และ Pulsar จับคู่กับเกียร์ XTRONIC CVT ช่วยถ่ายทอด แรงม้าสูงสุด 116 ตัว @5,600rpm และแรงบิดสูงสุดที่ 154 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000@rpm

ด้วยบุคลิกของเครื่องยนต์ บล๊อกนี้ ที่ผสานการทำงานเข้ากับเกียร์ XTRONIC CVT ที่คุ้นเคย ซึ่งเคยได้ทดลองในรุ่น Sylphy 1.6 กันไปแล้ว พบว่าการขับขี่ยังคงให้การขับขี่ที่คงความนุ่มนวล สมูทดูลื่นไหลได้อย่างดี

ในด้านสมรรถนะการขับขี่จะพบว่า ในช่วงออกตัวนั้นดูค่อนข้างเชื่องช้าไปเล็กน้อย ช้าในระดับรถ Eco Car ประมาณนั้น แต่ในช่วงจังหวะเร่งแซง ที่ย่านความเร็วกลางยังถือว่าพอรับได้ ไม่ขี้เหล่ ในระดับรถพิกัด 16-1.8 แต่หากใช้เร่งแซงที่ช่วงความเร็ว 120 กม./ชม. ขึ้นไปพบว่า ค่อนข้างช้า และกว่าที่ความเร็วจะขึ้นไปถึง ระดับ 150 กม./ชม. ก็ต้องไล่ระดับความเร็วกันค่อนข้างเหนื่อย

ในช่วงที่ทำการไต่ขึ้นทางชันพบว่า ตัวรถนั้นไม่ค่อยจะมีกำลังมากนัก ยิ่งใช้งานกับเกียร์ CVT ด้วยแล้ว ซึ่งอาจต้องกดปุ่ม Sport (Overdrive) ที่หัวเกียร์ช่วย และอาจต้องผลักคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง L หากตรงนั้นเป็นพื้นที่ชันมากๆ กับเกียร์ X Tronic ด้วยแล้ว

ในโหมดการขับเคลื่อนที่โหมด D ยังมีให้เลือกอีก 3 โหมดการขับ Normal Sport และ Eco ที่ปุ่มดูจะไกลมือไปหน่อย แถมยังดูวุ่นวาย เมื่อต้องมากดสลับกับปุ่ม Climate สลับกับ D-Mode เสร็จ แต่ตรงหน้าจอแสดงผล i-CON ตรงกลางนี้มีลูกเล่นให้เล่นกัน โดยในโหมด Normal จะโชว์สเกล บอก Torque ซึ่งจะขึ้นตาม % การกดคันเร่งของคุณ ในขณะที่ Sport จะเป็นสเกลวงกลม บอก Power ซึ่งขึ้นตามการกดคันเร่งของเท้าเช่นกัน และ Eco จะบอก Eco Level ซึ่งให้คะแนนเป็นดาว โดยดูจากพฤติกรรมการขับขี่ ซึ่งสามารถกดดูได้จาก Eco Info ด้วย

สำหรับการเก็บเสียงของ Juke นั้น ถือว่าทำได้ไม่ค่อยดีนัก ที่ความเร็วระดับ 100 กม./ชม. เราก็พบเสียงเล็ดลอดเข้ามาพอสมควร

เรามีโอกาสได้ลองวัดอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. พบว่าทำได้ที่ 13.326 และ ¼ ไมล์ 19.708 วินาที

ในด้านของอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจอ การทดสอบในการขับขี่เดินทางจริง ที่พบทั้งรถติด และในช่วงรถโล่งที่มีการเร่งแซงบ้าง ได้อยู่ที่ 12.66 กม./ลิตร สำหรับตัวเลขในการเดินทางที่ความเร็วเฉลี่ย 110 กม./ชม. จะได้ตัวเลขราว 14 กม./ลิตร

ระบบการควบคุม พวงมาลัยแบบผ่อนแรงไฟฟ้า EPS มีรัศมีวงเลี้ยว 5.5 ม. ถือว่าไม่มากไม่น้อย อยู่ในรถระดับ C-Segment ทั่วๆไป ทันทีที่ได้เริ่มต้นจับพวงมาลัย เพื่อควบคุม พบว่ายังคงดูไม่ค่อยผ่อนแรงเท่าที่ควรนักในการเคลื่อนตัวคืบคลานที่ความเร็วต่ำ แต่ก็ไม่ถึงกับหนักในแบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮโดรลิค และพบมีอาการหน่วงของพวงมาลัยอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น รู้สึกได้เลยว่าน้ำหนักมันดูดีกว่า พวงมาลัยของรถยนต์ Nissan ในหลายรุ่นที่ได้เคยลองขับมา น้ำหนักดูหนึบแน่นมือ เหมาะสมสัมพันธ์กับความเร็ว มีระยะฟรีในการควบคุมทีไม่มากน้อยจนเกินไป กำลังดี ซึ่งดูจะให้การควบคุมที่ความเร็วสูงได้ดีกว่าที่คิด

แม้ว่า พวงมาลัยเจ้า Juke นี้จะดูมีน้ำหนักและมั่นคงดีกว่ารถยนต์ Nissan หลายรุ่น แต่เราก็ยังพบอาการเดิมๆ ที่มีมาในรถยนต์ Nissan หลายรุ่นเช่นกัน ทั้งการตอบสนองที่ดูจช้าไปหน่อย พบช่วง Delay ของวงเลี้ยว (ยังคงไม่คมแม่นยำ) และอาการพวงมาลัยไม่คืนตัวในวงเลี้ยว

ระบบกันสะเทือนช่วงล่าง ด้านหน้าใช้ช่วงล่างแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ซึ่งยังคงใช้ช่วงล่างตามแบบฉบับของรถยนต์ในพิกัดนี้

การขับขี่ใช้งานทั่วไป พบว่ามีอาการแข็งกว่ารถยนต์นั่งทั่วไปเล็กน้อย แต่จะมีอาการตึงตังออกมาบ้าง เวลาที่วิ่งผ่านลูกระนาด หรือพื้นผิวที่หลุมหนักๆ ซึ่งเป็นตามประสาของสไตล์รถ Crossover เมื่อเคลื่อนผ่านเส้นทางขรุขระ พบว่าไม่ได้ดูขี้เหล่นัก ไม่รับรู้ถึงการสะเทือนมากอย่างที่คิด จากช่วงล่างที่ดูเฟิร์ม แต่ยังพอซับแรงได้ในระดับหนึ่ง

สำหรับการเดินทางไกล ในช่วงความเร็วเดินทางปกติ ยังพบว่าทำได้ดีในแบบที่คาดเอาไว้ ยังคงดูหนึบอยู่ที่ความเร็วระดับ 120 กม./ชม. แต่เมื่อเริ่มไต่ไปถึงระดับ 140 กม./ชม. พบว่าช่วงล่างที่ดูจะเฟิร์มหนึบแน่น เริ่มมีจังหวะเคลื่อนตัวของโช้คอัพให้สัมผัสได้ นิดๆ แต่ยังไม่ทำให้ตัวรถถึงกับโคลงนัก และในการเข้าโค้ง ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ตัวถังไม่มีอาการโยนออกมาในการขับขี่ที่ความเร็วปกติ สามารถวาดโค้งยาว หรือ การเข้าโค้งต่อเนื่องซ้าย-ขวา ก็ทำได้ดี ขับสนุกมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง

ระบบเบรก ใช้แบบดิสก์ 2 ล้อหน้า และ 2 ล้อหลังใช้ดรัม ซึ่งดูจะขัดหูขัดตาใครหลายคน (รวมถึงผู้เขียน) มาพร้อมระบบช่วย ทั้ง ABS, BA, EBD เป็นมาตรฐานสากล สำหรับรถในยุคสมัยนี้ การตอบสนองแป้นเบรกยังคงมาในสไตล์รถ Nissan ที่เน้นความนุ่มนวลในการกดเบรก แบบไม้เน้นลงน้ำหนักมากนัก แป้นเบรกดูไม่ตื้น และไม่ถึงกับลึกจนเกินไป การหยุดชะลอความเร็วยังคงทำได้ดีพอตัว และหากต้องหยุดรถเมื่อขับมาด้วยความเร็วเมื่อเพิ่มน้ำหนักแป้นเบรกลงไปมากขึ้น จะรู้สึกได้ถึงระบบ BA ที่เข้ามาช่วยเสริมแรง ทำให้เบรกหยุดได้มั่นใจตามเท้าสั่งมากยิ่งขึ้น

สรุป Nissan Juke รถ Sport Crossover ดีไซน์โดนๆ ที่ถูกใจใครหลากหลายคน ตั้งแต่สมัยเป็นรถนำเข้า คันละเกือบ 2 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ Drop ราคาคงมาอยู่ในกลุ่มระดับ C-Segment ซึ่งทำให้หลายคนสามารถจับต้อง เป็นเจ้าของกันง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเองเราสามารถเห็นได้บนท้องถนนเป็นจำนวนมากในทุกวันนี้ พร้อมกับการตกแต่งตามแต่สไตล์ของตนเอง

ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว หากไม่ได้ดีไซน์ รูปลักษณ์หน้าตา กันแล้ว ในเรื่องสมรรถนะ ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับพอใช้ตามที่คาดหวังไว้ แต่ยังไม่ถึงขั้นประทับใจนัก และภายในห้องโดยสารที่ยังดูการออกแบบช่องวางของที่ยังไม่ลงตัวนัก ซึ่งหากเทียบกับราคาค่าตัวเมื่อเทียบกับการเป็นรถในกลุ่ม B-SUV แล้วล่ะก็ ถือว่าราคาก็ไม่ได้ถูกสักเท่าใด หากมองว่ามันเป็นรถในกลุ่ม B-Segment ที่ราคา 8 แสนกว่าบาท (ถ้าไม่ไปเทียบกับราคาของผู้นำเข้า)

เอาเป็นว่า Nissan Motors ประเทศไทย ได้ช่วยสานฝันใครหลายๆ คน ที่อยากได้ Nissan Juke ตั้งแต่เมื่อราว 3 ปีก่อน ให้ถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น กับสมรรถนะในการขับขี่ที่ถือว่าทำได้ดีพอใช้ตามคุณภาพและราคา