สนามช้าง (บุรีรัมย์) อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย ที่ได้มีสนามแข่งรถระดับมาตรฐานโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของหลายภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนให้เกิด Track มาตรฐานสูงสุดของโลกนี้ขึ้นมา ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่จะเปิดสนามกับรายการแข่งรถยิ่งใหญ่ อย่าง Super GT ที่ผ่านมานี้ ซึ่งได้ใช้ชื่อรายการว่า Buriram United Super GT Race 2014 ซึ่งทางผมเองก็ได้รับโอกาสที่ จะได้สัมผัสประสบการณ์อันยอดเยี่ยมร่วมเข้าชมการแข่งขัน และทำข่าวในครั้งนี้ด้วย
สนามช้างฯ ได้รับการออกแบบจาก Hermann Tilke วิศวะกรมือ 1 ในด้านการดีไซน์ Track รถแข่งระดับโลก ซึ่งสร้างชื่อกับผลงานสนามดังๆ มากมายทั่วโลก อาทิ Sepang, Bahrain, Shanghai, Aragon, America, Sochi เป็นต้น
สนามช้างฯ ได้รับมาตรฐานสูงสุดถึง FIA 1 ซึ่งรอบรับการแข่งรถยนต์สูงสุด Formula 1 และ FIM A ซึ่งรอบรับการแข่งรถจักรยานยนต์สูงสุด Moto GP มีระยะทางต่อรอบ 4.554 กม. วิ่งตามเข็มนาฬิกา มีจำนวนโค้งทั้งสิ้น 12 โค้ง ขวา 7 โค้ง และ ซ้าย 5 โค้ง จุผู้ชมได้สูงสุดถึง 50,000 คน ซึ่งประกอบไปด้วย Grand Stand ที่ผู้ชมจะสามารถมองเห็นได้ทุกส่วนของสนามใน Track ถือเป็นแห่งเดียวในโลกเลยก็ว่าได้ และตัวผมเองได้มีโอกาสขึ้นไปนั่งบนแถวเกือบบนสุด ที่มองเห็นได้ทุกส่วนของสนาม แต่ว่าอาจจะเห็นรถแข่งขนาดเล็กไปหน่อย ในช่วงสุดทางตรง T3 และโค้งด้านใน T8 และ T9 แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อเตรียมกล้องส่องทางไกลพกติดตัวไปด้วย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เรากลับลืมพกติดไป นั่นก็คือที่อุดหู เนื่องจากเสียงของรถแข่งใน Class GT300 นั้นดังลั่นสนั่นหู ยิ่งกว่ารุ่น GT500 เสียอีก เนื่อง Class GT300 เป็นการใช้พื้นฐานรถมาจาก GT3 ซึ่ง จะปรับแต่งเครื่องยนต์กันตามสไตล์แต่ละค่ายแบบ Open แต่จะต้องไม่เกิน 300 แรงม้า ในขณะที่ Class GT500 จะมีกฏกติกาที่ชัดเจน คือจะปรับลดให้ใช้เป็นเครื่งยนต์ 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร ในฤดูกาลนี้ แต่ก็ยังคงอนุญาตให้พัฒนาศักยภาพเครื่องยนต์ไปได้ถึง 500 แรงม้า
กลับมาที่ตัวสนามกันต่อ นอกจากบน Grand Stand แล้วก็ประกอบไปด้วย Stand โดยรอบสนาม อีก 4 แห่ง A B C D ซึ่งเป็น Stand กลางแดด แต่ในอนาคตคุณเนวิน ได้ยืนยันในช่วงพูดคุยแถลงข่าวก่อนสนามเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าจะทำอัฒจรรย์บังแดดให้อย่างแน่นอน ดังนั้นผู้เสียตังซื้อบัตรเข้าชมที่ราคาถูกกว่าก็อย่าได้น้อยใจกันไป
ต่อกันที่ Hilight ความมันของสนามมีอยู่มากมาย ตั้งแต่ทางตรงยาวระยะ 1 กม. ซึ่งมันไม่ได้เป็นเส้นตรงซะทีเดียว ยังมีมุมหักบีบเข้าเล็กๆ เพื่อเพิ่มความเร้าใจในการเร่งแซง ที่สามารถทำความเร็วในรถระดับทัวริ่งคาร์ได้ถึง 315 กิโลเมตร/ชม. และ 300 กิโลเมตร/ชม. ในรถมอเตอร์ไซค์ Superbike ก่อนจะเจอจุดกลับรถ T3 ที่ต้องหักดิบความเร็วทะลุนรก ต่อมาที่โค้ง T4 ซึ่งยัดได้เต็มถึง 200 กม./ชม. ถัดมาที่โค้ง 5 ซึ่งเป้นอีกหนึ่งโค้งอันตรายที่นักขับมักจะหลุดกัน ต่อกันมาจนถึงโค้ง T7 หักขวา และประกอบไปด้วยโค้งเล็กๆ ในส่วนนี้อีกด้วย ขับเลยมาเรื่อยๆ จนถึงโค้ง T9 และ T10 ซึ่งเป็นโค้ง S ต่อเนื่องขนาดกว้าง ก่อนที่จะตรงไปจนถึงโค้ง Hairpin T12 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้าย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดสุดโหด ที่ต้องชะลอวามเร็วลงกับโค้งสุดหินนี้
นอกจากนี้สนามยังได้รับการดีไซน์ออกแบบให้มีบ่อน้ำ ภายในสนามถึง 3 บ่อ เพื่อช่วยการหมุนเวียนของอากาศ เนื่องจากบ้านเราเป็นเมืองร้อน และนอกจากนั้นก็มีการติดตั้งระบบไฟตามมาตรฐาน FIA เพื่อรองรับการแข่งแบบ Night Race อีกด้วย
ขอขอบคุณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่ลแนล เซอร์กิต ที่ทำให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ดีๆ แบบนี้
เรื่องโดย @Pon
ความคิดเห็น