บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ได้จัดกิจกรรม “Bentley Driving Experience 2014” กิจกรรมการทดสอบรถยนต์หรู สัญชาติอังกฤษ Bentley The New Continental GT V8 S and GT V8 S Convertible ทั้งโฉมคูเป้และเปิดประทุน ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2014 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งทางเราได้รับเกียรติเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วย
ดีไซน์ภายนอก Bentley New Continental ยังคงการดีไซน์ที่มอบความหรูหราตามแบบฉบับของรถ 4 ที่นั่ง Coupe Gran Tourer ตระกูล Continental โดยมีโลโก้ V8 S อยู่ที่แก้มด้านข้างตัวรถ บ่งบอกรหัสความแรงเป็นอย่างดี ในตัว GT Coupe จะเป็นบอดี้หลังคาแข็ง และ GTC นั้นจะเป็นหลังคาแบบผ้าใบสามารถเปิดประทุนได้ด้วยกลไกไฟฟ้า ซึ่งส่งผลให้มันมีน้ำหนักตัวที่มากกว่า รุ่น Coupe อีก 175 กก. (2295กก. รุ่น Coupe และ 2,470กก. รุ่น Convertible)
สำหรับทั้ง 2 คันที่ใช้ทดสอบนี้ รุ่น GT Convertible คือ คันสีแดง St. James' Red (Pearlescent) และตัว GT Coupe คือ คันสีฟ้า Kingfisher
ทั้งคู่ใช้ล้ออัลลอยแบบ 7 ก้าน Black Limited Edition ขนาด 21” ซึ่งเป็นออปชั่นเสริม สวมยาง Pirelli P Zero ขนาด 275/35/21 สำหรับรุ่น Convertible จะเสริมความโดดเด่นด้วยการใช้คาลิปเปอร์เบรก เป็นสีแดง
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งหรูหราทันสมัยตามแบบฉบับของ Bentley โดยภายในของรุ่น Coupe นี้จะเป็นสีหนังดำ เดินด้ายสีฟ้า และ ในรุ่น Convertible ภายในเป็นสีทูโทน ดำ-แดง ซึ่งทั้งคู่ ตกแต่งเติมความสปอร์ตด้วย Trim คาร์บอนไฟเบอร์
ด้านขุมพลังของ The New Continental GT V8 S and GT V8 S Convertible นี้ใช้เครื่องยนต์ ขนาด 4 ลิตร twin-turbo V8 ให้พละกำลังสูงสุดที่ 521 แรงม้า (528 PS@6,000rpm ให้แรงบิดสูงสุดที่ 680 Nm@1,700rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ลงสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่กระจายแรงบิด 40:60 หน้า:หลัง
GT V8 S coupe มีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 309 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วน GTC V8 S มีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การทดสอบขับในลานอเนกประสงค์ ราบ 11 ได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็น Track ทดสอบอย่างง่าย โดยให้ขับรุ่นละ 2 รอบด้วยกัน เส้นทางการทดสอบเริ่มต้นด้วยการออกตัวทดสอบอัตราเร่งทางยาว
ทันทีที่กระแทกคันเร่งลงมิดจะพบช่วง Lag ของเทอร์โบ เพียงสั้นๆ หลังจากนั้นแรงบิดที่มีมาแบบ Flat Torque ที่ลากยาวตั้งแต่ประมาณช่วง ก่อน 2,000rpm ก็จะส่งแรง G-Force ให้เราสัมผัสดึงหลังติดเบาะกันถ้วนหน้า ลากยาวไปจนถึงรอบเครื่องประมาณ 6,500rpm ก่อนที่จะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ ซึ่งในทางตรงที่เราได้ทดสอบนี้ สามารถขึ้นได้ถึงเกียร์ 4 กับความเร็วที่ระดับประมาณ 130 กม./ชม. จุดสังเกตุของทั้ง 2 คันนี้ ที่รู้สึกได้ คือ รุ่น Coupe ดูจะมีอัตราเร่งที่ดีกว่ากว่า เนื่องจากบอดี้ตัวถังที่ดูเบากว่า จึงอาจทำให้มีอัตราเร่งที่ดีกว่าอยู่เพียงเล็กน้อย
หลังจากสิ้นสุดทางตรง ที่ซัดมาด้วยความเร็วจะต้องลงเบรกอย่างหนัก ตรงตำแหน่ง Pylon ที่วางนอนไว้เพื่อเป็นสัญญาณให้เบรก และ U-turn รถ
ในด้านการตอบสนองของเบรกนั้น พบว่า มันเซ็ตออกมาเน้นให้ตอบสนองแบบนุ่มนวล จึงเซ็ตตำแหน่งแป้นเบรกที่ต้องลงน้ำหนักเท้าค่อนข้างลึกถึง แม้เบรกหน้าจะเป็นคาลิปเปอร์แบบ 8 pot และจานโตถึง 420มม. หากลงเบรกในช่วงที่ขับมาด้วยอัตราเร่งนั้น อาจต้องระมัดระวัง เผื่อระยะสักเล็กน้อย ด้วยน้ำหนักตัวรถราว 2 ตัน และการเซ็ตเบรกแบบขับขี่สบาย จึงไม่เหมือนเบรกของพวกรถที่เน้นเป็นหลักสปอร์ต ที่แตะแป้นเบรกเพียงตื้นๆ ก็เบรกได้อย่างหน้าจิกหัวทิ่มกันแล้ว
หลังจากที่ลงน้ำหนักเบรก และต้องหักวงเลี้ยวซ้ายเพื่อ U-Turn ระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยแบบผ่อนแรงไฟฟ้านั้น พบว่าในรุ่น Coupe น้ำหนักพวงมาลัยจะเบากว่า นั่นจึงทำให้ในช่วง U-Turn นี้รุ่น Convertible จะมีน้ำหนักพวงมาลัยที่หนักแน่นมือมากกว่า แต่การตอบสนองนั้นคล้ายกัน คือผ่อนแรงเบามือ ตอบสนองได้ว่องไวในระดับหนึ่ง ให้ความรู้สึกอาการหนืดหน่วงมือเพียงเล็กๆ ในแบบฉบับของพวงมาลัยไฟฟ้า แต่จะดูมีชีวิตชีวาในการควบคุมที่ดีเป็นมิตร ความไวของพวงมาลัยยังไม่ได้รู้สึกไวจนเกินไป เหมือนพวกรถสปอร์ตจ๋าทั้งหลายที่อาจจะต้องระมัดระวังในการสาววงเลี้ยวให้ดี ซึ่งอาการของพวงมาลัยแบบนี้ คล้ายกับพวกรถซีดานขนาดกลางที่เน้นความสะดวกสบายในการควบคุมรถ แต่ก็สามารถควบคุมรถได้อย่างดีเยี่ยมไปด้วยกัน
เมื่อ U-Turn ผ่านพ้นมา กับเข้าสู่ Track ในช่องที่ Pylon ตั้งไว้ ซัดตรงต่อมาอีกนิด จะพบกับโค้ง Zig-Zag ขวา-ซ้าย (Chicane) ซี่งมีขนาดช่องที่กว้าง ไม่แคบมาก ซึ่งแตะเบรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถที่จะหักวงเลี้ยวหลบหลีก ออกไปได้อย่างง่ายดาย แล้วจึงซัดทางตรงต่ออีกช่วงสั้นๆ ซึ่งในช่วงนี้ เราสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของโหมด D และ โหมด S อยู่อีกเล็กน้อย นั่นก็คือ รอบที่เราขับในโหมด D การตอบสนองในการเติมคันเร่งต่อ ดูจะช้ากว่าเพียงเสี้ยววินาที และในช่วงที่เราไม่ได้กดคันเร่งเต็มเท้า รอบเครื่องจะลากไปได้ไม่สูงนัก ในขณะที่โหมด S จะช่วย Hold รอบเครื่องให้เราลากได้ต่อจนไปชน Redline หลังจากสิ้นสุดทางตรงสั้นๆ นี้ ก็เตรียมตัวเบรกและ U-Turn ซ้ายอีกครั้งเป็นอันครบรอบ Track อย่างง่ายนี้
อีกจุดสังเกตุหนึ่งนั้นคือ ช่วงล่างของ Continental GT Coupe และ GTC นี้ น่าจะปรับเซ็ตต่างกัน ให้ตัว GTC ดูสปอร์ตมากขึ้น เพราะ ช่วงล่างของ GTC จะดูแข็งและแน่นกว่าในช่วง U-Turn เนื่องจาก ตัว Coupe นั้น ดูจะนิ่ม และตัวถังรถมีการโยนตัวออกมาให้เห็นมากกว่า
สรุปสั้นๆ Bentley The New Continental GT V8 S and GT V8 S Convertible รถสปอร์ตคูเป้ และ เปิดประทุน หรูหรามีระดับ สำหรับบรรดาเศรษฐี ผู้ต้องการความมีระดับจากดีไซน์ของตัวรถ และความสุนทรีย์ในการขับขี่โดยสาร พร้อมเบาะ 4 ที่นั่ง แม้เบาะหลังอาจจะแคบไปสักนิด แต่ก็เพียงพอที่จะพาลูกๆ นั่งไปด้วยได้นั่นจึงทำให้ New Continental GT นี้ จะแตกต่างจากรถสปอร์ตหรูทั้งหลาย ที่อาจจะนั่งได้ไม่สะดวกสบาย และเน้นการขับขี่ที่ตอบสนองในรูปแบบสปอร์ตเต็มขั้น
แต่สำหรับ New Continental V8 S นี้ ในด้านพละกำลัง เรียกได้ว่าไม่เป็นรองใคร แต่คุณสามารถขับขี่ควบคุมรถได้อย่างง่าย พร้อมให้คุณขับขี่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ที่ไม่จำเป็นต้องเอาไปซัดแรงใน Track หรือเส้นทางที่ต้องขับขี่ด้วยความรวดเร็วเพียงอย่างเดียว
Bentley New Continental GT V8 S ราคา 20.99 ล้านบาท
Bentley New Continental GTC V8 S ราคา 22.6 ล้านบาท
ขอขอบคุณ AAS Auto Service สำหรับกิจกรรมการทดสอบในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ข้อเสนอสุดพิเศษเมื่อซื้อรถยนต์เบนท์ลี่ย์จากเอเอเอสฯ ภายในงาน
• รับดอกเบี้ย 0 % นาน 3 ปี
• รับทันทีประกันจากโรงงานเบนท์ลี่ย์ประเทศอังกฤษนาน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
• พร้อมทั้งรับการบริการดูแลและบำรุงรักษารถยนต์เบนท์ลี่ย์จากผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม ตลอด 5 ปี (5 Years Free Service Package)
พบ Bentley มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น