Vespa Primavera รถเวสป้าที่เคยโดดเด่น ในยุค 60’ ถือกำเนิดขึ้นในปี 1968 ท่ามกลางกระแสการเรียกร้องเสรีภาพของวัยรุ่นในยุคนั้น และ Primavera เองก็เป็นที่นิยมมากในยุคนั้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นรถที่มีความปราดเปรียวขนาดเล็กกระทัดรัด และแล้ว Vespa Primavera ใหม่ก็ได้กลับมาเรียกกระแสอีกครั้ง โดยในประเทศไทยได้ถูกนำกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง ในวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทาง Vespiario ประเทศไทย ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดแคมเปญการตลาด More than just a ride พร้อมเปิดตัวเจ้า Primavera ใหม่ รถ Vespa ร่วมสมัยภายในงานด้วย
Vespa Primavera ใหม่ มากับรูปลักษณ์ ที่ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัวในรูปแบบรถ Scooter สมัยใหม่ ซึ่งได้แรงบรรดาลใจมาจากรุ่น 946 และความ Classic ในรูปลักษณ์ของ Vespa ในยุคอดีต จากบริเวณด้านหน้ารถและแผงคอ Primavera เป็นรถที่มีโครงเล็ก มีเฟรมที่ดูเพรียวบาง ทำให้ดูปราดเปรียวกว่ารุ่น LX, LXV, GTS
Primavera ใช้ไฟหน้าแบบ LED แผงหน้าปัดแสดงความเร็วเป็นแบบเข็มซึ่งคงความอนุรักษ์นิยมไว้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลด้านล่างแบบ LCD ไฟสีฟ้า ช่วยคงไว้ซึ่งความดั้งเดิม แต่แอบแฝงความทันสมัย ซึ่งแสดงผลบอกเวลา สเกลน้ำมัน และระยะทาง
สำหรับทรวดทรงสรีระนั้น Primavera มีความสูงเบาะที่ 780มม. ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถรูปแบบ Scooter ด้วยกัน และอาจดูเป็นอุปสรรคเล็กน้อย หากผู้ขี่มีส่วนสูงที่น้อยกว่า 170ซม. และมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 120 กก.
สำหรับภายใต้เบาะที่กว้างนั่งสบายนี้ เมื่อเปิดมาจะพบช่องเก็บของ U-Box ขนาดใหญ่ เอาไว้ให้เก็บของซึ่งสามารถที่จะเก็บหมวกกันน๊อคแบบครึ่งใบลงไปได้
Vespa Primavera มากับ สีสันที่มีให้เลือกมากถึง 6 สี โดยในรุ่นเครื่องยนต์ 125cc มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ขาวเบาะดำ Montebianco, ดำเบาะเทา Nero Vulcano และ แดงเบาะเทา Rosso Dragon ในขณะที่รุ่น 150cc มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ ขาวเบาะแดง Montebianco, ดำเบาะแดง Nero Vulcano, น้ำตาลเบาะสีเบจ Marrone Crete Senesi, ฟ้าเบาะสีเบจ Azzure Marechiaro, น้ำเงินเบาะสีเบจ Blu Midnight
ระบบขับเคลื่อน Vespa Primavera 150 ใช้เครื่องยนต์ 1 สูบ แบบ 3 วาล์ว ปริมาตรความจุ 154.8cc ให้กำลัง 12 แรงม้า (7.8kW) @7,500rpm และแรงบิด 12 Nm@5,000rpm ถ่ายกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมิต CVT
ทันทีที่ติดเครื่องยนต์ พร้อมบิดออกตัว ในจังหวะแรก จะรู้สึกตัวรถพุ่งออกตัวดี จากอัตราเร่งที่ดูจะไม่ต้องรอรอบในสไตล์รูปแบบรถ AT แต่เมื่อความเร็วในย่านกลางๆ ขึ้นไปอย่างช่วงเร่งแซง 60 กม./ชม. ไปนั้น อาจพบว่าความหวือหวาดจี๊ดจ๊าด แบบตีนต้นนั้นลดน้อยลงไป ซึ่งการเร่งแซงในช่วงนี้นั้นต้องระวังให้ดี เพราะ อาจเหนื่อยกับการเค้นกำลังเครื่องเพื่อแซง ซึ่งทางที่ดี ไม่ควรแซงหากมีรถไล่เข้ามาที่ความเร็วไล่ๆ กัน สำหรับ Top Speed เราได้ตัวเลข 113 กม./ชม. ลงทางชัน (110 กม./ชม. ทางราบ)
แม้เครื่องยนต์รุ่นนี้จะได้ปรับปรุงลดการสั่นสะเทือนไปบ้างแล้ง เมื่อต้องจอดติดไฟแดงนานๆ การดับเครื่องถือเป็นสิ่งที่ดีนอกจากจะช่วยลดมลพิษแล้ว ยังช่วยให้ไม่ต้องรำคาญจากอาการสั่นของเครื่องที่ยังพอมีอยู่ เนื่องด้วยเครื่องยนต์แบบ 3 วาล์ว นี้จะมีเอกลักษณ์จากสไตล์รอบเดินเบาที่สั่นนั่นเอง และนอกจากนั้นหากขี่ไปนานๆ ที่รอบเครื่องที่สูง เราจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ช่วงบริเวณส้นเท้าซ้าย เนื่องจากตำแหน่งของเครื่องที่วางอยู่ด้านหลังแพร่ผ่าน ไอร้อนออกมาให้รับรู้กันบ้าง
ด้านระบบกันสะเทือนและการควบคุม ด้านหน้าใช้โช้คอัพไฮโดรลิกแขนเดี่ยว ด้านหลังใช้โช้คอัพเดี่ยวรับได้ 4 ระดับ สำหรับล้อขนาด 11” ถูกหุ้มด้วยยาง Tubeless ไซส์ 110 หน้า / 120 หลัง
ในการขับขี่เจ้า Primavera นี้ จะพบว่าช่วงล่างนั้นไม่ได้มีระยะยุบตัวมากนัก ขณะที่ขับขี่ผ่านลูกระนาด หรือ ทางหรุหระ จึงอาจดูเด้งปุปปัป ไปนิด แต่การดูดซับแรงกระเทือนนั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างดี และในการขับขี่ที่ความเร็วระดับ ไม่เกิน 80 กม./ชม. ยังพอให้ความเชื่อมั่นได้ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้ว อาจต้องใส่ใจในการประคับประคองแฮนด์ให้มากขึ้น เนื่องจากแฮนด์จะเริ่มมีอาการสะทกสะท้านขึ้นมาให้สัมผัส แต่ทางด้านหลังยังพบว่าการยึดเกาะยังทำได้ดี
ระบบเบรก หน้าแบบจานดิสก์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 200มม. และ หลังดรัมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 140มม.
ด้วยความที่ผู้เขียนไม่ได้ขี่รถ Vespa มาเป็นระยะเวลานานมาก และช่วงหลังๆนี้แทบจะไม่ได้ขี่รถที่ใช้เบรกแบบดรัมเลย ทำให้ฟีลลิ่งในการเบรกช่วงแรกๆ อาจดูตระกุกตระกักไปบ้าง ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า ผู้ที่เคยขี่เวสป้า ในยุคสมัยก่อน น่าจะเคยชินกับฟีลลิ่งเบรก เช่นนี้ นั่น คือ ความรู้สึกที่ดูทื่อๆ ไม่ค่อยสัมผัสได้ถึงแรงเบรก กับเบรกหลังแบบดรัม ซึ่งดูจะไม่มีระยะในการกดก้านเบรกเสียเลย แต่เบรกหลังทาง ฝั่งซ้ายนี้แหละ ที่ถือเป็นเบรกหลักในการหยุดรถ
ในช่วงแรกที่ไม่ชิน เนื่องจากการเบรกของรถอื่นๆ ทั่วไป จะใช้เบรกหน้า (ขวา) เป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้จังหวะที่ต้องการลดความเร็วลง อาจทำได้ไม่ตามสั่งนัก ซึ่งพอกลับมาใช้เบรกหลัง (ซ้าย) ซึ่งเบรกเพียงเล็กน้อยก็ดูจะจิกและชะลอความเร็วลงได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อใช้ไปสักครู่ ก็เริ่มชินมือกันไปเอง
ซึ่งในการใช้งานนั้น การชะลอความเร็วเพียงเล็กน้อยนั้นให้ใช้เบรกขวา(หน้า) ซึ่งระบบเบรกแบบดิสก์ทำงานได้อย่างแม่นยำดีแต่ยังถือว่าไม่ใช่เบรกหลัก แต่ถ้าต้องการหยุดรถ หรือหน่วงความเร็วที่ความเร็วสูงลง ให้ใช้ในการแตะเบรกซ้าย (หน้า) จิกตอบสนองดี
สรุป Vespa Primavera 150 รถ Scooter แบบ AT สมัยใหม่ ที่ผสานความลงตัวกับรถในยุค 60’ ให้มีสไตล์ที่โดดเด่น สะกดหลากหลายสายตา ที่คุณแล่นผ่านไปบนถนน และที่สำคัญด้วยสีตัวถังที่โดดเด่น เช่นสีฟ้า Azurro Marechiaro คันนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้สะดุดตามากขึ้นไปอีก สำหรับผู้เขียนแล้ว Primavera ถือว่าเป็นรถ Vespa แบบ Scooter ที่ดีไซน์ออกมาได้ลงตัวและสวยกว่ารุ่น LX และ GTS (ยกเว้นรุ่น 946) ที่อาจจะดูโค้งมน และอวบอ้วนไปสักนิด เพราะมันมีตัวถังที่ดูเฉียบบางกว่า ในด้านการขับขี่นั้น การควบคุมและระบบกันสะเทือนดีขึ้นเล็กน้อย แต่ในด้านของกำลังเครื่องนั้น อาจไม่ได้แรงแบบทันใจนัก แต่ในการออกตัวตีนต้น ต้องถือได้ว่าไม่น้อยหน้ารถ AT คันใด แต่ก็ต้องแลกด้วยเงิน อีก 20,500 บาท ที่แพงกว่าในรุ่น 125cc ซึ่งนั่นอาจเป็นอีกเรื่องที่คุณต้องคิด หากตัดสินใจจะซื้อเจ้า Primavera นี้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าเน้นหล่อๆ ขี่ชิลๆ ประหยัดๆ อาจคบหาตัว 125cc ก็น่าจะเพียงพอ
ขอขอบคุณ Vespiario ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Vespa Primavera 150 สีฟ้า Azurro Marechiaro ราคา 115,900 บาท
ภณ เพียรนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
ความคิดเห็น