หลังจากที่ Mazda ได้เปิดตัวเทคโนโลยี Skyactiv ใหม่ในรถยนต์รุ่นแรก กับ CX-5 เมื่อปีที่แล้ว และตามมาด้วย Mazda3 ใหม่ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่าน ได้ช่วย Mazda กวาดยอดขายรถในกลุ่ม C-Segment และรถ SUV ได้อย่างท่วมท้น จากกระแสตอบรับของคนไทย ที่มีต่อรถยนต์เทคโนโลยีใหม่ระดับโลก ซึ่ง CX-5 ที่สามารถการันตีทั้งรางวัล Japan Car of the year ในปี 2012-2013 และรางวัล Car of The Year 2014 ในกลุ่ม SUV เครื่องยนต์ดีเซลไม่เกิน 2.5 ลิตร ขณะที่ Mazda3 ใหม่ การันตีด้วย 1 ใน 3 WORLD CAR OF THE YEAR 2014 และ WORLD CAR DESIGN OF THE YEAR 2014
เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ รวมถึงการสร้างการตอกย้ำภาพลักษณ์ ทั้งแรง และประหยัด กับเทคโนโลยี Skyactiv ทาง Mazda เซลล์ ประเทศไทย จึงได้จัดทริปทดสอบรถครั้งนี้ขึ้น ซึ่งเป็นการแข่งขันขับประหยัด พร้อมการขับทดสอบแบบ Gymkhana
ในช่วงแรกกับการขับขี่แบบประหยัด โดยจะแบ่งทีมออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน ต่อรถ 1 คัน ซึ่งใช้วิธีจับฉลากเลือกรถ 4 แบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- Mazda3 Hatchback 3 คัน หมายเลข 1-3
- Mazda3 Sedan 4 คัน หมายเลข 4-7
- Mazda CX-5 2.0 จำนวน 3 คัน หมายเลข 8-10
- Mazda CX-5 Diesel 2.2 จำนวน 5 คัน หมายเลข 11-15
โดยผู้ที่เข้าร่วมทีม 1 ท่าน จะต้องไปนั่งรถของผู้เข้าแข่งท่าน อื่น
พร้อมทั้งใช้ความเร็วเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 60 กม./ชม. กับระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 156 กม. และเวลาตลอดการเดินทางประมาณ 2 ชม. 40 นาที
นอกจากนั้นยังมีกฏเกณฑ์ อื่นๆ อาทิ ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ และห้ามเปิดกระจกด้านข้าง และพับกระจกมองข้าง และต้องเปิดไฟหน้าตลอดการแข่งขัน
สำหรับลงยางที่ใช้ Mazda3 (34/33) หน้า/หลัง และ CX-5 (36/36) หน้า/หลัง
น้ำมันที่ใช้เติมเป็น E10 แก๊สโซฮอล์ 95 และดีเซล (ปตท.) การเติมน้ำมันเต็มถัง ให้เติมถึงหัวจ่ายตัด ปล่อยไว้ 30 วินาที แล้วค่อยเติมติดต่อกันเป็นเวลา 1 นาที โดยเขย่ารถตลอดเวลา ขณะเติม 1 นาทีนี้
การขับ Eco Run นี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเริ่มต้น ตั้งแต่สถานีน้ำมัน ปตท. ชัยบาดาล สิ้นสุดที่ ร้านไก่ย่างนิวบัวตอง (วิเชียรบุรี) ระยะทางรวม 56.5 กม. กำหนดเวลา 56 นาที
หลังจากนั้นในช่วงที่ 2 ได้เปลี่ยนมือขับออกจากร้านอาหาร ไปสิ้นสุดที่สถานีน้ำมัน ปตท. เพชรบูรณ์ ระยะทางรวม 92.2 กม. กำหนดเวลา 90 นาที เมื่อถึงปั๊มแล้ว จึงเติมน้ำมันเต็มถังเพื่อวัดปริมาณน้ำมันที่ใช้
หัวใจสำคัญของการขับประหยัดนี้นอกจากจะต้องเติมน้ำมันออกมาน้อยที่สุดแล้ว การบริหารเวลาก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ขับขี่จะต้องบริหาร คำนวณความเร็วที่ต้องใช้เพื่อให้มาถึงที่หมายภายในเวลาที่กำหนดให้ได้ใกล้เคียงที่สุด แต่ก็ต้องเผื่อเวลาหากติดไฟแดง หรือ ติดรถช้าด้วย
การแข่งขันแบบ Eco Run นี้บรรดาผู้แข่งทั้งหลายทีม ต่างงัดเทคนิคของแต่ละบุคคลมาใช้กันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การดับเครื่องยนต์ขณะติดไฟแดง, การเข้าเกียร์ N ขณะขึ้น-ลง ทางชัน, การขับตามท้ายรถใหญ่ เพื่อให้ได้ Aerodynamics เทคนิคทั้งหลายนี้ อาจมีส่วนช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่ความสำคัญ อยู่ที่ความเนียนของการเดินคันเร่ง เพื่อรักษาความเร็วให้คงที่ และการใช้รอบเครื่องยนต์ที่ต่ำที่สุด
ผลการแข่งขันผู้ที่ชนะเลิศ ในแต่ละรุ่น ได้อัตราสิ้นเปลืองดังนี้
- Mazda3 Hatchback 27.8 กม./ลิตร
- Mazda3 Sedan 26.32 กม./ลิตร
- Mazda CX-5 2.0 18.33 กม./ลิตร
- Mazda CX-5 Diesel 2.2 23.4 กม./ลิตร
หมายเหตุ ทีมของผู้เขียนจับฉลากได้รถ Mazda3 Sedan หมายเลข 4 รุ่น 2.0S ใช้ล้อแม็กขนาด 18” ผู้เขียนได้ขับในช่วงที่ 2 ระยะทาง 92.2 กม. ขับเน้นใกล้เคียงการใช้งานจริงมากที่สุด เปิดแอร์ 25 องศา พัดลมแอร์เบอร์ 2 ขับออกตัวไม่เกิน 2,000rpm ใช้เกียร์สูงที่สุดที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,700-1,800rpm รักษาคันเร่งให้คงที่ความเร็ว 80 กม./ชม. บางจังหวะที่แซงรถช้าความเร็วขึ้นไปประมาณ 90 กม./ชม. และมาถึงเป็นคันแรกทั้ง 2 ช่วงการแข่ง ได้อัตราสิ้นเปลืองที่ราว 22 กม./ลิตร
หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันในส่วนของ Eco Run กันไปเรียบร้อย ก็ได้เคลื่อนย้ายขบวนออกจากปั๊ม ปตท. เพชรบูรณ์ย้อนกลับมา ที่ลานจอดรถ ไทวัสดุ ซึ่งได้ถูกเซ็ตให้กลายเป็น สนามขับทดสอบสมรรถนะของเทคโนโลยี Skyactiv Body และ Skyactiv Chassis แบบ Gymkhana โดยสมาชิกในกลุ่ม จะต้องเลือกตัวแทนออกมา 2 คน เพื่อขับรถ Mazda CX-5 2.5 และ Mazda3 Hatchback
ซึ่งเงื่อนไขการแข่งขันเป็นแบบ Bracket จับเวลาให้ใกล้เคียง ตัวเลขที่ตั้งไว้คือ 30 วินาที ผู้ที่ขับเข้าก่อนเวลาและ หลังเวลาที่กำหนด จะต้องถูกตัดคะแนนออกตามเวลาที่ห่างจากเป้าไป ซึ่งหากขับชน pylon จะถูกบวกเวลา อีก pylon ละ 2 วินาที
ในการขับทดสอบสมรรถนะแบบ Gymkhana นี้ ผู้ที่ได้รถ Mazda3 จะได้เปรียบกว่า CX-5 เนื่องจากรถที่มีขนาดเล็กกว่า เตี้ยกว่า วงเลี้ยวแคบ คล่องตัวสูงกว่า ทำให้การควบคุมรถโดยรวมง่ายกว่า และที่สำคัญแรงบิดไม่ทะลักจนล้น เหมือนกับ CX-5 2.5 ที่เติมคันเร่งมากไป กำลังมามากเกิน ทำให้การโยน Slalom นั้นควบคุมได้ยากยิ่งกว่า
ดังนั้นผู้ที่ขับ Mazda3 อาจจะไม่ต้องขับเครียดกับเวลาจนเกินไปนัก เวลาก็จะออกมาได้ดีกว่า CX-5 2.5 หรือใกล้เคียง 30 วินาที ได้ง่ายกว่านั่นเอง
สำหรับในช่วงการขับแบบ Free Run ทางเราได้ขับรถ Mazda3 Sedan ในวันแรก และ Mazda CX-5 2.0 ในวันที่สอง ซึ่งรถทั้ง 2 รุ่นนี้ ให้ฟีลลิ่งการขับขี่ที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากใช้เครื่องยนต์ และเกียร์ลูกเดียวกัน แต่มีการปรับใช้อัตราทดเฟืองท้ายที่ต่างกันเพียงเท่านั้น ทำให้บุคลลิก การขับขี่ดูคล้ายคลึงกัน อาจต่างกันบ้างในบางจุด ได่แก่ ระยะของแป้นเบรกที่ CX-5 จะเซ็ตออกมาตื้นกว่า Mazda3 รวมถึงความแรงของรถ ที่อาจดูไม่จี๊ดจ๊าดเท่า Mazda3 ในช่วงเร่งแซง หรือออกตัว เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากกว่าราว 200 กก. และบอดี้รถที่สูงต้านลมมากกว่า แต่ในการใช้งานจริง รถทั้ง 2 รุ่นสามารถขับเดินทางไกลที่ใช้ความเร็ว หรือจะขึ้นเขาที่มีทางลาดชัน กำลังของเครื่องยนต์นั้น ก็เพียงพอต่อการลุยเส้นทางเหล่านั้น แถมด้วยระบบ Hill Launch Assist ซึ่งมีมาให้ในทุกรุ่นของ Mazda CX-5 ช่วยให้รถไม่ไหลขณะออกตัวบนทางชันอีกด้วย
เมื่อเจอกับทางโค้ง จะถือเป็นเรื่องสนุกทุกครั้งไป ไม่ว่าจะควบรถ Mazda3 หรือ CX-5 ก็สามารถที่จะบังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้าโค้ง ให้เนียนด้วยความเร็ว โดยที่ไม่มีอาการของตัวรถโคลงเคลงออกมาให้เห็น ซึ่งบอกได้เลยว่า นี่คือ อีกหนึ่งจุดเด่นของรถ Skyactiv ที่เหนือกว่าคู่แข่ง แม้อาจต้องแลกด้วยกับความแข็งตึงตังไปบ้างในบางจังหวะก็ตาม
ในทริปการขับขี่นี้ เราได้เจอกับพื้นถนนที่เปียก และฝนตกตลอดทั้ง 2 วัน แต่ผู้ขับทั้งหลายก็ยังให้ความอุ่นใจได้ จากระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS และ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC ที่มีให้ในทุกรุ่นย่อย
กล่าวโดยสรุป Mazda ตระกูล Skyactiv ใหม่นี้ ถือเป็นรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ และให้ความโดดเด่นกว่าเพื่อนในระดับเดียวกัน ทั้งจากตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ทางกลุ่มสื่อมวลชนได้พิสูจน์ ซึ่งทำออกมาได้ดีเทียบเท่า (หรือมากกว่า) รถ Hybrid ใน Class เดียวกัน นอกจากประหยัดแล้ว ด้านความแรงนั้น ก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวแม้อาจไม่ได้แรงที่สุดในพิกัดเดียวกัน แต่ต้องถือว่าอยู่ลำดับหัวแถว นอกจากนั้นจุดเด่นที่ยังคงความยอดเยี่ยมของ Mazda เอาไว้ก็คือ เรื่องของการควบคุมตัวรถ ที่ทำได้อย่างแม่นยำ และการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม แม้จะต้องแลกกับข้อด้อยที่อาจจะนั่งไม่สบายนักจากช่วงล่าง และพื้นที่ของเบาะโดยสารที่อาจแคบไปหน่อย แต่ด้วยข้อดีที่ล้นหลาม นั่งจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จทั้งยอดขาย และการันตีรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมในหลากสาขา ของ Skyactiv ได้เป็นอย่างดี เอาเป็นว่าสำหรับหลายคนที่ไม่เคยสัมผัสกับเทคโนโลยี Skyactiv และติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของ Mazda ให้ลืมภาพที่เป็นรถกินน้ำมันเทคโนโลยีเก่าๆ ออกไปซะ! และลองไปสัมผัสด้วยตัวคุณเองกับเทคโนโลยีที่คว้ารางวัลระดับโลกนี้
ขอขอบคุณ Mazda Sales ประเทศไทย สำหรับทริปทดสอบ Mazda Skyactiv Family ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
พบรถ Mazda มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น