เมื่อปลายปี 2013 ที่งาน Motor Expo ค่ายรถ Suzuki ได้เปิดตัวรถ Concept A: Wind (สายลม) ที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก (World Premiere) ซึ่งได้ถูกพัฒนามาเป็นรถยนต์ Eco Car คันที่ 2 ของค่าย อย่าง Suzuki Celerio (สายน้ำ ในภาษาสเปน) โดยได้เปิดตัวที่ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ 2 ของโลก ต่อจากอินเดีย ในช่วงปลายเดือน พค. ที่ผ่านมา ซึ่งได้ชูจุดขาย โดยถือเป็นรถยนต์ Eco Car บ้านเราที่มีราคาเริ่มต้นถูกที่สุด และมากับราคาผ่อนเริ่มต้นเพียง 2,222 บาทเท่านั้น จับกลุ่มลูกค้า นักศึกษา และผู้เริ่มต้นทำงาน
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Suzuki Motors ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตหลักที่สำคัญของ Suzuki Celerio นี้ ก็ได้ฉลองความสำเร็จ ส่งรถ Celerio ไปยังประเทศในแถบยุโรป อีกด้วย เอาล่ะต้องมาดูกันซะหน่อยแล้ว ว่าเจ้ารถ A-Segment คุณภาพส่งออกระดับโลกคันนี้ มีดีอย่างไร
Suzuki Celerio นั้นถือเป็นรถยนต์ Eco Car ที่มีขนาดตัวเล็กที่สุดในบ้านเรา โดยมีมิติ กว้างxยาวxสูงxระยะฐานล้อ มม. = 1,600×3,600×1,540×2,425 มม. (มีส่วนสูงสูงที่สุดในกลุ่ม) มีน้ำหนักอยู่ที่ 835 กก. ในรุ่นท๊อป GLX คันนี้ เมื่อดูจากมิติแล้ว มันถือเป็นรถที่เล็กกระทัดรัด คล่องตัวเป็นอย่างยิ่ง เหมาะสมกับการใช้งานในเมือง ซึ่งได้อาณิสงค์จาก ระยะ Hangover ที่สั้น ทั้งหน้า-ท้าย รวมถึงการมีระยะฐานล้อที่แคบ แถมด้วยส่วนสูงที่สูงกว่าเพื่อนช่วยเพิ่มพื้นที่ Headroom ช่วยให้ผู้ที่มีส่วนสูงนั่งได้ไม่อึดอัด
เป็นที่น่าเสียดายที่ Celerio เวอร์ชั่นขายบ้านเราจะไม่มีไฟตัดหมอกมาให้ แม้แต่รุ่นท๊อปคันนี้ก็ตาม นอกจากนั้นรูปลักษณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ต้องเรียกได้ว่าถอดแบบมาจาก A: Wind มาเลย และอีกหนึ่งจุดขายของ Celerio ก็คือ การมีสีให้เลือกมากถึง 8 สี ได้แก่
1. เหลือง Sunshine Yellow Pearl Metallic (ZQF)
2. น้ำเงิน Cerulean Blue Pearl Metallic (ZQE)
3. ชมพู Raspberry Pink Pearl Metallic (ZQG)
4. แดง Ablaze Red Pearl (ZTW)
5. ขาว Snow White Pearl (ZTR)
6. เงิน Star Silver Metallic (ZTS)
7. เทา Mineral Gray Metallic (ZTU)
8. ดำ Super Black Pearl (ZTT)
เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยสาร ด้วยกุญแจ Immobilizer ที่มีระบบ Safety คือ กดครั้งแรกจะปลดเฉพาะฝั่งผู้ขับ ต้องกดอีกทีจึงจะปลดล๊อกทุกบาน
ภายในห้องโดยสารใช้วัสดุผ้า และตกแต่งโทนสีดำ ตัวเบาะคู่หน้าดูแบนๆ ไปสักหน่อย นั่งแล้วไม่กระชับนัก ที่คอนโซลกลางประกอบไปด้วยเครื่องปรับอากาศแบบ Manual และเครื่องเสียงที่รองรับ CD และ USB และจะมีช่องไว้สำหรับวางของตรงบริเวณด้านบนหัวเกียร์ซึ่งจะมีช่องสำหรับชาร์จไฟให้ด้วย ที่ตำแหน่งต่ำลงมาตรงบริเวณที่จับเบรกมือ ซึ่งดูจะอยู่ต่ำเกินไปสักหน่อยมีช่องวางแก้ว 3 ช่อง 2 ช่องหน้า และ 1 ช่องหลัง ถัดมาที่พวงมาลัยพอลียูรีเทนสีดำ รูปทรงเดียวกับ Swift ไม่มีปุ่มใดๆ บนพวงมาลัยแม้ในรุ่นท๊อปคันนี้ ทางแผงประตูคนขับจะพบปุ่มปรับกระจกและพับฟ้าให้
แต่เจ้า Celerio นี้มีจุดขายอยู่ที่ความจุสัมภาระท้ายหลังเมื่อพับเบาะหลังลงเรียบ (GLX แยกพับเบาะหลังได้) 254 ลิตร ซึ่งมากกว่า Swift ถึง 50 ลิตรด้วยกัน นอกจากนั้นที่เบาะตอนหลัง สำหรับผู้เขียนซึ่งมีส่วนสูง 174cm ได้ลองไปนั่งดูพบว่านั่งได้สบายไม่อึดอัดช่วงวางขา ซึ่งบอกได้เลยว่าแม้ตัวจะเล็กแต่พื้นที่ใช้สอย นั้นดูเกินตัวตริงๆ
นอกจากนั้นผู้เขียนพบจุดติ อีกเล็กน้อยได้แก่ กระจกมองข้างที่ดูเล็กไปนิดเวลามองแล้วเห็นไม่เต็ม, เบาะผู้ขับตำแหน่งสูงมากแม้จะปรับลงต่ำสุดแล้วก็ยังพบว่ามันดูสูงไป และ ที่เท้าฝากระโปรงหน้า ซึ่งขนาดเล็กสั้นเล็กนิดเดียว แถมอยู่ตำแหน่งไกลเอื้อมมือเกินไป ซึ่งมองหาได้ยาก
หัวใจที่ใช้ขับเคลื่อนของ Celerio ใช้เครื่องยนต์บล๊อก K10B 3 สูบ ความจุ 998cc ให้กำลังสูงสุด 68 แรงม้า@ 6,200rpm แรงบิดสูงสุด 90 Nm@ 3,500rpm รองรับน้ำมัน E20 โดยส่งกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านเกียร์ CVT
การใช้งานนั้นด้วยความที่เครื่องเล็ก กำลังน้อยกว่าชาวบ้าน (แรงม้าพอ กับรถ Bigbike Class 650cc) ตีนต้นออกตัวค่อนข้างแผ่ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามคาดกับรถ Eco Car การออกตัวแน่นอนว่าคงไม่เท่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ทั่วๆไป แต่เมื่อรอบเครื่องเริ่มวิ่งมา รถก็ค่อยๆไหล และเมื่อ Kick Down แช่ไว้ ที่ราว 6,000rpm ซึ่งเกียร์ CVT จะตื้อรอบจะไม่ไหลไปกว่านี้ แต่ความเร็วก็จะไหลยาวไปเรื่อยๆ ซึ่งเรามีโอกาสได้ลองดูความเร็วพบว่าไป จบที่ 170 กม./ชม. (นั่ง 4 คน) สำหรับในจังหวะเร่งแซงนั้น ในช่วงความเร็วย่านกลางๆ ที่ออกตัวไปแล้ว ก็ถือว่าทำได้ไม่ขี้เหล่นัก ยังพอเร่งแซงในช่วงความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. ขึ้นได้อย่างดี
แต่เราสังเกตุพบอาการ กระตุกๆ ของเครื่องยนต์ในช่วงเร่งแซงขึ้น บางจังหวะ ที่รอบราวๆ 4,000rpm + ซึ่งอาจะต้องยกคันเร่งและคลอไปก่อน เพื่อลดอาการกระตุกของเครื่องยนต์
แม้ว่าจากการทดสอบใช้งานจะรู้สึกได้ว่ามันเป็นรถที่ดูอืดไปสักหน่อย แต่ทว่าหากเทียบว่าเป็นรถ Eco Car และมีเครื่องยนต์พิกัดเล็กกว่าชาวบ้านด้วยแล้วล่ะ ก็ สมรรถนะในระดับนี้ ก็ไม่ได้ดูแย่กว่าที่คิดเลย
ด้านการทดสอบสมรรถนะอัตราเร่ง ด้วย OBD Bluetooth 0-100 กม./ชม. = 14.858 วินาที ¼ ไมล์ = 20.122
ตัวเลขที่เราได้นี้ ถือว่าใกล้เคียงกับ Suzuki Ertiga เลยไม่หนีกันนัก
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามมาตรวัดอยู่ที่ราว 17 กม./ลิตร จากการใช้งานรอบๆ ตัวเมืองทำความเร็วเฉลี่ยที่ 120 กม./ชม. และในเมืองประมาณจะลดเหลือที่ราว 14-15 กม./ลิตร
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS ที่มีรัศมีวงเลี้ยวแคบเหมาะสมกับขนาดตัวรถ อยู่ที่ 4.7 ม. แม้จะไม่ใช่รถ Eco Car ที่มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด แต่มันก็ให้การขับขี่ในเมือง ไม่ว่าจะจอด กลับรถ ซอกแซก เป็นไปอย่างง่ายดายคล่องแคล่ว แต่ทว่าฟีลลิ่งของการควบคุมพวงมาลัย กลับดูไม่สู้ดีนัก Handling ดูจะสาวไม่ค่อยไปเท่าที่ควร และมีอาการหนืดๆ หน่วงๆ แต่ก็มีน้ำหนักเบาดีเหมาะสมกับการใช้งานในเมือง และที่ความเร็วสูงระดับ 140 กม./ชม. ขึ้นไปมันก็ยังดูนิ่งมั่นคงดี แต่การควบคุมรถในวงเลี้ยว พวงมาลัยดูจะไม่แม่นยำ แถมดูจะไม่คืนวงเลี้ยวให้ด้วย ซึ่งต้องคอยประคองมือให้พวงมาลัยคืนตัวกลับมาตรง ขณะออกจากโค้ง
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พิมพ์นิมยม การขับขี่โดยทั่วไป ถือว่าทำได้ดีออกนิ่มๆ นิด นั่งได้ไม่อึดอัด ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากขนาดของล้อที่ใช้วงเล็กด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับย้วยนิ่มเกินไป ที่ความเร็วระดับ 120 กม./ชม. ยังถือว่าทำได้ปกติดี ในแบบรถยนต์นั่งทั่วไป ตัวรถไม่โคลงเคลงหวาดเสียวให้เห็น หรือแม้แต่ช่วงที่เราได้ขับความเร็วสูงแตะๆ Top Speed ก็ยังถือว่าทำได้ดีทีเดียว
แต่ในการเข้าโค้งต้องทำใจ เพราะมันเป็นไปตามที่เราคาดไว้ คือ ตัวรถโคลงจากบอดี้ ที่ดูสูง และฐานล้อที่แคบมากๆ ทำให้ Grip การยึดเกาะมีต่ำ เข้าโค้งที่ความเร็วเพียงนิดหน่อย จะเห็นอาการของตัวรถ Under ออกมาได้ชัด ร่วมกับเสียงยางที่กรีดร้อง สวมล้ออัลลอยขอบ 14” ใส่ยางขนาด 165/65/14 จาก Bridgestone Ecopia EP150
ระบบห้ามล้อ ใช้เบรกดิสก์คู่หน้า และเบรกดรัม คู่หลัง การตอบสนองของแป้นเบรก ให้การตอบสนองที่ว่องไวทันใจ เบรกจิกเท้า สามารถชะลอความเร็วของรถลงได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีให้ลุ้นหวาดเสียวแต่อย่างใด ซึ่งบอกได้เลยว่า มันดูหยุดรถได้มั่นใจกว่า Swift เสียอีก
สรุป Suzuki Celerio รถยนต์ Eco Car ในคลาส A-Segment มาตรฐานระดับส่งออก มันเป็นรถที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตในเมือง ต้องการมองหารถใช้งานในชีวิตประจำวัน ตอบโจทย์ด้านความคล่องตัว จอดง่าย การบรรทุกผู้โดยสาร และบรรทุกของ มีพื้นที่โดยสารกว้างใช้งานได้จริง แถมเรื่องความจุในการขนสัมภาระ ก็สามารถทำได้อย่างดีด้วยเบาะตอนหลังที่พับราบลงได้ นอกจากนั้นในด้านการขับขี่ก็ไม่ได้ดูแย่ ขับเดินทางทำความเร็วพอได้ แต่การขับเข้าโค้งนั้นต้องระมัดระวังด้วยฐานล้อที่แคบ และหน้ายางที่แคบ จึงทำให้รถไม่ค่อยจะยึดเกาะเมื่ออยู่ในทางโค้งนัก
สำหรับด้าน ราคาในรุ่นท๊อปนี้ กลับค่อนข้างแพงซึ่งเล่นเอาหลายคนอาจที่รอคอยการมาอาจต้องชะงัก เพราะราคาตัวท๊อป เกือบแตะ 5 แสน เช่นนี้ มี Eco Car เครื่อง 1.2 ลิตร ให้เลือกจับซื้ออีกมากมาย ซึ่งทาง Suzuki จึงต้องเข็นแคมเปญ ตั้งแต่วันเปิดตัวมาเอาอกเอาใจ ด้วยการเริ่มต้นดาวน์ 7.18 หมื่นบาท และผ่อนเริ่มต้น 2,222 บาท ซึ่งเอาเป็นว่าถ้าคุณมองหารถที่ดาวน์ น้อยผ่อนถูก โปรโมชั่นโดนใจ แล้วล่ะก็ Celerio ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจับตามอง
ขอขอบคุณ Suzuki Motors ประเทศไทย สำหรับรถ Suzuki Celerio GLX รุ่นท๊อป สีชมพู Rasberry Pearl Metallic ราคา 4.88 แสนบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
พบรถ Suzuki และ Suzuki Celerio มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น